ปัง!
กรี๊ด!!! ภูริถึงกับสาวแตกในใจเพราะจู่ๆ ก็มีใครบางคนมาตบโต๊ะเขาเสียงดังสนั่น เขาอยากเงยหน้าแล้วถามเหลือเกินว่า เจ็บไหม? เอ๊ะ...หรือเขาควรสนใจว่าโต๊ะทำงานของเขายังปลอดภัยอยู่กันล่ะ คำถามกวนประสาทในหัวหายไปทันทีเมื่อเขาเห็นว่าคนที่ตบโต๊ะนั้นเป็นใคร ร่างโปร่งรีบลุกขึ้นยืนกุมมือต่ำ ก็คนคนนี้เป็นหัวหน้าเขานี่หว่า
“เมื่อวานคุณหายไปไหนมา” ตาบอดเหรอตอนท่านประธานลากเขาไปที่ลิฟต์น่ะ ภูริล่ะอยากจะตอบแบบนี้กลับไปจริงๆ ให้ตายเถอะ
“ท่านประธานใช้งานครับ” พอบอกออกไปอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ใช้สายตาสำรวจร่างกายของเขาท่านที เห็นนะเว้ย สายตานั้นละลาบละล้วงมาก ถึงหัวหน้าจะหล่อ แต่ขอโทษ...อีธานหล่อกว่าและสายตาเร่าร้อนกว่าเยอะ
เดี๋ยวนะ เราเปรียบเทียบเพื่อ? หัวหน้าไม่ได้จะแดกเขาเสียหน่อย คิดอะไรบ้าบอจริงเชียว สมองนี่ก็น้า...ทำไมยังคงทำงานวนเวียนอยู่กับอีธานก็ไม่รู้ เพิ่งจะห่างกันได้ไม่นานนี่เองด้วยซ้ำ
“นายเป็นนายบำเรอให้คุณอีธานล่ะสิ ที่บอกว่าเป็นเบต้านี่โกหกใช่ไหม เมื่อวานนี้กลิ่นฟีโรโมนฟุ้งมาก มึงต้องเป็นโอเมก้าแน่ๆ” เกลียดสัญชาตญาณอัลฟ่าแม่งก็ตอนนี้ รู้ดีไปหมด
“...” รู้ดีจนเถียงไม่ออกเลยล่ะ ภูริเก็บอาการลนลานที่โดนจับได้เอาไว้ภายใต้ท่าทีสงบเสงียม ประหนึ่งว่าเถียงไปก็เท่านั้น ซึ่งสิ่งที่เขาคิดก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับความเป็นจริง ถ้าเกิดเขาเถียง...ก็มีแต่ต่อความยาวสาวความยืดเท่านั้นเอง
เขาเหลือบเห็นอีกฝ่ายยิ้มแปลกๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ เหมือนตัวร้ายในละครนึกแผนการอะไรบางอย่างที่มันไม่ดีขึ้นมาได้ในชั่ววินาทีนั้นอะไรเงี้ยเขาอยากถามจริงๆ ว่าหัวหน้ายิ้มอะไร ทว่าอีกฝ่ายแค่ยิ้มแล้วเดินจากไป ไม่ได้ดุด่าหรือว่าเขาต่อเหมือนทุกครั้งที่มักทำ
ต้องดีใจไหมนะ? ไม่โดนด่านี่ต้อง้องตะโกนไชโยโห่ฮิ้วอะไรงี้เลยปะ ร้อยวันพันปีไม่มีหรอกไอ้การถามไม่กี่คำแล้วเดินไปโดนไม่ได้ด่าหรือว่าอะไรเขา หรือว่า...เพราะเขาโดนประธานใช้งาน หัวหน้าก็เลยไม่สามารถดุด่าอะไรได้ ก็อาจจะใช่ โอเค...เป็นอีกเรื่องดีก็แล้วกันเนอะ
“นี่ๆ” แล้วความสบายใจชั่ววินาทีนั้นก็มลายหายไปเมื่อหญิงสาวคนหนึ่งในแผนกเดินเข้ามาสะกิดเข้าที่ไหล่ของเขา ภูริยิ้มหวานใส่เหมือนเคย และเธอก็ดูจะหลงใหลรอยยิ้มของเขา
“ครับ”
“ภูเป็นโอเมก้าจริงเหรอ” ขอขมวดคิ้วแป็บหนึ่ง ถามแบบนี้อีกแล้ว...เพราะอีธานนั่นแหละที่เข้ามาทำให้เขาเกิดอาการฮีตเมื่อวานนี้ ไม่งั้นเรื่องที่เขากลายร่างเป็นโอเมก้าไม่กระจายแพร่สะพัดอย่างที่เป็นอยู่นี่หรอก
แต่...เขาจัดการได้!
“ฮ่าๆ บ้า...ผมเป็นเบต้านะ ผมเป็นเบต้ามาตลอดก็รู้นี่ จู่ๆ จะมากลายเป็นโอเมก้าได้ยังไงล่ะจริงไหมครับ” สีหน้าหญิงสาวดูเห็นด้วยกับเขา
“ก็จริงเนอะ ภูริเป็นเบต้านนี่นา...”
“ใช่ม้า”
“แล้วทำไมเมื่อวานท่านประธานเข้ามาถึงมีกลิ่นฟีโรโมนฟุ้งขนาดนั้นล่ะ” อย่ามาสงสัยอะไรมากจะได้ม้ายยยยย โอ้ยมายก๊อด
“อาจจะเป็นกลิ่นจากท่านประธานก็ได้นะ ผมว่าท่านประธานมีกลิ่นฟีโรโมนทที่หอมมากเลยอะ ไม่แปลกใจเลยที่สาวๆ จะคลั่นไคล้ท่านขนาดนั้น คิดเหมือนกันไหมครับ” ภูริขยิบตาหนึ่งทีให้หญิงสาวราวกับรู้ใจเธอ และเธอเองก็ยิ้มเขิน
“จริง ปฏิเสธไม่ออกเลยล่ะ ท่านประธานนะเป็นชายหนุ่มที่สาวๆ ทุกคนใฝ่ฝันอยากได้เป็นคู่แท้เลยล่ะ เราว่าผู้ชายบางคนก็อยากได้ท่านน้า เฮ้อ เห็นหน้าท่านแล้วอยากกลายเป็นโอเมก้าเลย ติดอย่างเดียว...ท่านดูหยิ่งไปหน่อย” ไม่หน่อยหรอก เยอะเลยล่ะ แถมไม่ชอบโอเมก้าอีกต่างหาก สาวๆ รู้เข้าจะใจสลายไหมที่ชายในฝันไม่ได้ดีอย่างที่เห็นด้วยตาเปล่า
แต่ก็เป็นไปได้ว่าอีธานจะเป็นแบบนั้นกับเขาคนเดียว เพราะการมีเขาเป็นคู่แท้นั้นเกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจหรือโชคชะตาลิขิตอะไรแบบนั้น ภูริยังคิดไม่ตกเลยว่าทำไมท่านถึงได้อารมณ์แปรปรวนแบบนั้น เดี๋ยวกอดเขาด้วยความเร่าร้อน เดี๋ยวด่าเขาด้วยความชิงชัง เอาตรงๆ บางทีปรับอารมณ์ตามไม่ทันอะนะ
“อาจจะเป็นแค่มาดของท่านก็ได้นะ ผมว่าเป็นปกติออกที่อัลฟ่าชั้นสูงจะไว้ตัวหน่อยๆ”
“ใช่ๆ เราก็คิดแบบนั้น...แต่ยังไงก็เหอะ ภูริยังเป็นหนุ่มใจเรานะ” ว่าแล้วเธอก็ลูบตั้งแต่ศอกจนมาถึงหัวไหล่ของเขา เป็นการบอกนัยๆ ว่าชอบนะร่างกายของนาย เขาก็ชอบร่างกายของเธอ เป็นไปได้ก็อยากจะชวนไป...อะนะ
“ดีใจจังครับ” เขาส่งยิ้มหวานหยดให้
“ถ้ามีโอกาส...”
“ผมไม่พลาดหรอก” เขารีบต่อคำของหญิงสาว เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร
“น่ารักที่สุด เราไปทำงานนะ...ภูตั้งใจทำงานนะคะ”
“ครับ”
ต่างคนต่างแยกกันไปทำงานในส่วนของตัวเอง ภูริก็ยังคงมีงานมากมายให้ต้องจัดการ ทั้งงานที่เขาทำค้างเอาไว้ตั้งสองวัน แม่ง...มาทำงานก็เหมือนไม่ได้มาทำงาน เพราะคุณประธานผู้ประเสริฐเลิศศรีนั่นคนเดียวเลย ถ้าเมื่อวานปล่อยเขาให้ลงมาเคลียร์งานของตัวเองป่านนี้งานเขาคงไม่เยอะท่วมหัวแบบที่เป็นอยู่หรอก
ขอสาปแช่งให้งานท่านปรธานเยอะกว่าเขาสักสามสี่เท่า นี่ดีนะที่ได้เงินค่ากาแฟมาพันหนึ่ง ไม่งั้นจะสาปแช่งให้รุนแรงกว่านี้ ว่าแล้วก็หันไปดูดกาแฟโบราญในถุงต่อด้วยความสบายอกสบายใจ
เขาทำงานอย่างมีความสุขได้ไม่เกินสิบโมงครึ่ง หัวหน้าเอางานมาโยนเพิ่มและคนบางจำพวกก็เข้ามาขอให้เขาทำนั่นทำนี่ให้ ภูริไม่สามารถต่อต้านพวกนั้นได้เพราะความเป็นอัลฟ่าของพวกนั้น จะว่าเป็นความเคยชินไปแล้วก็ได้ เขามีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำแม้ว่ามันจะไม่ใช่งานในส่วนของตัวเองเลยก็ตาม
บางทีการที่เขารู้สึกเหนื่อยมากอาจจะเพราะงานพวกนี้แหละ งานเขาเองก็ว่าเยอะแล้ว เจองานคนอื่นเข้าไปอีกก็ยิ่งเหนื่อยหนัก เฮ้อ... คงมีแค่การถอนหายใจ ฟังเพลงที่ชอบและกินกาแฟถุงละสามสิบของตัวเองประทังความเบื่อหน่ายไป
ก็ถ้าเราไม่มีความสุขอยู่กับงานที่ทำ...เราก็จะไม่สามารถทำมันออกมาได้ดี ภูริพยายามเป็นคนคิดบวก ไม่ได้หมายถึงเอะอะเดินเข้าไปบวกเลยแบบนั้นนะเฟ้ย ถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังไม่โตมาจนถึงป่านนี้หรอก น่าจะโดนยำคาเท้าใครสักคนตั้งแต่สมัยเรียนอะนะ
ช่วงเที่ยงพนักงานต่างแยกย้ายกันไปพัก บ้างก็จับกลุ่มไปทานอาหารหรูที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ นี้ ไม่ก็นั่งกินข้าวในโรงอาหารกันเป็นกลุ่มๆ ภูริเองก็มีเพื่อนๆ ผู้ชายที่เป็นเบต้าด้วยกันสองคน ตอนแรกเขาคิดว่าจะซื้อมาม่ามานั่งกินที่โต๊ะทำงาน แต่พอดีได้เงินจากอีธานมาตั้งหนึ่งพันบาท เขาก็เลยตัดสินใจลงไปทานมื้อเที่ยงกับเพื่นที่โรงอาหารของบริษัท
ภูริสั่งข้าวผัดหมูพิเศษ ราคาห้าสิบบาทซึ่งได้ข้าวเยอะกว่าสี่สิบห้าบาท แหงล่ะ ก็สั่งพิเศษนี่ ถ้าสั่งปกติทั่วไปมันก็สี่สิบห้าบาทและมันอาจจะไม่พอเขาอิ่ม ไหนๆ ก็มีเงินพอเจียดมากินได้ ก็ขอกินให้อิ่มท้องหน่อย ไม่ใช่กินพอประทังชีวิตไปวันๆ เพื่อนของเขาอีกสองคนมักกินอะไรที่ไม่คำนวณเงินมากนัก เป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีภาระแตกต่างกันไป
“มึงๆ หัวหน้าชวนไปดื่มเย็นนี้วะ” เพื่อนหนึ่งเอ่ยชวนเขาหลังตักข้าวเข้าไปได้ห้าคำ
“ชวนในไลน์เหรอ”
“เออดิ ไปกัน ไม่ได้ไปดื่มนานแล้ว วันนี้สันศุกร์ด้วยนะเว้ย” เพื่อนหนึ่งดูกระตือรือร้น ภูริก็รู้หรอกว่าเพื่อนคนนี้กระเหี้ยนกระหระหือรือในการดื่มมากแค่ไหน แต่ก็จริงนะว่าเขาไม่ได้ไปดื่มกับเพื่อนที่บริษัทนานแล้ว
“ไปปะภู” เพื่อนสองเอ่ยถาม
“เอ่อ...” ไปดีไหมล่ะ ได้เงินมาตั้งพันหนึ่งนี่ควรเอาไปใช้หรือเปล่า มันอาจจะดูก๊อกก๊อกในความรู้สึกของคนอื่นนะ หรืออาจจะคิดว่าเงินนี่เอาไปใช้ให้มันหมดๆ ก็ได้อะไรเถือกนั้น แต่ในความรู้สึกของภูริแล้ว เขาค่อนข้างจะแคร์เงินจำนวณนี้พอสมควร เพราะหนึ่งพันบาทเขาสามารถใช้มันยันสิ้นเดือนได้เลย
“ไม่ให้ปฏิเสธ เดี๋ยวนี้มึงไม่ได้ไปกับพวกกูเลย”
“ก็ได้ๆ ออกกันคนละเท่าไหน่วะ หัวหน้าบอกปะ” ถ้าไม่กี่ร้อยเขาพอไหวนะ
“ไม่รู้วะ เขาบอกว่าหารกัน”
“เคๆ” หารกัน...เกิดกินแบบล้างผลาญนี่กระเป๋าตูไม่ฉีกเหรอวะ! แต่ช่างเหอะ...ไปก็ไป
เพื่อนหนึ่งของเขาส่งข้อความไปคอนเฟิร์มหัวหน้าว่าทั้งสามนี้จะไปด้วย ซึ่งพิกัดที่หัวหน้าส่งมาก็เป็นร้านประจำที่พวกเขาเคยไปนั่นแหละ มันมีห้องคาราโอเกะส่วนตัว สะดวกสำหรับการไปเป็นหมู่คระ จะดื่มจะกินจะร้องเพลงเสียงดังแค่ไหนก็ได้ ไม่เดือดร้อนใคร นี่เป็นข้อดีของการใช้บริการห้องส่วนตัว
หลังมื้อเที่ยง ภูริแอบไปกินยาต้านฟีโรโมนตัวเองต่อ โชคดีที่วันนี้อีธานไม่มาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ เขาเลยไม่มีอาการฮีต ถึงภูริจะมใช่โอเมก้าแต่กำเนิด แต่เขาก็พอรู้นะว่าคู่แท้ที่ยังไม่ยอมจับคู่นั้น เวลาอยู่ใกล้กันมันจะติดไฟได้ง่ายมาก และเขาเองอะนะก็ไม่เคยต้านทานแรงปรารถนาของอีธานได้เลย
โถ่...สยิวขนาดนั้นใครจะไปทน
อีกฝ่ายทำให้เขามีความสุข ทั้งการเล้าโลมและจังหวะกระแทกกระทั้น ยิ่งสบตากับอีธานยิ่งรู้สึกเร้าร้อน นี่แค่คิดยังร้อนรุ่มเลยนะ ถ้าอยู่ใกล้นี่ไม่ต้องห่วง กอดกันฟัดกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วแน่นอน เพราะไม่ใช่แค่อีธานอยู่ใกล้เขาแล้วเกิดอารมณ์จนควบคุมไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียว ภูริก็เสือกเป็นไปกับเขาด้วยไง บางทีเริ่มเองเลยนะเว้ย! คล้องคอเสร็จเอาตัวถูไถทันทีอะไรเถือกนี่
ว่าแต่...จะคิดให้ตัวเองอยากทำไมวะเนี่ย!
ภูริอยากทึ้งหัวตัวเองให้เส้นผมมันหลุดออกมาเป็นกระหย่อมๆ แต่คิดอีกที ถ้าผมหลุดหลุ่ยออกมาแบบนั้นเขาคงมีสภาพน่าเกลียดมากแน่ ไม่ดีๆ เขาเก็บอาการแล้วเดินกลับไปนั่งเล่นกับเพื่อนๆ คงเป็นการดีที่สุดแล้ว
เลิกงานวันนี้ พนักงานทุกคนพร้อมใจกันทิ้งโอทีเพื่อจะไปปาร์ตี้สังสรรค์ตามที่ได้รับคำชวนจากหัวหน้าแผนก ภูริเองก็กระตือรือร้นที่จะเก็บข้าวของ หลายคนอจไม่ค่อยปลื้อมเขา แต่อีกหลายคนชื่นชอบเขาเป็นที่สุด พนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามากอดแขนของภูริเอาไว้แน่นขณะที่กำลังเดินไปพร้อมๆ กับพนักงานคนอื่น
ภูริมีรอยยิ้มแสนสดใสให้เพื่อนร่วมงานทุกคนเสมอ ถึงคนคนนั้นจะชอบตนหรือไม่ก็ตาม ยังไงซะนี่ก็สังคมออฟฟิต ไม่ชอบกันขนาดไหนก็ไม่ไดถึงขั้นว่าเดินร่วมกันไม่ได้ มองหน้ากันไม่ติด หรืออยู่ใกล้กันเป็นต้องแขวะอะไรกันขนาดนั้น โดยรวมแล้วก็ดูเหมือนพวกเขารักกันดี
ทั้งหมดเดินทางไปร้านอาหารที่ว่าทันทีโดยไม่มีการแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของหรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เรียกว่าปาร์ตี้แบบสงบๆ นั่งกินข้าว นั่งดื่มและฟังเพลงกันไปชิวๆ มากกว่า ภูริพูดคุยกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ไม่ว่าใครเอ่ยถามหรือชวนคุยเขาสามารถคุยได้หมด และคำถามที่ฮิตในเวลานี้ก็คงเป็นเรื่องที่เขากลายเป็นโอเมก้า ภูริปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม เขาสามารถทำให้เรื่องจริงมันกลายเป็นเรื่องตลกได้ง่ายดาย
พิชัยและลูกน้องอัลฟ่าผู้รักดีอีกห้าคนไม่ได้ตลกไปกับภูริ พวกนั้นลอบมองแผ่นหลังได้รูปของอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้มากกว่า คนรักภูริน่ะเยอะ เพราะงี้ต่อให้ผลการประเมินในแผนกจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่ผลประเมินจากส่วนอื่นๆ กลับดีจนน่าใจหาย พิชัยอยากจะดีดภูริออกไปให้พ้นๆ หน้า เป็นแค่เบต้า แต่ความสามารถและความสุภาพเรียบร้อยของมันดึกสาวๆ ไปจนหมด
ภูรินั่งมองอาหารและเครื่องดื่มถูกทยอยเสิร์ฟมาตรงหน้า เพื่อนเขานั่งข้างและพวกมันก็จ้วงกินกับแกล้มกันอย่างเอร็ดอร่อย ภูริสนใจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า เขาต้องบอกว่าเขาจน ถ้าอยากเมาเองคนเดียวต้องดื่มเบียร์ ไม่มีทางเสียเงินไปกับรีเจนซี่แบบที่หัวหน้าพิชัยสั่งเข้ามาแน่ๆ แต่เอ๊ะ...เขาก็ต้องหารค่าเหล้านี่หว่า
เอาแล้ววววว งานนี้เขาจะหมดตัวไหมวะ!
ช่างมันก่อนแล้วกัน มาถึงขั้นนี้แล้ว ทางที่ดีคือดื่มมันเข้าไปเถอะ ยิ่งเสียเงินก็ยิ่งต้องดื่มให้คุ้ม ไม่งั้นมื้อนี้เขาอาจไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเลย หญิงสาวส่วนใหญ่จะกลายเป็นนักร้องเมื่อมีคาราโอเกะตั้งอยู่ตรงหน้า พวกเธอลิสรายการเพลงและภูริก็อาสาเป็นคนกดเปิดเพลงตามที่พวกเธอต้องการ
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสนุกสนาน เสียงเพลงคลอเคลียไปกับเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมงาน เวลานี้ภูริรู้สึกว่าความบาดหมางที่เคยมีมันเจือจางลงไปบ้าง เมื่อเราต้องมานั่งชนแก้วและพูดคุยกับคนที่ไม่ถุกกัน แอลกอฮอลนี่มันสร้างมิตรภาพจริงๆ เลยให้ตายสิ!
“เอ่อ...เดี๋ยวพวกเราขอตัวกลับก่อนนะ” ราวสามทุ่ม หญิงสาวส่วนใหญ่เริ่มปลีกตัว พวกเธอดื่มไม่เยอะและก็เหนื่อยมากแล้วอยากกลับไปพักผ่อน
“เดี๋ยวเราไปส่ง” อัลฟ่าคนหนึ่งที่ไม่ถูกกับภูริอาสาขึ้นมา
“ไม่เอาอะ ให้ภูไปส่ง ภูจ๋า ไปส่งหน่อยน้า” โดนอ้อนขนาดนี้ใครมันจะกล้าปฏิเสธ!
“ได้เลยครับคุณผู้หญิง” ภูกริยิ้มหวานให้สาวๆ เขาไม่เห็นเลยว่าสายตาไม่พอใจหลายคู่ทิ่มแทงมาที่เขา
จะเรียกว่าตอนนี้ภูริมึนในระดับหนึ่งก้เลยรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงได้น้อยลงก็ว่าได้ เขาเดินออกไปส่งสาวๆ โดยไม่ลืมพกยาต้านฟีโรโมนไปด้วย ไม่รู้ทำไมต้องพก รู้แค่ต้องกินในอีกไม่นานนี้ เขามาส่งหญิงสาวที่หน้าร้าน รอแท็กซี่เป็นเพื่อนพวกเธอ จนกระทั่งทุกคนถูกส่งขึ้นรถกลับไป เขาถึงได้เดินกลับเข้าไปทางห้องคาราโอเกะอีกครั้ง
ทว่า...ยังไม่ทันถึงที่หมาย เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์เครื่องกากแสนกากของภูริก็ดังขึ้น มันช่างพอเหมาะพอเจาะตอนที่เขาเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องคาราโอเกอะพอดี เขารีบหยิบมันออกมา นึกว่าแม่หรือน้องโทรมาตาม เพราะไม่ได้โทรบอกเอาไว้ก่อนว่าวันนี้จะกลับดึก แต่หน้าจอของเขามันขึ้นแค่เบอร์...
“สวัสดีครับ ภูริพูดสายครับผม” เขาพูดเสียงสุภาพกลับไป
(นายอยู่ไหน) เอ๊ะ...เสียงคุ้นๆ
“นี่ใครอะครับ?”
(ผัวนายไง) ชะอุ้ยยยยย ดุด้วย!
“คุณอีธานเหรอ”
(ใช่ ตอนนี้คุณอยู่ไหน เลิกงานแล้วทำไมถึงไม่รอผม...ผมบอกว่าผมจะไปรับไปส่งคุณไง จำไม่ได้เหรอ ความจำสั้นมากใช่ไหม อยากให้ผมต้องตอกย้ำความจำให้คุณฟังอีกครั้งหรือเปล่าครับคุณภูริ) เอิ่ม ทำไมดุ ทำไมโกรธเกรี้ยวอย่างนั้นล่ะคร้าบบบบ
“คือ...หัวหน้าชวนมาดื่มอะครับ”
(ไปดื่มกับอัลฟ่า คิดว่าตัวเองเป็นเบต้าอยู่หรือไง!) อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ขึ้นมาทันทีทันใด เล่นเอาภูริตกใจขวัญหายกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาลูบหน้าอกตัวเองป่อยๆ แบบ...โดนดุแล้วใจเต้นแรง
นี่กูเป็นบ้า?
“แต่ว่าผมทานยาแล้วนะครับ”
(ยาช่วยอะไรคุณได้ล่ะ อยู่กับผมมันยังช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย บอกที่อยู่มาเดี๋ยวนี้เลยนะ!) ภูริเกาหัวตัวเองเบาๆ
“ผมอยู่ที่...” แต่ก็ยอมบอกที่อยู่อีกฝ่ายไปแต่โดยดี
(แล้วมีใครอยู่ที่นั่นบ้างตอนนี้ ทำอะไรกันบ้างฮะ)
“ก็เหลือเพื่อนๆ ผู้ชายครับ ผู้หญิงกลับไปเมื่อกี้ แล้วก็...กินเหล้ากัน”
(เวรเอ้ย!!! ไอ้โง่) แล้วสายก็โดนตัดไป เขาโง่เหรอ? มากินเหล้ากับที่ทำงานนี่โง่เหรอ?
“อะไรของเขาวะ...” ภูริมองหน้าจอมือถือที่มือทึบของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เคยเข้าใจอะไรในตัวอีธานเลย แต่ก็ช่างงมันเถอะ อีธานอาจสูงส่งเกินกว่าเขาจะเข้าใจได้ก็ได้
ภูริลอบมองเข้าไปข้างในห้องร้องคาราโอเกะผ่านกระจกบานเล็กๆ หน้าประตู สายตาอาจพล่าเบลอไปหน่อย แต่เขาเห็นว่าพิชัยกำลังทำอะไรบางอย่างกับแก้วเหล้าสีอำพันของเขา
เอ....ฉากแบบนี้เคยเจอที่ไหนมาก่อนเหรือเปล่านะ อ้อ นึกออกแล้ว น้องสาวสุดที่รัก แม่ภูฟ้าของพี่นี่เองที่เล่าฉากมอมยาให้เขาฟัง มันเป็นแกในนิยายแหละ และตอนนี้มันอาจจะเกิดขึ้นกับเขา
หึหึ...
ภูริยิ้มกว้างออกมา สวมบทบาทเป็นตัวร้ายที่แสนจะน่าเอ็นดูเป็นที่สุด เขาเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสยังคงอยู่ แต่ไม่มีใครดูออกว่ารอยยิ้มของภูรินั้นสื่อความหมายอะไร
ในสายตาพวกนั้นน่ะ...ภูริเป็นแค่ไอ้โง่
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไอ้โง่คนนี้น่ะมันก็แค่...แกล้งโง่!
.
.
.
พอเห็นว่าเขาไม่รู้ไม่ชี้อะไร พวกนั้นก็หัวเราะกันเบาๆ กระซิบกระซาบทำเหมือนว่าเสียงจากเครื่องคาราโอเกะมันจะดังกลบทั้งหมด ภูริไม่สนหรอก เขายังคงยิ้ม ดูพวกนี้ที่หลงระเริงในแผนการของตัวเองแล้วก็ตลกดี“ผมชงเหล้าให้นะครับ” ภูริอาศัยที่ว่าแก้วเหล้าของพวกหัวหน้าพร่องไปเกินครึ่งมาเป็นจังหวะในแผนการร้ายของตัวเองโชคดีเหลือเกินที่พวกนี้มองภูริเป็นเบ๊ ก็เลยเอาถังน้ำแข็ง เหล้าและโซดาวางไว้ข้างกายเขา ส่วนพกนั้นนั่งห่างออกไปจะได้สั่งให้ภูริงเหล้าให้ได้ เมื่อภูริอาสาบริการก็ไม่มีใครปฏิเสธ ส่งแก้วเหล้าทั้งห้าใบมาให้พวกนั้นกำลังรอเวลาภูริดื่มแก้วของตัวเองจนหมด เรียกว่าถ้าเร่งเวลาผ่านช่วงเหล้าไหลลงคอไปถึงยาออกฤทธิ์ได้คงทำกันไปแล้ว เมื่อภูริหันหลังชงเหล้า พวกเขาหันไปกระซิบด่าความโง่งมของภูริอีกด่าเข้าไปเถอะ เพราะอีกไม่นานก็คงด่าอะไรไม่ออก ภูริคิดอย่างชั่วร้ายในใจ เขาคิดว่าในแก้วเหล้าเขาคงไม่ใช่ยาพิษ แต่มันก็ต้องไม่ยาที่ดีที่เอาไว้บำรุงร่างกายเขาแน่ๆ เขาค่อยๆ เทเหล้าจากแก้วของตัวเองลงแก้วอีกห้าใบเบาๆ ก่อนชงเหล้าเนียนๆ“ขอบใจ นายชงเหล้าอร่อยนะภูริ” อัลฟ่าคนสนิทพิชัยเอ่
“โอย...ฮึก” แค่ขยับตัวนิดเดียวนะเนี่ย อะไรจะปวดระบมขนาดน้าน! หรือว่า...โดนท่านประธานกระทืบข้อหาปลุกปล้ำแกวะ? ไม่น่านะ ก็เพราะเมื่อวานอีธานดูจะพออกพอใจกับการจ้วงแทงร่างกายเขาเสียพรุนบนกายมีผ้าห่มผืนบางคลุมอยู่ มันมีสีขาวและเหมือนคนคลุมต้องการทำให้เขาเหมือนศพอะ เลยคลุมมันทั้งตัวยันปลายเท้า พอภูริพยายามลุกนั่งจนสำเร็จ เขาก็พบกับร่องรอยประหลาดที่คาดว่าน่าจะโดนตัวอะไรสักตัวขบกัด เอาเป็นว่าเขารู้ว่าตัวนั้นคือตัวอะไร จะไม่เรียกร้องเอาค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอีธานป้อนน้ำให้เขาจนอิ่มตื๊อไปหมดอีกอย่าง...เขาเริ่มเอง!ข้อเนี่ยแหละที่ทำให้ไม่สามารถปริปากเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ได้ทั้งสิ้น ต่อให้บอบช้ำไปทั้งกายและปวดระบมไปทั้งร่างก็ตาม ภูริมองหาเสื้อผ้าของตัวเอง ปลายเท้าเขามีกางเกง ข้างๆ ที่นอนมีเสื้อและอันเดอร์แวร์ อยากร้องโอ้โหดังๆ ความกระจัดกระจายของเสื้อผ้านี้ไม่บ่งบอกถึงความดุเดือดเมื่อคืนเท่าไหร่เลยเนอะ แล้วนอกจากเสื้อผ้าตนเองที่ตกอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ก็ยังมีเสื้อผ้าของอีธานปะปนไปด้วยภูริลุกขึ้นด้วยท่าทางเหมือนคนอายุเจ็ดสิบปลายๆ ที่ร่างกายหมดแล้วซึ่งเรี่ยว
อีธานกินของหวานเรียบร้อยก็กลับเข้าห้องไปอาบน้ำอาบท่า ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กระจัดกระจายอยู่ให้ภูริเก็บกวาด อยากจะให้ถามสักคำว่าเก็บกวาดไหวไหม? เห่อๆ คนอย่างอีธานคงไม่มานั่งถามหรอกว่าไหวหรือเปล่า เป็นไงบ้างจ้ะคนดี บรื้ย...คิดก็ขนลุกแล้วอะภูริตั้งสติเล็กน้อย เสื้อไม่โดนถอดแต่กางเกงมันเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเอาออกไปอะเนาะ เขาคว้ากางเกงเดินเข้าห้องน้ำ ความไม่ใส่ถุงยางนี้ช่างเลอะเทอะเสียจริงเชียว ร่างโปร่งแอบเบะปากคนเดียว นี่ต้องมาจ้วงแทงก้นตัวเองอีกแล้วเหรอ ทำใจไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย รู้สึกกระดากอายอย่างกับสาวน้อยเพิ่งหัดช่วยตัวเองครั้งแรก ไม่ดิ เทียบเป็นฝันเปียกครั้งแรกอาจจะดูดีกว่าเอ๊ะ...หรือแม่มไม่มีอะไรดูดีเลย???ช่างมันเหอะ ภูริส่ายหัวให้กับความคิดเรื่อยๆ มาเรียงๆ ของตัวเอง รีบจัดการกับร่างกายแล้วออกมาทำความสะอาดบ้านโดยไม่ต้องให้เจ้าของบ้านออกมาด่าหรือต่อว่าเขาเลยแม้แต่นิดเดียวขณะที่เช็ดปัดกวาดครัวอยู่ อีธานอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วลงมาในชุดกางเกงขายาวผ้าร่มกับเสื้อกล้าม กลิ่นสบู่ที่เป็นยี่ห้อเดียวกัน ทว่าพออยู่บนร่างกายที่ต่างกันกลิ่นมันก็ดันต่างกันไปด้วย
เคยเข้าใจคำว่า...ความเงียบเป็นความกดดันที่หนักหนาที่สุดไหม? ภูริไม่ค่อยเข้าใจหรอกเพราะแม่เขาไม่เคยโกรธเขาแล้วเงียบใส่ มีแต่ด่า บ่น บ่น และบ่น ภูริชินกับการด่าและบ่นเป็นนิสัย ไม่ว่าจะไปที่ไหน เรียนหรือทำงานก็จะเจอคนพวกนี้ ส่วนคนที่เอาแต่เงียบเมื่อไม่พอใจเนี่ย...ภูริห่างไกลจากคนพวกนั้นมากทีเดียว จนมาเจอนี่แหละอยากบ่นอีธานมาก อยากบอกมากว่าแค่อีธานอยู่เฉยๆ ก็มีความกดดันมากอยู่แล้ว นี่ยังมีความไม่พอใจอะไรบางอย่างแผ่กระจายออกมาอีก ถ้าความกดดันในสายเลือดอัลฟ่ามันฆ่าคนได้ เขาคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะเหลือแต่เศษซากมากกว่าร่างเนื้ออย่างตอนนี้ด่าเขายังดีกว่าเงียบอีกอะ...ภูริหันหน้าเข้ากระจกหน้าตา มองเงาตัวเองในนั้น สายตาเศร้าและปากเบะๆ นี่น่าตลกเป็นบ้า เออ...เห็นหน้าตัวเองแล้วก็ขำได้ นี่เขายังสติดีอยู่ไหมนะ เอ หรือว่าที่อีธานเงียบก็เพราะว่าไม่พอใจที่เขาเข้าไปช่วยคนคนนั้นเหรอ? แล้วที่ไม่พูดนี่คือกลัวจะอารมณ์เสียใส่เขาหรือเปล่าบ้าไปแล้ว...ไอ้ภูมึงมันหลงตัวเอง เข้าใจว่าตัวมึงมันหล่อมาก หล่อจนอัลฟ่าสาวแทบจะสยบแทบอกเลย แต่นี่ไม่ใช่อัลฟ่าธรรมดานะ ไม่มีทางมาหลงเสน่ห์ของเขาห
อีธานแรงเยอะสมกับร่างกายที่กำยำนั่นจริงๆ กว่าจะยอมลุกไปจากตัวเขาได้ก็เล่นเอาเอวแทบคราด ภูรินอนคว่หน้าอยู่บนที่นอนของอีธานในขณะที่เจ้าของห้องเดินไปอาบน้ำอาบท่าแล้ว แหงล่ะ พอใจมากแล้วนี่ กินร่างกายเขายิ่งกว่าของหวานอีก ต้องเรียกว่ากินเป็นมื้อดึกชดเชยก๋วยเตี๋ยวกากๆ นั่นภูริไม่ได้ทิ้งตัวเองบนที่นอนของอีธานนานนัก เขาค่อยๆ ลุกแล้วลงไปนอนข้างเตียงซึ่งเป็นพื้นเปล่าเปลือย อันที่จริงอีธานได้ให้ผ้าห่มมาสองผืนสำหรับปูนอนและห่มกันหนาว แต่เขายังไม่ได้เอามันมาปู กลับมาก็โดนซ้อมเสียก่อนอะนะ แต่ตอนนี้เขาขี้เกียจ ขอลุกทีเดียวตอนไปอาบน้ำก็แล้วกันพื้นหินอ่อนเย็นเชียบแถมยังแข็งกระด้าง ดีนะที่ร่างกายค่อนข้างจะชินกับอะไรที่แข็งทื่อแบบนี้แล้ว ไม่อยากจะบอกเลยว่าที่นอนที่บ้านก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพื้นหินนี่เท่าไหร่นัก นุ่มกว่านิดหน่อยเพราะฟูกแหละ เป็นฟูกยางพารา หึหึ...นุ่มจนอยากหลับไปตลอดกาลเลยความโล่งโจ้งของร่างกายทำให้ภูริรู้สึกแปลกประหลาดนิดหน่อย เขาเลยเอื้อมเอาเสื้อที่ยืมอีธานใส่นั้นมาคลุมช่วงเอวของตัวเองแล้วฟุ่บหน้ากับแขนนต่อไป สมองอันเล็กจ้อยของเขากำลังประมวลผลอยู่ว่าวันนี้เหลือเงิ
มันเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกตาเมื่อผู้บริหารระดับสูงอย่างอีธานจะถือกาแฟถุงกระดาษเดินเข้าบริษัท คนรวยอย่างนั้นจะมานั่งกินกาแฟถุงละสามสิบอย่างนี้น่ะเหรอ เป็นไปได้ยากเสียยิ่งกว่าหิมะตกเมืองไทยเสียอีกแต่ยังไงล่ะ...ในเมื่ออีธานไม่สนใจ สายตาสู่รู้ก็จะถูกปัดไปให้พ้นทางของเขาตามจริงเขาก็คิดว่ากาแฟนี้ไม่อร่อยหรอก มันออกจะหวานมากไปหน่อย แล้วก็ขม ไม่ค่อยหอมเหมือนกาแฟที่เขากินบ่อยๆ แต่พอกินมันไปสักพักเขาก็ชักจะชินกับรสชาติของมันแล้วคิดว่ามันก็ไม่เลว ไม่ใช่กาแฟพันธฺดี แต่กาแฟก็คือกาแฟ“ที่ท่านให้ผมหามาอยู่ในนี้แล้วนะครับ ส่วนนี้เป็นเอกสารการประชุมที่จะเริ่มตอนสิบโมง” นั่งประจำที่ได้อลันก็นำเอกสารมาวางเรียงไว้บนโต๊ะอย่างมีระเบียบ โดยไม่วายแอบมองกาแฟถุงนั่นด้วยความสงสัย ทว่าความสงสัยของอลันนั้นอยู่ได้แค่ในใจ“ภูริมีผลงานแย่ขนาดนั้นเหรอ” เมื่อไล่สายตาอ่านเอกสารการทำงานของภูริพร้อมกับดูดกาแฟรสเข้มจัด อีธานก็พบว่าภูริไม่ได้ค่าคอมพ์มาเป็นปีแล้ว เนื่องจากทะเลาะกับลูกค้า พิชัยจึงไม่ให้ภูริออกไปเสนอขายให้ใครอีก ส่วนโอที...ในนี้ไม่มีระบุว่าภูริทำโอทีเลยทะเลาะกับลูกค้า...
โชคดีของอีธานที่ภูริโทรเข้ามาตอนพักเบลกพอดี ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถสายโทรเข้ามาของอีกฝ่ายได้เนื่องจากติดประชุม แต่ภูริคงไม่รู้หรอกว่าการโทรหาแล้วตัดสายไปทื่อๆ แบบนี้ทำให้อีธานคิดมาก...เขาเนี่ยนะกำลังคิดมากเรื่องโอเมก้าคนนั้น?บ้าเหอะ!อีธานพยายามละทิ้งความคิดอันไร้สาระออกจากหัวแล้วเดินกลับเข้าห้องประชุมอีกครั้ง นี่เป็นงานของเขาและเขาก็ต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกจากงานให้ได้ โดยปกติแล้วอีธานแทบจะไม่เคยพกเรื่องตัวเองเข้าที่ทำงานเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งมามีภูรินี่แหละ แต่เขาก็คือเขา...เขาสามารถวางเรื่องภูริเอาไว้หน้าห้องประชุมได้ง่ายดายกว่าจะประชุมบอร์ดผู้บริหารเสร็จก็กินเวลาไปสองชั่วโมง ตอนนี้เที่ยงวันพอดี อีธานเดินออกมาหน้าห้องขณะพูดคุยกับซีอีโอคนอื่น อันที่จริงพวกเขามีนัดทานมื้อเที่ยงด้วยกันแต่อีธานนั้นขอตัวไปเคลียร์งานของตัวเองในห้อง ทว่าความเป็นจริงคือ...อีธานจะไม่ปล่อยให้ความสงสัยของตัวเองนอนนิ่งโดยไม่ได้รับความกระจ่างจนหมดวันแน่นอน“อลัน ไปตามภูริมาที” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยสั่งคนสนิท“ครับท่าน” และอลันก็มีหน้าที่แค่ทำตามเท่านั้น“เอา
มื้อเที่ยงกับอีธานเป็นอาหารไทยที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงาม ดูน่าเอาไว้ท่ายรูปอัปโหลดลงโซเชี่ยลมากกว่าจะเอามากิน แต่เมื่อได้ลิ้มรสเข้าไป ภูริก็คิดว่ารสชาติเขาดีมากเลย เสียดาย บางอย่างติดเผ็ดมากไปหน่อยสำหรับภูริเมื่อทานมื้อเที่ยงกันเสร็จก็ได้เวลาเข้างานพอดี ก็ครึ่งชั่วโมงแรกเล่นกินเนื้อสดกันบนโต๊ะทำงานนี่นะ อีธานไม่เดินไปส่งภูริเพราะอลันเข้ามาพร้อมสูทสำหรับใส่ไปงานเลี้ยง เห็นว่าภูริเหลือบมองนิดหน่อย แต่เจ้าตัวไม่ได้ถามอะไรแค่เดินออกไปเงียบๆ“อีกครึ่งชั่วโมงต้องเดินทางครับท่าน” อลันรายงานเรื่องเวลา“อืม ให้งานภูริหรือยัง”“ผมจัดการแล้วครับ เดี๋ยวเขาต้องออกไปเสนอของให้ลูกค้ารายหนึ่ง ผมให้คนติดตามไปห่างๆ หนึ่งคน” อีธานฟังพลางเซ็นเอกสารที่ทำค้างไว้ตอนภูริเข้ามา“จับตามองเขาในที่ทำงานด้วยนะ” เพราะเกิดเรื่องวันนี้ขึ้น อีธานจึงปล่อยมันไปเฉยๆ ไม่ได้ ไหนจะเรื่องที่ภูริไม่เคยออกไปเสนอขายของให้กับลูกค้า ไหนจะเรื่องโอทีที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เลย เขาว่ามันน่าสงสัยเกินไป“ได้ครับ” อลันรับคำโดยไม่ถามคำถามใดๆ เขายืนนิ่งอยู่ครึ่งหนึ่งแล้วก็เดินออกไปเมื่ออีธานก้มหน้าอ
บริษัทยายักษ์ใหญ่ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์เรื่องการบริหารจัดการกับเหล่าผู้คนที่แตกต่างด้านเพศสภาพ อีธานถูกยกย่องให้เป็นผู้บริหารหน้าใหม่ไฟแรงที่มีทัศนะคติดี มองการไกลและให้ความเท่าเทียมกับอัลฟ่า เบต้า หรือแม้กระทั่งชนชั้นที่ต่ำสุดอย่างโอเมก้า ชื่อของบริษัทถุกยกย่องให้เป็นบริษัทต้นแบบในการบริหารผู้คนที่แตกต่าง และจัดการกับการเหลื่อมล้ำที่มีอยู่ในสังคมในหน้าสัมภาษณ์ อีธานกล่าวว่า...ทุกชนชั้นล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ละคนมีความสามารถที่อาจจะด้อยกว่ากันบ้างในบางเรื่อง แต่มีเรื่องด้อยก็ต้องมีเรื่องเด่น เพราะงั้นจะแค่มุมด้อยของเขามาตัดสินมันทั้งชนชั้นไม่ได้ คุณต้องมองมันให้เป็นรายบุคคลและเข้าใจถึงธรรชาติของชนชั้นนั้นๆด้วยความเป็นอัลฟ่าระดับสูง รูปร่าง หน้าตาและฐานะ อีธานกลายเป็นที่จับตามองของสาวน้อยสาวใหญ่ ความสุขุมและเบดกายของเขากลบคำที่ว่าผู้บริหารบริษัทยามันต้องเนิร์ด สวมแว่นและดูแก่หงำเหงือกไปอย่างสิ้นเชิงหญิงสาวหรือแม้แต่ชายหนุ่มที่อ่านข่าวนล้วนจับตามองถึงเรื่องคู่ครอง อีธานกล่าวว่าตัวเขานั้นยังไม่มีใคร ยังไม่เจอคู่แท้ และยังไม่เจอคนที่ถูกใจจริงๆ ตอนนี้
เรื่องราวระหว่างคนสองคนที่เกิดขึ้นด้วยความไม่ได้ตั้งใจเดินทางมาถึงจุดสุดท้าย...แรกเริ่มเดิมทีอีธานก็ไม่ได้ต้องการมีคู่แห่งโชคชะตาอยู่แล้ว การตัดสินใจมันเริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาสั่งให้ทีมวิจัยค้นคว้าตัวยาเพื่อแก้คู่แท้ วันที่รู้ว่าตัวเองจะมีคู่ครอง...เขาไม่โอเคกับมันจริงๆ ที่ผ่านมาภูริแสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเองไม่ได้แย่ถึงขนาดเป็นคู่ครองของใครไม่ได้ แต่อีธานก็ไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจของตัวเองอยู่ดีอุดมการณ์เขามั่นคงพอๆ กับการซื่อสัตย์ต่อตัวเอง อีธานไม่ได้รักภูริ เราอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนร่วมเตียง มีเซ็กซ์กัน ไปทำงานด้วยกัน กินข้าวเช้า กลางวันเย็นด้วยกัน กลับบ้านด้วยกัน การดูแลเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรามันเป็นเพียงไมตรีจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่งเมื่อหนังผีเรื่องนั้นจบลง อีธานและภูริก้เดินออกมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป ภูริน่ะตื่นเต้นกับหนัง ดูก็รู้ว่าเขาแฮปปี้กับช่วงเวลาชั่วโมงครึ่งที่ผ่านมามากแค่ไหน เขาไม่ค่อยได้มาดูหนังนี่นะ พอเจอหนังดีโดนใจก็เลยปลื้มปริ่ม แต่คนที่คิดว่าจะพามาตกใจเล่นกลับเอาแต่นั่งกอดเขานิ่ง ไม่สะดุ้งกับหนังเลยแม้แต่นิดเดียว...อีธานมองหน้าภูร
“วันนี้เงินเดือนออกหนิ” อีธานเอ่ยขึ้นขณะต่างคนต่างลงจากรถหลังการปรับเปลี่ยนกฎและโยกย้ายตำแหน่งพนักงานได้ไม่กี่วัน ภูริก็กลับมาทำงานทั้งที่ยังไม่หายดี เขามีรอยช้ำอยู่ตามตัวแต่มันก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร การนอนอยู่ห้องอีธานเฉยๆ คอยทำความสะอาด จัดนู้นจัดนี่แล้วก็ดูทีวีไปวันๆ มันก็ดี แต่เขาก็กลัวว่าเงินเดือนจะไม่พอใช้เลยรีบกลับมาทำงานอีธานไม่พอใจใหญ่เลย ไม่พอใจที่เขาดื้อไม่ฟัง อีธานบอกให้เขารักษาตัวเองให้หายดีก่อน เขาไม่หายดีตรงไหน? ขึ้นโยกได้นี่ก็ถือว่าร่างกายแข็งแรงสุดๆ แล้ว เพราะงั้นคำบ่นอีธานจึงตกไปเมื่อภูริมีเป้าหมายที่ชัดเจนพอกลับมาทำงาน ด้วยไม่มีใครมาขัดขวางเหมือนเมื่อก่อน ภูริจึงออกงานนอกเยอะขึ้น เขาสามารถทำยอดได้เกินเป้าในทุกๆ การขาย ด้วยรอยยิ้ม ด้วยไมตรี เมื่อก่อนภูริขายของเก่งอยู่แล้ว ตอนนี้ได้โชว์ศักยภาพของตัวเองเต็มที่ขึ้นไปอีก ไม่แปลกเลยที่ผลการทำงานในเดือนนี้ของเขาจะดีเกิดคาดไปไกลอีธานยังแปลกใจเลยคิดดูเถอะ ไอ้กระจอกคนนี้ไม่กระจอกนะเว้ย เพื่อปากท้องทั้งสาม ของตัวเอง แม่และน้อง ทำให้ภูริเป็นคนขยัน อืม...เขาขยันเป็นเรื่องปกตินะ เมื่อก่อนก็ขยัน ตอนน
ภูริอุ่นอาหาร เทมันใส่จานแล้วก็เอามาเสิร์ฟ ตามด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ เป็นการปิดท้ายก่อนเดินมานั่งข้างๆ แล้วเริ่มทานมื้อเที่ยง ภูริไม่ได้ถาม ไม่ได้ชวนคุยอะไร ต่างคนต่างกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหมดบอกความจริงให้หนึ่งอย่าง...ภูริไม่ได้มารยาทดีแต่โคตรหิว!คือเมื่อเช้ามันตื่นไมไหวก็เลยนอนลากยาวมานี่แหละเที่ยงวัน น้ำท่าก็ไม่อาบ แค่ล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย กินยาก่อนอาหาร ยาระงับฟีโรโมนแล้วถึงมาอุ่นข้าว ท้องเขาแม่งถือป้ายร้องประท้วงกันเย้วๆ ตอนที่กลิ่นอาหารแม่งลอยออกมาจากตู้อบ อารมณ์แบบ...กินเลยไม่รอร้อนได้ไหมวะ แต่จะให้กินอาหารเย็นๆ มันก็ไม่อร่อย ดังนั้นเพื่อรสชาติที่ดีเขาต้องรออีกนิสสสสแล้วพอกำลังจะอิ่มหนำสำราญใจกับอาหารเที่ยงควบมื้อเช้าอีธานก็ดันโพล่มา ด้วยการเป็นคนดีโลกจดจำ ภูริก็เลยต้องบริการอุ่นและเสิร์ฟอาหารให้เจ้าของห้อง เคยได้ยินไหม อยู่บ้านท่านอย่างนิ่งดูดาย ปั้นวัว ปั้นควายให้ลูกท่านเล่นน่ะ แค่อีธานไม่มีลูก ภูริเลยไม่ได้โชว์สกิวปั้นดินที่แสนจะห่วยแตกสมัยเรียนอาจารย์วิชาศิลปะนี่กุมขมับเลยนะ เพราะให้ทำอะไรก็เละเทะไม่มีชิ้นดี
เช้าวันนี้อีธานตื่นเร็วกว่าปกติ เขามีการประชุมใหญ่รออยู่ในช่วงเช้าเพราะหัวหน้าของหลายแผนกถูกจับ โดยเฉพาะหัวหน้าแผนกที่มีความสำคัญมากอย่างเซลล์ ซีอีโอบางคนก็หลุดออกจากตำแหน่งไปเตรียมตัวขึ้นศาลข้อหาฉ้อโกงเรียบร้อย เรียกว่าวันนี้งานอีธานค่อนข้างจะเยอะเลยทีเดียว เพราะงั้นจึงสายไม่ได้ร่างสูงค่อยๆ ลุกจากที่นอนเพื่อไม่ให้ภูริตื่น ที่จริงแล้วภูรินอนพื้นนั่นแหละ แต่อีธานอุ้มขึ้นมานอนด้วยกันตอนอีกฝ่ายหลับสนิทไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภูริบาดเจ็บอยู่ เขาอยากให้ภูรินอนอย่างสบายบ้างก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆไม่ได้ชอบการนอนกอดภูริเลยแม้แต่นิดเดียว!ก็นะ...นั่นเป็นข้ออ้างที่เขาพยายามยัดมันใส่หัวตัวเอง เพื่อปฏิเสธความรู้สึกที่แท้จริง ภูริทำให้อีธานได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมันก็ใช่ แต่ความตั้งใจเดิมของอีธานไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังไม่อยากมีคู่เป็นโอเมก้าอยู่ดีนี่มันอยู่คนละส่วนกับการดูถูกชนชั้นอื่น เป็นแค่ความต้องการส่วนตัวที่ฝังรากลึกมานานเป็นสิบปี ระยะเวลาเหล่านั้นมันพังครืนลงไม่ได้ง่ายนัก ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ให้โอเมก้าแต่กำเนิดก็ตามที“เหวย...วันนี้ตื่นก
ปลายกระบอกมือสีเงินแวววาวจรดลงที่ขมับของอัลฟ่าผู้คร่อมทับร่างภูริ อีธานโพล่มาถึงตรงนี้ได้โดยที่คนอื่นไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย เขาปล่อยให้พวกนี้รู้ว่าเขาเข้ามาใกล้ก็ตอนที่เอาปืนจ่อหัวพวกเรียบร้อยพลังควบคุมคนตามธรรมที่อีธานมีนั้นเขาสามารถควบคุมมันได้ จะใช้มากใช้น้อยหรือไม่ใช้เลยเขาก็ทำได้ อย่างตอนเดินเข้ามาก็ไม่ใช้...ค่อยๆ ย่องประชิดเพื่อไม่ให้ใครไหวตัวทัน และตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะใช้ความสามารพิเศษทางสายเลือดของตัวเองกดดันพวกปลายแถวเหล่านี้ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคอเอาไว้ อัลฟ่าชั้นล่างทั้งสี่ต่างไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้ว่าจะยังไม่เห็นปืนกระบอกงามในมือของอีธานด้วยซ้ำ ความหวาดกลัวที่เอ่อท้นขึ้นมานี่คงไม่ต่างอะไรกับการยืนเผชิญหน้าจ่าฝูงผู้แข่งแกร่งเท่าไหร่นัก“ลุกออกมา” อีธานเอาปลายกระบอกปืนดันหัวคนที่คร่อมภูริอยู่ มันค่อยๆ ขยับแล้วออกมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ ร่างโปร่งพอเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นอีธาน ภูริก้รีบลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ เข้งขาไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ทั้งยังขวัญหนีดีฟ่อจากการที่โดนจู่โจม นัยน์สีดำคู่นั้นเคลือบไปด้วยหยาดน้ำ...ภูริดึงผ้าที่อุดปากตัวเองออกแล้ว
จนแล้วจนรอดอีธานก็ไม่ได้ให้นาฬิกากับภูริ ในเมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนไม่คิดอะไรเขาก็จะทำบ้าง พาไปเลี้ยงข้าว กลับบ้านอาบน้ำอาบท่าแล้วก็แยกย้ายกันนอน ซึ่งก่อนนอนก็มักมีกิจกรรมที่เสื้อผ้าไม่เกี่ยวเกิดขึ้นมันเป็นแบบนั้นเสมอ...แล้วก็แยกย้ายกันไปนอนที่ใครที่มันจากแผนที่อีธานขอให้วิชุตาช่วยเหลือ ในที่สุดก็มาถึงได้เสียที หลัจากปล่อยให้เหตุการณ์อันย่ำแย่ในออฟฟิตของเขาดำเนินต่อมาอีกหลายวัน เมื่อวานนี้เงินภูริออก อีธานได้ขอก๊อปปี้สลิปเงินเดือนมาจากอลันภูริมีโอทีแค่ห้าชั่วโมงทั้งที่ทำโอแม่งเกือบทุกวัน ค่าคอมพ์มีแต่น้อยกว่าที่คาด ก็คงไม่มีอะไรให้เถียงสำหรับค่าคอมพ์ ภูริเพิ่งออกงานนอกตอนเลยกลางเดือนมาแล้วและแค่ไม่กี่เจ้าเท่านั้น โดยรวมภูริก็ได้เงินไม่มากอยู่ดีหลังเลิกงานอีธานมีนัดกับวิชุตาเพื่อดูของที่เธอได้รับจากการสั่งซื้อด่วนเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาให้ภูริไปรอที่ห้างสรรสินค้าใกล้ๆ เสร็จธุระแล้วถึงจะไปรับ ภูริเป็ฯคนง่าย...อะไรก็ได้จึงยอมไปไม่ใช่อะไร...มีหนี้ต้องเคลียร์ใบออเดอร์และของอยู่ตรงหน้าเขา ข้างซ้ายมีวิชุตาและข้างขวาเป็นอลัน พวกเขากำลังตรวจสอบนัมเบ
ออกมาจากบริษัทตอนเก้าโมงกว่า เจอลูกค้าตอนสิบโมงครึ่งจนตอนนี้เที่ยงสิบห้างานเพิ่งเสร็จ ภูริปิดการขายได้อย่างสวยงามและยอดขายรอบนร้ก็เป็นที่น่าภูมิใจสุดๆ นึกถึงคำพูดอีธานตอนแรกๆ ที่เจอกันขึ้นมาเลยแฮะ ที่หาว่าเขาเป็นคนไร้มารยาท ทำตัวแบบนี้เป็นเซลล์ไดยังไง หึหึ อยากให้มาเห็นผลงานเขาหน่อยจะได้ถอนคำพูดพวกนั้นทิ้งไป เขามีความเป็นนักขายนะเว้ย แต่แค่...เลือกปฏิบัติต่อคนอะนะในห้างสรรพสินค้าที่ลูกค้านัดมานั้นมาของกินเยอะแยะมากมาย เหมือนมีการจัดบูธขายอาหารไทยมากมาย เรียงกันเป็นตับ เห็นแล้วท้องร้องหนักมาก ร้องว่าจะกินจะกินจะกิน ติดอย่าง...ติดเงินภูริได้ค่าน้ำมันมาห้าร้อย เขาเติมทั้งห้าร้อยเลยเพราะว่าใบเสร็จนี่ต้องส่งกลับให้บริษัท เคยได้ยินมาว่ามันโกงค่าน้ำมันได้ อย่างเติมสามร้อยแล้วให้เขาออกใบเสร็จเป็นห้าร้อยแลกกับทิปเล็กๆ น้อยๆ แต่ภูริไม่เคยทำ แค่ได้ยินเขาเล่าๆ กัน ส่วนใบเซอร์นี่ก็โกงได้...แค่อันตรายหน่อยหากโดนจับได้ล่ะนะเรื่องโกงกินอะไรพวกนี้ตัดออกไปจากหัวภูริได้เลย สมองเขาคิดแค่จะหมุนเงินยังไงให้มันชนเดือนโดยไม่ต้องไปหยิบยืมใครเขา การเป็นหนี้มันเป็นลาภอันประเสริฐนะ ถ้า
คำว่าน้อยใจของภูริมีผลต่ออีธานมากกว่าที่ภูรินึกเอาไว้...พอกลับมาที่ห้องแล้วอีธานก็สั่งให้ภูริไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่สบายๆ สักตัว เป็นชุดนอนปกติของตัวเองก็ได้แล้วมานอนที่เตียง หมอเพิ่งให้กินยาก็ต้องนอนพักผ่อน ซึ่งการที่อีธานให้นอนเตียงเนี่ยทำเอาภูริยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายไปเป็นนาที“ผีเข้าปะ?” คิดออกแค่นั้นอีธานทำเหมือนคำพูดของภูริมันไร้สาระเกินกว่าจะตอบ เดินหนีไปอาบน้ำอาบท่าปล่อยให้ภูริเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นไปนอน ออกมาก็เจอภูรินอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม หลับตาพริ้มดูมีความสุข น่าแปลก...เห็นภูริมีความสุขแล้วอีธกานก็พลอยมีความสุขไปด้วยอีธานขึ้นนอนข้างๆ ภูริ ต่างคนต่างนอนหลับไปทั้งที่มันเพิ่งจะเป็ฯเวลาเที่ยงวัน นอไปนอนมาภูริก็คว้าเอวอีธานมากอด ซุกแขนล่ำๆ นั้นแล้วหลับน้ำลายยืด คนรู้สึกตัวไวแอบลืมตามก่อนจะหลับไปโดยไม่ว่าหรือไล่ให้เอาหน้าออกไปจากแขนตนบ่ายอีธานทำอาหารให้ภูริกิน แต่ภูริอยากจะเอาอาหารเมื่อวานนี้ไปอุ่น ไม่มีคำอธิบายหรอก แล้วก็รู้ว่าอีธานไม่ยอมทำก็เลยเอาเข้าไมโครเวฟเอง เผอิญว่าเตาอบของอีธานนั้นเป็นเตาอบเครื่องใหญ่ ไม่ใช่ไ