หลังจากกินมื้อเช้ากับแม่และน้องสาวเรียบร้อยแล้ว ภูริก็เดินไปแอบกินยาต้านเงียบๆ พยายามปกปิดเรื่องที่เขาได้กลายเป็นโอเมก้าเต็มตัวแทนที่จะเบต้าธรรมดาๆ อย่างที่เคยเป็น ก็ลองนึกดูดิ ถ้าแม่กับน้องรู้ แม่กับน้องจะตกใจขนาดไหนอะ ลูกกับพี่ชายเป็นเบต้ามาตลอดนะเฮ้ย จู่ๆ มากลายพันธุ์ บ้าเถอะ ไม่มีใครรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ หรอก ขนาดตัวภูริเองที่มักเป็ฯคนคิดในแง่บวกมาตลอดยังอดนอยไม่ได้เลยเมื่อวานนี้
แต่ที่ยิ่งกว่านอยอะ...แม่งคิดถึงบางคน
ม่ายยยย เราจะไม่ยอมรับว่าเราคิดถึงไอ้ประธานโหดนั่น มันน่าเศร้าเกินไป ผู้ชายคนนั้นบ้าๆ บวมๆ เดี๋ยวกอดเขา ฟัดเขาอย่างกับเขาเป็นคนรัก แต่แล้วก็ด่าเขาสาดเสียเทเสียอย่างกับเขาเป็นคุณโส เอาตรงๆ บางทีก็งงใจ ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงกับสิ่งที่ท่านประธานนั่นปฏิติบัติกับเขาเหมือนกัน
“พี่ภูคะ มีใครมา...” ภูฟ้า น้องสาวแสนน่ารักน่าชังในสายตาภูริเดินเข้ามาสะกิดบอก อย่าเพิ่งว่าเขาเป็นโลลิค่อนนะเว้ย การที่อวยน้องตัวเองไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นพวกจิตไม่ปกติดีแบบนั้น
“หืม?” ภูริรีบเก็บแผงยาเข้ากระเป๋าของตัวเอง แล้วดื่มตามเยอะๆ
“พี่ออกไปดูไหม รถหรูเชียวแหละ” ภูฟ้าพยายามจะพยักพเยิดไปหน้าบ้านเพื่อให้พี่ชายได้ออกไปดู
ภูริก็ไม่แย้งอะไร น้องให้ดูก็ไปดู คือเขามีน้องสาวเนาะ เกิดคนที่มาที่บ้านเป็นเจ้าหนี้โหดขึ้นมาทำไงล่ะ แต่เดี๋ยว เจ้านี้โหด? บ้าแล้ว...เขาไม่เคยไปกูหนี้นอกระบบ เพราะงั้นตัดเรื่องเจ้าหนี้สายโหดไปได้ แล้วอะไรล่ะที่จะมีความเป้ฯไปได้ว่าคนที่ยบ้านจะไม่ปลอดภัย ภูรินึก...นึก...นึก...และนึกไม่ออก
“เอ๊ะ?” จนกระทั่งได้เห็นรถหรูสีดำคันนั้น คันที่มาส่งเขาเมื่อวานนี้ และเป็นคันที่เขาไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีวาสนาได้นั่งมาก่อน
“รู้จักเหรอคะพี่”
“อื้อ เดี๋ยวพี่ไปทำงานเลยแล้วกันนะ เราก็ตั้งใจเรียนล่ะ”
“ค่ะพี่ภู” ภูริลูบหัวน้องสาว เดินไปบอกลาแม่เล็กน้อยถึงได้ออกมา
ร่างโปร่งยืนมองรถหรู เขาไม่เห็นคนด้านในหรอก เล่นใช้กระจกมืดทึบวะขนาดนั้น ต้องมีดวงตาพิเศษเท่านั้นอะถึงจะมองทะลุกระจกอันนี้ไปได้ แต่ขณะที่ภูริกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี เจ้ากระจกสีดำมันก็เลื่อนลงช้าๆ จนเผยหน้าตาบอกบุญบอกบาปไม่รับของอีธาน
“ขึ้นมาได้ยัง เดี๋ยวสาย” น้ำเสียงของอีธานยังคงเย็นชาและทรงอำนาจ ภูริเดินเข้าไปนั่งข้างคนขับตามที่อีกฝ่ายต้องการ...เอ๊ะ หรือไม่ต้องการ? แล้วถ้าไม่ต้องการจะมารับทำไม เอาแล้ว มีเรื่องให้ภูรินั่งครุ่นคิดไปตลอดการเดินทางอีกแล้วสิ
“ไม่เห็นจำเป็นต้องมารับเลยครับ” ภูริบอกเสียงแผ่ว
“ผมบอกแล้วว่าผมจะมารับมาส่ง ไม่งั้นคุณก็ควรไปนอนห้องผม”
“ไม่ล่ะครับ” ตอบกลับแบบไม่ต้องคิดเลย ขืนไปอยู่ที่นั่นด้วยต้องอึดอัดมากแน่ เป็นขี้ข้าแค่ที่บริษัทก็พอแล้ว
“กินยายัง” รถค่อยๆ เคลื่อนออกจากหน้าบ้าน
“เพิ่งกินเมื่อกี้ครับ”
“ดี หัดกินมันเสียบ้าง จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่นเขา หึ...กลายเป็นอัลฟ่าก็ได้ไม่ได้ จะได้ไม่ลำบากคนอื่นเขาแบบนี้ ต้องคอยมารับมาส่ง มาดูแลและหาทางแก้ไอ้คู่แท้บ้าๆ เนี่ย” คนรวยขี้บ่นแบบนี้ทุกคนไหมน้า? ภูริสงสัยจริงๆ เสียดาย เขาไม่ค่อยได้คึกคลีกับพวกคนเราเท่าไหร่ สังคมมนุษย์เงินเดือนกับสังคมคนไฮโซมันต่างกัน
“ไม่ต้องมารับก็ได้ไงครับ”
“ไม่ได้ เกิดคุณไปฮีตใส่ใครขึ้นมาจะทำยังไง ผมต้องมาเอากับคนที่ไม่ใช่ของผมคนเดียวเหรอ?” อีธานหันมาจ้องภูริด้วยสายตาดุดัน
“เอ่อ...คุณเคยนอนกับคุณโสไหมครับ”
“ถามทำไม?”
“ก็...คุณโสก็ไม่ได้นอนกับคุณคนเดียว...” เสียงภูริเบามาก เบาเหมือนว่าตัวเองกำลังกระซิบกระซาบกับอากาศในรถคันนี้อยู่ แต่ด้วยความที่มันเงียบมากนี่แหละ อีธานจึงได้ยินทุกคำ
รถถูกเหยียบแบรกกะทันหันจนจมเท้า ภูริไม่ทันตั้งตัว ถึงมีเข็มขัดนิรภัยแต่ร่างเขาก็กระชากรุนแรงเหมือนกัน หัวนี่เกือบโขกคอนโซนหน้าไปแล้ว ดีนะที่ยังเอามือมายั้งเอาไว้ทัน ไม่งั้นเจ้าถุงลมนิรภัยก็คงพุ่งพรวดออกมากระแทกหน้าเขาเข้าอย่างจังแน่นอนเลย
ฮื่อ...อีธานเป็นบ้าอะไรอีกหนอ
“นี่คุณยอกย้อนผมเหรอ? แค่ผมนอนกับคุณ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพูดเล่นไม่ให้เกียรติผมแบบนี้ได้นะครับคุณภูริ อย่าลืมสิว่าผมไล่คุณออกได้” ไล่ออก...อะไรก็ไล่ออก เฮ้อ ภูริล่ะอยากจะเท่ลาออกเองแม่มเลยเสียเหลือเกิน
“ผมขอโทษครับ”
“อย่ามาพูดจาแบบนี้ใส่ผมอีก ผมนอนกับคุณโส...แล้วไง คุณไม่ใช่คุณโสนี่ คุณเป็นคู่ของผม แล้วผมก็ไม้องการให้คู่ของผมไปนอนกับใครหน้าไหนยังไงก็ได้ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ”
“ดี! สมองมีปัญญาต่ำพอๆ กับสายพันธุ์เลย” แล้วอีธานก็บ่นเบาๆ เรียกเบาได้ไหมอะ กระแทกเข้าหูคนนั่งเคียงข้างเข้าไปเต็มเปาเลยอะ
เบะปาก!
ภูริต้องหันไปมองกระจกข้างตัวเองเพื่อแอบเบะปากใส่ท่าทีของอีธาน บ่นเป็นตาแก่ที่ไม่มีเหตุผลอะ เอะอะก็บ่น สงสัยถ้าไม่ได้บ่นหรือด่าใครคงจะกินมื้อเช้าไม่อรอ่ย หรือไม่ก็ถ่ายไม่ออกอะ หึ...เขาขอแช่งให้ยิ่งบ่นยิ่งก้าวไม่อร่อยและถ่ายไม่ออกได้ไหม เผื่อบางทีอีธานจะเลิกบ่นทำพฤติกรรมแบบนี้
เวลาอีธานทำงาน อยู่กับพนักงานคนอื่นๆ อะไรเงี่ย อีธานไม่เห็นจะเป็นคนพูดเยอะอะไรนี่นา ออกจะไม่ค่อยพูดด้วยซ้ำ บางทีขานตอบสักคำยังไม่มีเลย เหตุผลเดียวที่ภูริมอบให้แก่ตัวเองก็คงเพราะเขากลายเป็นโอเมก้านี่แหละ อีธานเลยไม่ชอบเขา โถ...ทำไมชีวิตเศร้าล่ะ
ช่วงเช้าๆ ท้องถนนในเมืองอัดแน่นไปด้วยรถรามากมายนับไม่ถ้วน หรือถ้าให้เขานับล่ะก็...ฝันไปได้เลย เขาไม่มีวันมานั่งทำอะไรไร้สาระอย่างนั้นแน่ๆ เพราะเขาไม่ใช่นักจดสถิติอะจริงไหม ภูริรู้สึกอยากนั่งมอเตอร์ไซก์ มันขับผ่านรถหรูคันนี้ไปอย่างสะดวกสบาย ความเป็นหรูแม่งไม่ช่วยบรรเทาอาการรถติดเลยจริงๆ
“ผมควรนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานมากกว่า” เขาเปรยออกมาลอยๆ เพราะคิกว่าถ้าเขาได้นั่งรถไฟฟ้าหรือมอเตอร์ไซก์เขาจะไปถึงที่หมายไวกว่าเดิม
“รถไฟฟ้าที่แน่นไปด้วยคนอะนะ หึ ไม่เห็นจะน่าขึ้นตรงไหน มีทั้งเบต้า โอเมก้าและยังพวกอัลฟ่าชั้นต่ำเต็มไปหมด ถ้าต้องไปใช้ลมหายใจรวมกับคนเป็ฯฝูงแบบนั้นผมยอมอยู่บนรถติดๆ อย่างนี้ทั้งวัน” ใช่สิ เป็นเจ้าของบริษัทนี่ จะทำอะไรก็ได้ไม่มีใครเขาจะด่าหรือว่าอยู่แล้วล่ะ แต่เขาเป็ฯแค่พนักงานขายนะเฟ้ย ไปสายหัวหน้าหักเงิน!
“หิวตายเลยนะครับ” ก็คิดงี้จริงๆ ไม่ได้คิดว่าคงน่าเบื่อหรือรากงอกอะไรเถือกนั้น แต่ลองคิดดู การนั่งอยู่บนรถทั้งวันมันคงหิวมากแน่นอน
“อะไรของคุณ”
“ก็...ถ้านั่งอยู่แต่บนรถนานๆ มันจะหิวไง”
“ก็หาที่จอดแล้วลงไปซื้อกินสิคุณ อย่ามาฉลาดน้อย” หงิ...หน้าหงิกใส่แม่มเลยดีมั้ง
ภูริเงียบ ไม่ต่อปากต่อคำ เพราะรู้ดีว่าเถียงไปยังก็ไม่ชนะ ไม่ใช่ว่าอีธานมีเหตุผลดีแล้วภูริหาเหตุผลมาโต้ไม่ได้ เพียงแต่...อีธานแม่งมีแต่เหตุผลที่เขารู้สึกว่าเถียงไปก็เหนื่อยเปล่า จะว่าอีธานเด็กมันก็ไม่ใช่ อีธานน่ะเอาแต่ใจเท่านั้นแหละ เราจะเถียงคนเอาแต่ใจ? คิดดีแล้วจริงดิ ถ้าคิดดีแล้วแสดงว่าคุณก็ไม่มีสติสตางคืเท่าไหร่น้า
ฝ่าฝันรถติดมาได้มาครู่ใกญ่ เวลาเฉียดเดตไลน์เข้างานไปทุกที ใจภูริตอนนี้นะแม่งวิ่งขึ้นบันไดแล้วไปกดลิฟต์เรียบร้อยแล้วล่ะ แต่ที่มันไม่ได้ดั่งใจเพราะจู่ๆ อีธานก็ขับรถช้าลง วิ่งเลนซ้ายอีกต่างหาก เขามองซ้ายมองขวา เห็นว่าใกล้บริษัทตัวเองแล้วก็เบาใจไปมาก กะว่าอดทนสงบปากคำอีกเล็กน้อยก็น่าจะไปถึงที่บริษัทได้ไม่ยากเย็น สายนาทีสองหน้าทีก็ปล่ยอให้หัวหน้าด่าไป
ทว่า....ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เขาคิดเลย
“อุ้บ!” จู่ๆ หน้าเขาก็โดนมือหนาดันให้หันไปหา จากนั้นริมฝฝีปากสีสดก็แนบลงมาอย่างเร่าร้อนทันที
อย่าบอกนะว่า...
“อื้อ..อ๊ะ...อ๊า”
เรียบร้อยคารถยามเช้า ภูริได้แต่เอนกายพิงเบาะพลางหอบด้วยอาการเหนื่อยอ่อนจากบทเลิฟซีนที่แสนจะเร่าร้อน แม้โดนตัดออกจากบทบรรยายแต่ความเร่าร้อนนั้นยังตราตรึง เสื้อผ้าหลุดหลุ่ย ทรงผมก็เละเทะไม่เป็นทรง เขายังไม่มีกะจิตกะใจจะจัดการอะไรนั่นในตอนนี้เพราะว่า...น้ำไหล ฮื่อ ร้องไห้ยามเช้าแม่งเลย ร้องให้ดังๆ ร้องให้โลกแม่งรู้ว่าสิ่งที่ตนเองเผชิญอยู่นั้นมันไม่ยุติธรรมเลย
อีธานใส่เสื้อผ้าให้เป็นปกติ เขาพกทิชชู่เปียกเอาไว้ในรถเสมอ ดังนั้นไม่ยากกับการจัดการคราบน้ำต่างๆ ที่เปรอเปื้อนร่างกายตนเอง พอเช็ดน้ำสีขุ่นจากความเป็นชายตัวเองจนสะอาดก็จัดให้มันเข้าที่เข้าทาง ช่วงบนไม่ได้เปลื้องออกเยอะ จับแค่เน็กไทให้เรียบร้อยก็เป็นอันเสร็จ มีแค่คนข้างกายเขาตอนนี้แหละที่ยังหน้าแดงก่ำและหอบหายใจกระเส่าไม่หายเสียที
ก็...ไม่รู้ว่าทำลงไปทำไม แค่อยากจะทำ นั่งคู่กันเฉยๆ แต่กลับรู้สึกความต้องการที่เอ่อท้นขึ้นมา อีธานเงียบเพราะส่วนกนึ่งก็ระงับอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อยู่นั่นแหละ ภูริบอกกับเขาว่าทานยาต้านมาแล้ว แต่...ทำไมร่างกายอีกฝ่ายยังหอบหวนขนาดนั้น
เพราะเป็นคู่แท้?
แย่จริงๆ แบบนี้มันแย่มาก ส่วนลึกในใจเขาต่อต้านภูริอย่างสุดความสามารถ ไม่อยากจะนอนกับภูริแล้ว ไม่อยากเอากายไปเกลือกกลั้วกับกายของโอเมก้าอย่างภูริ เขารู้สึกแค่ว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้ คนอย่างเขาต้องได้คู่ครองที่แสนเพอร์เฟ็กและไม่เป็นโอเมก้า ทว่าร่ากงายและสัญชาตญาณของเขากลับดิบเถื่อนและรุนแรงเกินต้านทานได้ ทั้งที่เขาเองก็ทานยาต้านชนิที่ดีที่สุดที่เขามีแล้วแท้ๆ
“แต่งตัวแล้วลงไปได้ล่ะ” คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายหันมามองหน้า ใบหน้าที่หล่อเหลาและแสนซื่อของอีกฝ่ายยั่วน้ำลายขึ้นมาในมทันที เขาต้องเบี่ยงหน้าหนี...ไม่สบตาเพราะไม่งั้นเขาอาจไม่ได้เข้างานในเร็วๆ นี้
“เมื่อกี้รถเขย่าด้วย” เจ้าภูริพูดอะไรที่ขัดกับสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง อีธานยังไม่เข้าใจคนนี้ และเขาหงุดหงิดที่ภูริเป็นคนแบบนี้ เหมือนไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูดหรือสื่อออกไป
“นั่นยิ่งทำให้นายควรลงไปได้แล้ว ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมกับคุณมีอะไรกัน...” คิ้วได้รูปของภูริขมวดเป็นปม
“ถ้างั้นก็อย่าไปรับผมสิ คุณนี่...ย้อนแย้งจริงๆ” มันเป็นแค่คำบ่นเรื่อยเปื่อย แน่นอว่าชนชั้นไหนก็มีสิทธิ์บ่นไปเรื่อย แต่คนโดนบ่นอย่างอีธานรับไม่ได้...มันแทงใจดำ!
ภูริหยิบเอาทิชชู่เปียกของอีธานมาใช้ เช็ดทำความสะอาดแล้วแต่ตัวลวกๆ ลูบผมตัวเองแบบรวดเร็วว่องไวดุจแสงเลเซอร์ จากนั้นก็ก้าวขาลงจขากรถ กลิ่นอายของการแนบกายเมื่อครู่ยังคงฟุ้งอยู่ในร่างกายของเขา แต่...เขาจะเข้างานสายไม่ได้เว้ย!
ทันทีที่เขาปิดประตูรถให้อีธาน ฝ่ายนั้นก็เหยียบคันเร่งจากไปแทบจะทันที ทีงี้ล่ะขับเร็วขึ้นมาเลยนะ เอ้อ...ให้มันได้อย่างนี้ คนบ้าอะไรเพี้ยนชะมัด เขาว่าความคิดเขาติงต๊องปัญญาอ่อนแล้ว เจอพฤติกรรมของอีธานเขาไปภูริถึงกับร้องเรียกหายาพาราขึ้นมาทันที
แต่ตอนนี้พาราไม่จำเป็นเท่ากาแฟ! ตอนนี้ภูริต้องรีบสาวเท้าเดินไวๆ ไปที่ร้านขายกาแฟเจ้าประจำ ระหว่างสับเท้าฉับๆ ก็ต้องล้วงหาเศษเงินไปด้วย ไม่นับว่ายังมีน้ำไหลในกางเงเขานะ น้ำตาแทบร่วง ทำไมอนาถตัวอย่างนี้นะ คราวหลังขอให้อีกฝ่ายใส่ถุงยางได้ไหม จะได้ไม่เป็นภาระต่อเขาเนี่ย
สั่งกาแฟและจ่ายเงินเสร็จเขาก็เดินเชื่องข้าเข้าบริษัท ตอนนี้มีสิ่งที่น่าเศร้ากว่าความเฉอะแฉะข้างในกางเกงก็คือ...เงินเหลือน้อยมาก อยากเอาหัวโขกโต๊ะจังโว้ย! นี่เพิ่งจะต้นเดือน แต่เงินที่เขาต้องเอาไว้กินไว้ใช้มันมีไม่มากพอจะพาเขาไปยังสิ้นเดือนได้ อ่อย...มาม้าจ๋า ข้าต้องพึ่งเจ้าอีกแล้วนะ เกือบยี่สิบกว่าวันที่เหลือต้องแจกแจงรสชาติของมาม้าที่จะกิน ภูริเริ่มคำนวณแล้วว่ามาม่ามันมีรสชาติอะไรบ้าง แล้วรสไหนที่เขาไม่ชอบ โดยที่ระหว่างนี้ก็ดูดกาแฟเย็นรสชาติจัดจ้านเข้าไปด้วยเรื่อยๆ
การเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ภาระล้นบ่านี่มันลำบากลำบนจังเลยนะ คิดว่า...ถ้าตัวเองไม่มีภาระอะไรเลยมันจะดีหรือเปล่า มันจะสบายเราไหม หาเงินเท่าไหร่ก็ได้ใช้เท่านั้นเลย เชื่อว่าทุกคนแม่งต้องมีคิดถึงโมเมนต์นี้บ้างแหละ
แต่มันไม่ได้งุย! มันไม่ด้ายยยยย ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป เพลงะของใครสักเพลงที่ภูริก็จำไม่ได้ ทั้งชื่อเพลงและนักร้องเลยนั่นแหละ แค่คำนี้มันติดอยู่ในหัวเขาเท่านั้น เวลาท้อใจก็นึกถึงมันขึ้นมาทุกที เฮ้อ...เอาหน่า อย่างน้อยเงินที่เหลือก็พอจะซื้อกาแฟเย็นๆ รสชาติล้ำลึกนี้ได้ทุกวันล่ะนะ และนี่คงเป็นเรื่องดีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้เขายิ้มได้ในเช้านี้
“เฮ้!” แต่ไม่ทันไรรอยยิ้มอันน่ารักน่าชังของภูริก็หายไป พร้อมกับกาแฟถุงกระดาษในมือ เพราะ...คนที่บอกว่าไม่อยากให้ใครเขารู้ว่าเราเป็นอะไรกันนั่นแหละ
อีธานยืนอยู่บนขั้นบันได ขณะที่ภูริยังไม่ทันได้ก้าวขาขึ้นบันได้ขั้นแรก ด้านหลังอีธานเป็นประตูเข้าบริษัท อันนี้ภูริสงสัยนะ...ทำไมต้องทำให้ประตูทางเข้าบริษัทสูงจนต้องมีบันไดแบบนี้ด้วย แต่ถามใครไม่ได้อะเนาะ อาจทำให้มันดูยิ่งใหญ่ แล้วไง...ประเด็นสำคัญตอนนี้คือเขาโดนแย่งกาแฟไปเว้ย!
เขาโดนอีกฝ่ายจ้องหน้าตาไม่กะพริบ ท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของพนักงานคนอื่นรอบด้าน อีธานยกถุงกาแฟขึ้นมา ละสายตาจากเขาแล้วมองไปที่หลอด คิ้วขมวดหน่อยๆ ประมาณว่า...หลอดแม่งสะอาดไหมอะไรงี้ล่ะมั้ง แต่ถึงจะลังแล อีธานก็ลองดูดน้ำในถุงขึ้นมาอึกหนึ่ง
“กาแฟห่วยสิ้นดีเลย” อ่าว ห่วยแล้วเอาไปกินทำไมล่ะครับ นี่มันแค่ลุงละสามสิบ ไม่ใช่แก้วล่ะร้อยกว่าอย่างร้อนแบรนด์ข้างๆ นั่นนะเว้ย
“งั้น...”
“กาแฟรสห่วยแบบนี้ ขอซื้อไปทิ้งนะ” ยังไม่ทันได้ทวงกาแฟแสนอร่อยของตัวเองคืน อีธานก็เดินลงมาจนอยู่เบื้องหน้าเขา มือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ตลอดของอีธานยื่นเอาบางอย่างยัดใส่มือเขา
แล้วยังไงต่อเหรอ...ก็เดินจากไปไง
เรียกว่า…จะสะอื้นก็สะอื้นไม่ออก เข้าโมเมนต์ที่ว่าไม่มีเงินพอจะซื้อกาแฟอีกถุงแล้วไหม เงินที่เหลือตอนนี้สำหรับภูริจะกินให้มันถึงเดือนยังเป็นเรื่องที่ยากมาก เมื่อครู่เขาคำนวณแล้ว ต่อจากวันนี้ไปเขาจะกินกาแฟได้วันล่ะถุง มาม้าอีกวันละสองถึงสามสอง ถ้าซื้ออีก...ก็ได้ แต่ถ้าเงินไม่พอทำไงวะ!
“เรื่องบ้าไรเนี่ย” ประตูหลังก็เสียให้เขา ยังต้องมาเสียกาแฟให้เขาอีกเหรอ...
จากที่เบิกบานเพราะได้กาแฟมาตอนนี้ภูริห่อเหี่ยวอีกครั้ง เขาไม่สามารถร่าเริงได้ในสถานการณ์นี้อะเอาจริงๆ เขายังทำใจกับกาแฟที่โดนพรากไปเมื่อครู่นี้ไม่ได้ เขาติดกาแฟ และต้องเป็นกาแฟโบราญนั่นเท่านั้น ภูริเหลือบตาไปมองร้านขายกาแฟก่อนจะหันมามองของในมือที่โดนยัดใส่เมื่อครู่นี้
“เอ๊ะ?” ขอขยี้ตาหนึ่งที ไม่ๆ ขอสองที่เลย
“ฮุ่ยยยย รอดแล้วกู” ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เหลือเวลาเข้างานอีกห้านาที ภูริรีบวิ่งย้อนกลับไปสั่งกาแฟแบบเดิมอีกถุง
อะไรหนอ...ทำให้ภูริเบิกบานสำราญใจได้ขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อครู่ยังเครียดขึงเพราะโดดนพรากกาแฟไปอยู่เลย คำตอบน่ะมันอยู่ในมือขวาของภูริยังไงล่ะ สิ่งที่ประธานคนนั้นได้ยัดเอาไว้แทนกาแฟรสชาติห่วยแตกนั้นคือ...
ขอเพลงครับ! แท่นแท่นแท้นนนนนนนน
แบงค์พันหนึ่งใบ!!!
แบงค์พันโว้ย! แบงค์พันนนนนนนน
รอดแล้ว ไอ้ภูริ มึงรอดตายแล้ว กาแฟถุงละสามสิบแลกกับหนึ่งพันบาท โคตรของโคตรคุ้ม แบบนี้ซื้อมาให้ท่านประธานแลกเป็นเงินทุกวันเลยก็ดีนะ ฮ่าๆ คิดบ้าอะไรกัน ระดับอย่างนั้นคงไม่มาซื้อกาแฟรสชาติห่วยแตกจากเขาได้ทุกวี่ทุกวันหรอกเนอะ น่าเสียดาย...อยากได้อีกหลายพันเลย
หนึ่งพันบาทชุบชีวิตอันเหี่ยวเฉาของเขา ภูริเดินลั้นลาเข้าบริษัทไวๆ พร้อมกับกาแฟโบราญถุงใหม่ในมือเขา เรียกว่าภูริอารมณ์ดีถึงขั้นเอ่ยทักทายแทบทุกคนที่เจอหน้าหรือเดินผ่าน สาวๆ ชอบรอยยิ้มของเขาอยู่แล้ว ชอบแววตาซุกซนปนใส่ซื่อของเขาด้วย
แถม...พวกนั้นยังรู้สึกว่าภูริมีเสน่ห์กว่าทุกๆ วันที่ผ่านมา
กลิ่นหอมบางอย่างช่างเย้ายวนอารมณ์คน พวกเขาคิดว่าอาจจะเป็นน้ำหอมใหม่ ดังนั้นบางคนจึงถามว่าภูริใส่น้ำหอมกลิ่นใหม่หรือเปล่า ภูริปฏิเสธ แล้วตอบว่าเพราะผมเนื้อหอมเองต่างหาก เป็นคำเย้าที่น่ารักสำหรับภูริ และไม่ว่าใครก็รู้สึกชอบมัน
ยกเว้น...อัลฟ่าบางคน
ท่าทางลั้นลาเกินหน้าเกินตาของภูริอยู่ในสายตาของอีธานตลอดเวลา ในมือขาวผ่องของชายหนุ่มร่างสูงยังคงหิ้วกาแฟที่เขาบอกว่ามันรสชาติห่วยเอาไว้ จะทิ้งก็เสียดายไง เขาซื้อต่อมาตั้งหนึ่งพันบาท อ่านะ...อีธานบอกตัวเองแบบนั้น ทั้งที่ข้างในก็รู้สึกว่ารสชาติของมันกล่อมกลมดี แต่ก็เหมือนกรณีภูริ เขาแค่ไม่ยอมรับความเป็นจริงเท่านั้นเอง ไม่รู้สิ...กลัวเสียฟอร์มล่ะมั้ง
อัลฟ่าระดับสูงอย่างเขาจะมาชื่นชอบของไร้เทสแบบนี้...บ้า...แม่งบ้าไปแล้ว!
.
.
.
ปัง!กรี๊ด!!! ภูริถึงกับสาวแตกในใจเพราะจู่ๆ ก็มีใครบางคนมาตบโต๊ะเขาเสียงดังสนั่น เขาอยากเงยหน้าแล้วถามเหลือเกินว่า เจ็บไหม? เอ๊ะ...หรือเขาควรสนใจว่าโต๊ะทำงานของเขายังปลอดภัยอยู่กันล่ะ คำถามกวนประสาทในหัวหายไปทันทีเมื่อเขาเห็นว่าคนที่ตบโต๊ะนั้นเป็นใคร ร่างโปร่งรีบลุกขึ้นยืนกุมมือต่ำ ก็คนคนนี้เป็นหัวหน้าเขานี่หว่า“เมื่อวานคุณหายไปไหนมา” ตาบอดเหรอตอนท่านประธานลากเขาไปที่ลิฟต์น่ะ ภูริล่ะอยากจะตอบแบบนี้กลับไปจริงๆ ให้ตายเถอะ“ท่านประธานใช้งานครับ” พอบอกออกไปอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ใช้สายตาสำรวจร่างกายของเขาท่านที เห็นนะเว้ย สายตานั้นละลาบละล้วงมาก ถึงหัวหน้าจะหล่อ แต่ขอโทษ...อีธานหล่อกว่าและสายตาเร่าร้อนกว่าเยอะเดี๋ยวนะ เราเปรียบเทียบเพื่อ? หัวหน้าไม่ได้จะแดกเขาเสียหน่อย คิดอะไรบ้าบอจริงเชียว สมองนี่ก็น้า...ทำไมยังคงทำงานวนเวียนอยู่กับอีธานก็ไม่รู้ เพิ่งจะห่างกันได้ไม่นานนี่เองด้วยซ้ำ“นายเป็นนายบำเรอให้คุณอีธานล่ะสิ ที่บอกว่าเป็นเบต้านี่โกหกใช่ไหม เมื่อวานนี้กลิ่นฟีโรโมนฟุ้งมาก มึงต้องเป็นโอเมก้าแน่ๆ” เกลียดสัญชาตญาณอั
พอเห็นว่าเขาไม่รู้ไม่ชี้อะไร พวกนั้นก็หัวเราะกันเบาๆ กระซิบกระซาบทำเหมือนว่าเสียงจากเครื่องคาราโอเกะมันจะดังกลบทั้งหมด ภูริไม่สนหรอก เขายังคงยิ้ม ดูพวกนี้ที่หลงระเริงในแผนการของตัวเองแล้วก็ตลกดี“ผมชงเหล้าให้นะครับ” ภูริอาศัยที่ว่าแก้วเหล้าของพวกหัวหน้าพร่องไปเกินครึ่งมาเป็นจังหวะในแผนการร้ายของตัวเองโชคดีเหลือเกินที่พวกนี้มองภูริเป็นเบ๊ ก็เลยเอาถังน้ำแข็ง เหล้าและโซดาวางไว้ข้างกายเขา ส่วนพกนั้นนั่งห่างออกไปจะได้สั่งให้ภูริงเหล้าให้ได้ เมื่อภูริอาสาบริการก็ไม่มีใครปฏิเสธ ส่งแก้วเหล้าทั้งห้าใบมาให้พวกนั้นกำลังรอเวลาภูริดื่มแก้วของตัวเองจนหมด เรียกว่าถ้าเร่งเวลาผ่านช่วงเหล้าไหลลงคอไปถึงยาออกฤทธิ์ได้คงทำกันไปแล้ว เมื่อภูริหันหลังชงเหล้า พวกเขาหันไปกระซิบด่าความโง่งมของภูริอีกด่าเข้าไปเถอะ เพราะอีกไม่นานก็คงด่าอะไรไม่ออก ภูริคิดอย่างชั่วร้ายในใจ เขาคิดว่าในแก้วเหล้าเขาคงไม่ใช่ยาพิษ แต่มันก็ต้องไม่ยาที่ดีที่เอาไว้บำรุงร่างกายเขาแน่ๆ เขาค่อยๆ เทเหล้าจากแก้วของตัวเองลงแก้วอีกห้าใบเบาๆ ก่อนชงเหล้าเนียนๆ“ขอบใจ นายชงเหล้าอร่อยนะภูริ” อัลฟ่าคนสนิทพิชัยเอ่
“โอย...ฮึก” แค่ขยับตัวนิดเดียวนะเนี่ย อะไรจะปวดระบมขนาดน้าน! หรือว่า...โดนท่านประธานกระทืบข้อหาปลุกปล้ำแกวะ? ไม่น่านะ ก็เพราะเมื่อวานอีธานดูจะพออกพอใจกับการจ้วงแทงร่างกายเขาเสียพรุนบนกายมีผ้าห่มผืนบางคลุมอยู่ มันมีสีขาวและเหมือนคนคลุมต้องการทำให้เขาเหมือนศพอะ เลยคลุมมันทั้งตัวยันปลายเท้า พอภูริพยายามลุกนั่งจนสำเร็จ เขาก็พบกับร่องรอยประหลาดที่คาดว่าน่าจะโดนตัวอะไรสักตัวขบกัด เอาเป็นว่าเขารู้ว่าตัวนั้นคือตัวอะไร จะไม่เรียกร้องเอาค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอีธานป้อนน้ำให้เขาจนอิ่มตื๊อไปหมดอีกอย่าง...เขาเริ่มเอง!ข้อเนี่ยแหละที่ทำให้ไม่สามารถปริปากเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ได้ทั้งสิ้น ต่อให้บอบช้ำไปทั้งกายและปวดระบมไปทั้งร่างก็ตาม ภูริมองหาเสื้อผ้าของตัวเอง ปลายเท้าเขามีกางเกง ข้างๆ ที่นอนมีเสื้อและอันเดอร์แวร์ อยากร้องโอ้โหดังๆ ความกระจัดกระจายของเสื้อผ้านี้ไม่บ่งบอกถึงความดุเดือดเมื่อคืนเท่าไหร่เลยเนอะ แล้วนอกจากเสื้อผ้าตนเองที่ตกอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ก็ยังมีเสื้อผ้าของอีธานปะปนไปด้วยภูริลุกขึ้นด้วยท่าทางเหมือนคนอายุเจ็ดสิบปลายๆ ที่ร่างกายหมดแล้วซึ่งเรี่ยว
อีธานกินของหวานเรียบร้อยก็กลับเข้าห้องไปอาบน้ำอาบท่า ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กระจัดกระจายอยู่ให้ภูริเก็บกวาด อยากจะให้ถามสักคำว่าเก็บกวาดไหวไหม? เห่อๆ คนอย่างอีธานคงไม่มานั่งถามหรอกว่าไหวหรือเปล่า เป็นไงบ้างจ้ะคนดี บรื้ย...คิดก็ขนลุกแล้วอะภูริตั้งสติเล็กน้อย เสื้อไม่โดนถอดแต่กางเกงมันเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเอาออกไปอะเนาะ เขาคว้ากางเกงเดินเข้าห้องน้ำ ความไม่ใส่ถุงยางนี้ช่างเลอะเทอะเสียจริงเชียว ร่างโปร่งแอบเบะปากคนเดียว นี่ต้องมาจ้วงแทงก้นตัวเองอีกแล้วเหรอ ทำใจไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย รู้สึกกระดากอายอย่างกับสาวน้อยเพิ่งหัดช่วยตัวเองครั้งแรก ไม่ดิ เทียบเป็นฝันเปียกครั้งแรกอาจจะดูดีกว่าเอ๊ะ...หรือแม่มไม่มีอะไรดูดีเลย???ช่างมันเหอะ ภูริส่ายหัวให้กับความคิดเรื่อยๆ มาเรียงๆ ของตัวเอง รีบจัดการกับร่างกายแล้วออกมาทำความสะอาดบ้านโดยไม่ต้องให้เจ้าของบ้านออกมาด่าหรือต่อว่าเขาเลยแม้แต่นิดเดียวขณะที่เช็ดปัดกวาดครัวอยู่ อีธานอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วลงมาในชุดกางเกงขายาวผ้าร่มกับเสื้อกล้าม กลิ่นสบู่ที่เป็นยี่ห้อเดียวกัน ทว่าพออยู่บนร่างกายที่ต่างกันกลิ่นมันก็ดันต่างกันไปด้วย
เคยเข้าใจคำว่า...ความเงียบเป็นความกดดันที่หนักหนาที่สุดไหม? ภูริไม่ค่อยเข้าใจหรอกเพราะแม่เขาไม่เคยโกรธเขาแล้วเงียบใส่ มีแต่ด่า บ่น บ่น และบ่น ภูริชินกับการด่าและบ่นเป็นนิสัย ไม่ว่าจะไปที่ไหน เรียนหรือทำงานก็จะเจอคนพวกนี้ ส่วนคนที่เอาแต่เงียบเมื่อไม่พอใจเนี่ย...ภูริห่างไกลจากคนพวกนั้นมากทีเดียว จนมาเจอนี่แหละอยากบ่นอีธานมาก อยากบอกมากว่าแค่อีธานอยู่เฉยๆ ก็มีความกดดันมากอยู่แล้ว นี่ยังมีความไม่พอใจอะไรบางอย่างแผ่กระจายออกมาอีก ถ้าความกดดันในสายเลือดอัลฟ่ามันฆ่าคนได้ เขาคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะเหลือแต่เศษซากมากกว่าร่างเนื้ออย่างตอนนี้ด่าเขายังดีกว่าเงียบอีกอะ...ภูริหันหน้าเข้ากระจกหน้าตา มองเงาตัวเองในนั้น สายตาเศร้าและปากเบะๆ นี่น่าตลกเป็นบ้า เออ...เห็นหน้าตัวเองแล้วก็ขำได้ นี่เขายังสติดีอยู่ไหมนะ เอ หรือว่าที่อีธานเงียบก็เพราะว่าไม่พอใจที่เขาเข้าไปช่วยคนคนนั้นเหรอ? แล้วที่ไม่พูดนี่คือกลัวจะอารมณ์เสียใส่เขาหรือเปล่าบ้าไปแล้ว...ไอ้ภูมึงมันหลงตัวเอง เข้าใจว่าตัวมึงมันหล่อมาก หล่อจนอัลฟ่าสาวแทบจะสยบแทบอกเลย แต่นี่ไม่ใช่อัลฟ่าธรรมดานะ ไม่มีทางมาหลงเสน่ห์ของเขาห
อีธานแรงเยอะสมกับร่างกายที่กำยำนั่นจริงๆ กว่าจะยอมลุกไปจากตัวเขาได้ก็เล่นเอาเอวแทบคราด ภูรินอนคว่หน้าอยู่บนที่นอนของอีธานในขณะที่เจ้าของห้องเดินไปอาบน้ำอาบท่าแล้ว แหงล่ะ พอใจมากแล้วนี่ กินร่างกายเขายิ่งกว่าของหวานอีก ต้องเรียกว่ากินเป็นมื้อดึกชดเชยก๋วยเตี๋ยวกากๆ นั่นภูริไม่ได้ทิ้งตัวเองบนที่นอนของอีธานนานนัก เขาค่อยๆ ลุกแล้วลงไปนอนข้างเตียงซึ่งเป็นพื้นเปล่าเปลือย อันที่จริงอีธานได้ให้ผ้าห่มมาสองผืนสำหรับปูนอนและห่มกันหนาว แต่เขายังไม่ได้เอามันมาปู กลับมาก็โดนซ้อมเสียก่อนอะนะ แต่ตอนนี้เขาขี้เกียจ ขอลุกทีเดียวตอนไปอาบน้ำก็แล้วกันพื้นหินอ่อนเย็นเชียบแถมยังแข็งกระด้าง ดีนะที่ร่างกายค่อนข้างจะชินกับอะไรที่แข็งทื่อแบบนี้แล้ว ไม่อยากจะบอกเลยว่าที่นอนที่บ้านก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพื้นหินนี่เท่าไหร่นัก นุ่มกว่านิดหน่อยเพราะฟูกแหละ เป็นฟูกยางพารา หึหึ...นุ่มจนอยากหลับไปตลอดกาลเลยความโล่งโจ้งของร่างกายทำให้ภูริรู้สึกแปลกประหลาดนิดหน่อย เขาเลยเอื้อมเอาเสื้อที่ยืมอีธานใส่นั้นมาคลุมช่วงเอวของตัวเองแล้วฟุ่บหน้ากับแขนนต่อไป สมองอันเล็กจ้อยของเขากำลังประมวลผลอยู่ว่าวันนี้เหลือเงิ
มันเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกตาเมื่อผู้บริหารระดับสูงอย่างอีธานจะถือกาแฟถุงกระดาษเดินเข้าบริษัท คนรวยอย่างนั้นจะมานั่งกินกาแฟถุงละสามสิบอย่างนี้น่ะเหรอ เป็นไปได้ยากเสียยิ่งกว่าหิมะตกเมืองไทยเสียอีกแต่ยังไงล่ะ...ในเมื่ออีธานไม่สนใจ สายตาสู่รู้ก็จะถูกปัดไปให้พ้นทางของเขาตามจริงเขาก็คิดว่ากาแฟนี้ไม่อร่อยหรอก มันออกจะหวานมากไปหน่อย แล้วก็ขม ไม่ค่อยหอมเหมือนกาแฟที่เขากินบ่อยๆ แต่พอกินมันไปสักพักเขาก็ชักจะชินกับรสชาติของมันแล้วคิดว่ามันก็ไม่เลว ไม่ใช่กาแฟพันธฺดี แต่กาแฟก็คือกาแฟ“ที่ท่านให้ผมหามาอยู่ในนี้แล้วนะครับ ส่วนนี้เป็นเอกสารการประชุมที่จะเริ่มตอนสิบโมง” นั่งประจำที่ได้อลันก็นำเอกสารมาวางเรียงไว้บนโต๊ะอย่างมีระเบียบ โดยไม่วายแอบมองกาแฟถุงนั่นด้วยความสงสัย ทว่าความสงสัยของอลันนั้นอยู่ได้แค่ในใจ“ภูริมีผลงานแย่ขนาดนั้นเหรอ” เมื่อไล่สายตาอ่านเอกสารการทำงานของภูริพร้อมกับดูดกาแฟรสเข้มจัด อีธานก็พบว่าภูริไม่ได้ค่าคอมพ์มาเป็นปีแล้ว เนื่องจากทะเลาะกับลูกค้า พิชัยจึงไม่ให้ภูริออกไปเสนอขายให้ใครอีก ส่วนโอที...ในนี้ไม่มีระบุว่าภูริทำโอทีเลยทะเลาะกับลูกค้า...
โชคดีของอีธานที่ภูริโทรเข้ามาตอนพักเบลกพอดี ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถสายโทรเข้ามาของอีกฝ่ายได้เนื่องจากติดประชุม แต่ภูริคงไม่รู้หรอกว่าการโทรหาแล้วตัดสายไปทื่อๆ แบบนี้ทำให้อีธานคิดมาก...เขาเนี่ยนะกำลังคิดมากเรื่องโอเมก้าคนนั้น?บ้าเหอะ!อีธานพยายามละทิ้งความคิดอันไร้สาระออกจากหัวแล้วเดินกลับเข้าห้องประชุมอีกครั้ง นี่เป็นงานของเขาและเขาก็ต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกจากงานให้ได้ โดยปกติแล้วอีธานแทบจะไม่เคยพกเรื่องตัวเองเข้าที่ทำงานเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งมามีภูรินี่แหละ แต่เขาก็คือเขา...เขาสามารถวางเรื่องภูริเอาไว้หน้าห้องประชุมได้ง่ายดายกว่าจะประชุมบอร์ดผู้บริหารเสร็จก็กินเวลาไปสองชั่วโมง ตอนนี้เที่ยงวันพอดี อีธานเดินออกมาหน้าห้องขณะพูดคุยกับซีอีโอคนอื่น อันที่จริงพวกเขามีนัดทานมื้อเที่ยงด้วยกันแต่อีธานนั้นขอตัวไปเคลียร์งานของตัวเองในห้อง ทว่าความเป็นจริงคือ...อีธานจะไม่ปล่อยให้ความสงสัยของตัวเองนอนนิ่งโดยไม่ได้รับความกระจ่างจนหมดวันแน่นอน“อลัน ไปตามภูริมาที” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยสั่งคนสนิท“ครับท่าน” และอลันก็มีหน้าที่แค่ทำตามเท่านั้น“เอา
บริษัทยายักษ์ใหญ่ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์เรื่องการบริหารจัดการกับเหล่าผู้คนที่แตกต่างด้านเพศสภาพ อีธานถูกยกย่องให้เป็นผู้บริหารหน้าใหม่ไฟแรงที่มีทัศนะคติดี มองการไกลและให้ความเท่าเทียมกับอัลฟ่า เบต้า หรือแม้กระทั่งชนชั้นที่ต่ำสุดอย่างโอเมก้า ชื่อของบริษัทถุกยกย่องให้เป็นบริษัทต้นแบบในการบริหารผู้คนที่แตกต่าง และจัดการกับการเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในสังคมในหน้าสัมภาษณ์ อีธานกล่าวว่า...ทุกชนชั้นล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ละคนมีความสามารถที่อาจจะด้อยกว่ากันบ้างในบางเรื่อง แต่มีเรื่องด้อยก็ต้องมีเรื่องเด่น เพราะงั้นจะแค่มุมด้อยของเขามาตัดสินมันทั้งชนชั้นไม่ได้ คุณต้องมองมันให้เป็นรายบุคคลและเข้าใจถึงธรรชาติของชนชั้นนั้นๆด้วยความเป็นอัลฟ่าระดับสูง รูปร่าง หน้าตาและฐานะ อีธานกลายเป็นที่จับตามองของสาวน้อยสาวใหญ่ ความสุขุมและเบดกายของเขากลบคำที่ว่าผู้บริหารบริษัทยามันต้องเนิร์ด สวมแว่นและดูแก่หงำเหงือกไปอย่างสิ้นเชิงหญิงสาวหรือแม้แต่ชายหนุ่มที่อ่านข่าวนล้วนจับตามองถึงเรื่องคู่ครอง อีธานกล่าวว่าตัวเขานั้นยังไม่มีใคร ยังไม่เจอคู่แท้ และยังไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ ตอนนี้
เรื่องราวระหว่างคนสองคนที่เกิดขึ้นด้วยความไม่ได้ตั้งใจเดินทางมาถึงจุดสุดท้าย...แรกเริ่มเดิมทีอีธานก็ไม่ได้ต้องการมีคู่แห่งโชคชะตาอยู่แล้ว การตัดสินใจมันเริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาสั่งให้ทีมวิจัยค้นคว้าตัวยาเพื่อแก้คู่แท้ วันที่รู้ว่าตัวเองจะมีคู่ครอง...เขาไม่โอเคกับมันจริงๆ ที่ผ่านมาภูริแสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเองไม่ได้แย่ถึงขนาดเป็นคู่ครองของใครไม่ได้ แต่อีธานก็ไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองอยู่ดีอุดมการณ์เขามั่นคงพอๆ กับการซื่อสัตย์ต่อตัวเอง อีธานไม่ได้รักภูริ เราอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนร่วมเตียง มีเซ็กซ์กัน ไปทำงานด้วยกัน กินข้าวเช้า กลางวันเย็นด้วยกัน กลับบ้านด้วยกัน การดูแลเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรามันเป็นเพียงไมตรีจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่งเมื่อหนังผีเรื่องนั้นจบลง อีธานและภูริก้เดินออกมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป ภูริน่ะตื่นเต้นกับหนัง ดูก็รู้ว่าเขาแฮปปี้กับช่วงเวลาชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมามากแค่ไหน เขาไม่ค่อยได้มาดูหนังนี่นะ พอเจอหนังดีโดนใจก็เลยปลื้มปริ่ม แต่คนที่คิดว่าจะพามาตกใจเล่นกลับเอาแต่นั่งกอดเขานิ่ง ไม่สะดุ้งกับหนังเลยแม้แต่นิดเดียว...อีธานมองหน้าภูร
“วันนี้เงินเดือนออกหนิ” อีธานเอ่ยขึ้นขณะต่างคนต่างลงจากรถหลังการปรับเปลี่ยนกฎและโยกย้ายตำแหน่งพนักงานได้ไม่กี่วัน ภูริก็กลับมาทำงานทั้งที่ยังไม่หายดี เขามีรอยช้ำอยู่ตามตัวแต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร การนอนอยู่ห้องอีธานเฉยๆ คอยทำความสะอาด จัดนู้นจัดนี่แล้วก็ดูทีวีไปวันๆ มันก็ดี แต่เขาก็กลัวว่าเงินเดือนจะไม่พอใช้เลยรีบกลับมาทำงานอีธานไม่พอใจใหญ่เลย ไม่พอใจที่เขาดื้อไม่ฟัง อีธานบอกให้เขารักษาตัวเองให้หายดีก่อน เขาไม่หายดีตรงไหน? ขึ้นโยกได้นี่ก็ถือว่าร่างกายแข็งแรงสุดๆ แล้ว เพราะงั้นคำบ่นอีธานจึงตกไปเมื่อภูริมีเป้าหมายที่ชัดเจนพอกลับมาทำงาน ด้วยไม่มีใครมาขัดขวางเหมือนเมื่อก่อน ภูริจึงออกงานนอกเยอะขึ้น เขาสามารถทำยอดได้เกินเป้าในทุกๆ การขาย ด้วยรอยยิ้ม ด้วยไมตรี เมื่อก่อนภูริขายของเก่งอยู่แล้ว ตอนนี้ได้โชว์ศักยภาพของตัวเองเต็มที่ขึ้นไปอีก ไม่แปลกเลยที่ผลการทำงานในเดือนนี้ของเขาจะดีเกิดคาดไปไกลอีธานยังแปลกใจเลยคิดดูเถอะ ไอ้กระจอกคนนี้ไม่กระจอกนะเว้ย เพื่อปากท้องทั้งสาม ของตัวเอง แม่และน้อง ทำให้ภูริเป็นคนขยัน อืม...เขาขยันเป็นเรื่องปกตินะ เมื่อก่อนก็ขยัน ตอนน
ภูริอุ่นอาหาร เทมันใส่จานแล้วก็เอามาเสิร์ฟ ตามด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ เป็นการปิดท้ายก่อนเดินมานั่งข้างๆ แล้วเริ่มทานมื้อเที่ยง ภูริไม่ได้ถาม ไม่ได้ชวนคุยอะไร ต่างคนต่างกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหมดบอกความจริงให้หนึ่งอย่าง...ภูริไม่ได้มารยาทดีแต่โคตรหิว!คือเมื่อเช้ามันตื่นไมไหวก็เลยนอนลากยาวมานี่แหละเที่ยงวัน น้ำท่าก็ไม่อาบ แค่ล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย กินยาก่อนอาหาร ยาระงับฟีโรโมนแล้วถึงมาอุ่นข้าว ท้องเขาแม่งถือป้ายร้องประท้วงกันเย้วๆ ตอนที่กลิ่นอาหารแม่งลอยออกมาจากตู้อบ อารมณ์แบบ...กินเลยไม่รอร้อนได้ไหมวะ แต่จะให้กินอาหารเย็นๆ มันก็ไม่อร่อย ดังนั้นเพื่อรสชาติที่ดีเขาต้องรออีกนิสสสสแล้วพอกำลังจะอิ่มหนำสำราญใจกับอาหารเที่ยงควบมื้อเช้าอีธานก็ดันโพล่มา ด้วยการเป็นคนดีโลกจดจำ ภูริก็เลยต้องบริการอุ่นและเสิร์ฟอาหารให้เจ้าของห้อง เคยได้ยินไหม อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่นน่ะ แค่อีธานไม่มีลูก ภูริเลยไม่ได้โชว์สกิวปั้นดินที่แสนจะห่วยแตกสมัยเรียนอาจารย์วิชาศิลปะนี่กุมขมับเลยนะ เพราะให้ทำอะไรก็เละเทะไม่มีชิ้นดี
เช้าวันนี้อีธานตื่นเร็วกว่าปกติ เขามีการประชุมใหญ่รออยู่ในช่วงเช้าเพราะหัวหน้าของหลายแผนกถูกจับ โดยเฉพาะหัวหน้าแผนกที่มีความสำคัญมากอย่างเซลล์ ซีอีโอบางคนก็หลุดออกจากตำแหน่งไปเตรียมตัวขึ้นศาลข้อหาฉ้อโกงเรียบร้อย เรียกว่าวันนี้งานอีธานค่อนข้างจะเยอะเลยทีเดียว เพราะงั้นจึงสายไม่ได้ร่างสูงค่อยๆ ลุกจากที่นอนเพื่อไม่ให้ภูริตื่น ที่จริงแล้วภูรินอนพื้นนั่นแหละ แต่อีธานอุ้มขึ้นมานอนด้วยกันตอนอีกฝ่ายหลับสนิทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภูริบาดเจ็บอยู่ เขาอยากให้ภูรินอนอย่างสบายบ้างก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆไม่ได้ชอบการนอนกอดภูริเลยแม้แต่นิดเดียว!ก็นะ...นั่นเป็นข้ออ้างที่เขาพยายามยัดมันใส่หัวตัวเอง เพื่อปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริง ภูริทำให้อีธานได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมันก็ใช่ แต่ความตั้งใจเดิมของอีธานไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังไม่อยากมีคู่เป็นโอเมก้าอยู่ดีนี่มันอยู่คนละส่วนกับการดูถูกชนชั้นอื่น เป็นแค่ความต้องการส่วนตัวที่ฝังรากลึกมานานเป็นสิบปี ระยะเวลาเหล่านั้นมันพังครืนลงไม่ได้ง่ายนัก ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ให้โอเมก้าแต่กำเนิดก็ตามที“เหวย...วันนี้ตื่นก
ปลายกระบอกมือสีเงินแวววาวจรดลงที่ขมับของอัลฟ่าผู้คร่อมทับร่างภูริ อีธานโพล่มาถึงตรงนี้ได้โดยที่คนอื่นไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย เขาปล่อยให้พวกนี้รู้ว่าเขาเข้ามาใกล้ก็ตอนที่เอาปืนจ่อหัวพวกเรียบร้อยพลังควบคุมคนตามธรรมที่อีธานมีนั้นเขาสามารถควบคุมมันได้ จะใช้มากใช้น้อยหรือไม่ใช้เลยเขาก็ทำได้ อย่างตอนเดินเข้ามาก็ไม่ใช้...ค่อยๆ ย่องประชิดเพื่อไม่ให้ใครไหวตัวทัน และตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะใช้ความสามารพิเศษทางสายเลือดของตัวเองกดดันพวกปลายแถวเหล่านี้ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคอเอาไว้ อัลฟ่าชั้นล่างทั้งสี่ต่างไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้ว่าจะยังไม่เห็นปืนกระบอกงามในมือของอีธานด้วยซ้ำ ความหวาดกลัวที่เอ่อท้นขึ้นมานี่คงไม่ต่างอะไรกับการยืนเผชิญหน้าจ่าฝูงผู้แข่งแกร่งเท่าไหร่นัก“ลุกออกมา” อีธานเอาปลายกระบอกปืนดันหัวคนที่คร่อมภูริอยู่ มันค่อยๆ ขยับแล้วออกมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งพอเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นอีธาน ภูริก้รีบลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เข้งขาไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ทั้งยังขวัญหนีดีฟ่อจากการที่โดนจู่โจม นัยน์สีดำคู่นั้นเคลือบไปด้วยหยาดน้ำ...ภูริดึงผ้าที่อุดปากตัวเองออกแล้ว
จนแล้วจนรอดอีธานก็ไม่ได้ให้นาฬิกากับภูริ ในเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนไม่คิดอะไรเขาก็จะทำบ้าง พาไปเลี้ยงข้าว กลับบ้านอาบน้ำอาบท่าแล้วก็แยกย้ายกันนอน ซึ่งก่อนนอนก็มักมีกิจกรรมที่เสื้อผ้าไม่เกี่ยวเกิดขึ้นมันเป็นแบบนั้นเสมอ...แล้วก็แยกย้ายกันไปนอนที่ใครที่มันจากแผนที่อีธานขอให้วิชุตาช่วยเหลือ ในที่สุดก็มาถึงได้เสียที หลัจากปล่อยให้เหตุการณ์อันย่ำแย่ในออฟฟิตของเขาดำเนินต่อมาอีกหลายวัน เมื่อวานนี้เงินภูริออก อีธานได้ขอก๊อปปี้สลิปเงินเดือนมาจากอลันภูริมีโอทีแค่ห้าชั่วโมงทั้งที่ทำโอแม่งเกือบทุกวัน ค่าคอมพ์มีแต่น้อยกว่าที่คาด ก็คงไม่มีอะไรให้เถียงสำหรับค่าคอมพ์ ภูริเพิ่งออกงานนอกตอนเลยกลางเดือนมาแล้วและแค่ไม่กี่เจ้าเท่านั้น โดยรวมภูริก็ได้เงินไม่มากอยู่ดีหลังเลิกงานอีธานมีนัดกับวิชุตาเพื่อดูของที่เธอได้รับจากการสั่งซื้อด่วนเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาให้ภูริไปรอที่ห้างสรรสินค้าใกล้ๆ เสร็จธุระแล้วถึงจะไปรับ ภูริเป็ฯคนง่าย...อะไรก็ได้จึงยอมไปไม่ใช่อะไร...มีหนี้ต้องเคลียร์ใบออเดอร์และของอยู่ตรงหน้าเขา ข้างซ้ายมีวิชุตาและข้างขวาเป็นอลัน พวกเขากำลังตรวจสอบนัมเบ
ออกมาจากบริษัทตอนเก้าโมงกว่า เจอลูกค้าตอนสิบโมงครึ่งจนตอนนี้เที่ยงสิบห้างานเพิ่งเสร็จ ภูริปิดการขายได้อย่างสวยงามและยอดขายรอบนร้ก็เป็นที่น่าภูมิใจสุดๆ นึกถึงคำพูดอีธานตอนแรกๆ ที่เจอกันขึ้นมาเลยแฮะ ที่หาว่าเขาเป็นคนไร้มารยาท ทำตัวแบบนี้เป็นเซลล์ไดยังไง หึหึ อยากให้มาเห็นผลงานเขาหน่อยจะได้ถอนคำพูดพวกนั้นทิ้งไป เขามีความเป็นนักขายนะเว้ย แต่แค่...เลือกปฏิบัติต่อคนอะนะในห้างสรรพสินค้าที่ลูกค้านัดมานั้นมาของกินเยอะแยะมากมาย เหมือนมีการจัดบูธขายอาหารไทยมากมาย เรียงกันเป็นตับ เห็นแล้วท้องร้องหนักมาก ร้องว่าจะกินจะกินจะกิน ติดอย่าง...ติดเงินภูริได้ค่าน้ำมันมาห้าร้อย เขาเติมทั้งห้าร้อยเลยเพราะว่าใบเสร็จนี่ต้องส่งกลับให้บริษัท เคยได้ยินมาว่ามันโกงค่าน้ำมันได้ อย่างเติมสามร้อยแล้วให้เขาออกใบเสร็จเป็นห้าร้อยแลกกับทิปเล็กๆ น้อยๆ แต่ภูริไม่เคยทำ แค่ได้ยินเขาเล่าๆ กัน ส่วนใบเซอร์นี่ก็โกงได้...แค่อันตรายหน่อยหากโดนจับได้ล่ะนะเรื่องโกงกินอะไรพวกนี้ตัดออกไปจากหัวภูริได้เลย สมองเขาคิดแค่จะหมุนเงินยังไงให้มันชนเดือนโดยไม่ต้องไปหยิบยืมใครเขา การเป็นหนี้มันเป็นลาภอันประเสริฐนะ ถ้า
คำว่าน้อยใจของภูริมีผลต่ออีธานมากกว่าที่ภูรินึกเอาไว้...พอกลับมาที่ห้องแล้วอีธานก็สั่งให้ภูริไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่สบายๆ สักตัว เป็นชุดนอนปกติของตัวเองก็ได้แล้วมานอนที่เตียง หมอเพิ่งให้กินยาก็ต้องนอนพักผ่อน ซึ่งการที่อีธานให้นอนเตียงเนี่ยทำเอาภูริยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายไปเป็นนาที“ผีเข้าปะ?” คิดออกแค่นั้นอีธานทำเหมือนคำพูดของภูริมันไร้สาระเกินกว่าจะตอบ เดินหนีไปอาบน้ำอาบท่าปล่อยให้ภูริเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นไปนอน ออกมาก็เจอภูรินอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม หลับตาพริ้มดูมีความสุข น่าแปลก...เห็นภูริมีความสุขแล้วอีธกานก็พลอยมีความสุขไปด้วยอีธานขึ้นนอนข้างๆ ภูริ ต่างคนต่างนอนหลับไปทั้งที่มันเพิ่งจะเป็ฯเวลาเที่ยงวัน นอไปนอนมาภูริก็คว้าเอวอีธานมากอด ซุกแขนล่ำๆ นั้นแล้วหลับน้ำลายยืด คนรู้สึกตัวไวแอบลืมตามก่อนจะหลับไปโดยไม่ว่าหรือไล่ให้เอาหน้าออกไปจากแขนตนบ่ายอีธานทำอาหารให้ภูริกิน แต่ภูริอยากจะเอาอาหารเมื่อวานนี้ไปอุ่น ไม่มีคำอธิบายหรอก แล้วก็รู้ว่าอีธานไม่ยอมทำก็เลยเอาเข้าไมโครเวฟเอง เผอิญว่าเตาอบของอีธานนั้นเป็นเตาอบเครื่องใหญ่ ไม่ใช่ไ