จ้าวชิงเฟิงเดินกลับมาทางเดิม ในใจคิดถึงเรื่องราวที่ตงเหมยบอกเล่า...
ป้ายวิญญาณของพระชายาตู้จินเหลียนไม่ได้รับการตั้งไว้ในที่ที่เหมาะสม กลับถูกตั้งไว้ในห้องศิลาที่เหมือนคุกคุมขัง
หลังงานศพ...ตงเหมยที่เป็นสาวใช้คนสนิทของพระชายาตู้จินเหลียนก็ถูกชินอ๋องสั่งให้มาเฝ้าป้ายวิญญาณของพระชายาตู้ ถูกขังอยู่ในห้องศิลาด้วย
นางไม่มีเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยน ไม่ได้อาบน้ำ อาหารก็ได้รับเพียงวันละมื้อ ซ้ำเป็นอาหารหยาบๆ อย่างที่เคยให้พระชายาจ้าวชิงเฟิงในสมัยเป็นจ้าวอี๋เหนียงกิน แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือจำนวนอาหารน้อยลงกว่านั้นอีก ตงเหมยไม่เคยกินอิ่มเลยสักมื้อ แถมบางมื้อยังเป็นอาหารบูดเน่า
กินนอนขับถ่ายในห้องศิลานั้น!
“นางเคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรเอาไว้ เวลานี้ก็ได้รับผลกรรมนั้นตอบแทนแล้ว”
จางจงที่เดินติดตามจ้าวชิงเฟิงกล่าวขึ้น
“ข้ารู้ แต่ในส่วนลึก ข้าก็อดไม่สบายใจไม่ได้”
จ้าวชิงเฟิงกล่าวเสียงแผ่วเบา
“ข้ารู้ว่า...ท่านอ๋องกำลังแก้แค้นให้กับพวกเรา ที่ตงเหมยไม่ถูกโบยจนตายอย่างอาซานแล้วทิ้งศพให้สุนัขป่ากัดกิน ก็นับว่าท่านอ๋องกรุณานางมากแล้ว แต่...”
“แต่อะไรหรือขอรับ?” จางจงถาม
“ข้าอดหวาดกลัวท่านอ๋องไม่ได้!” จ้าวชิงเฟิงถอนหายใจเบาๆ “คนกล่าวกันว่า...ฮ่องเต้เปรียบเสมือนเสือดุร้าย แต่ข้าว่าท่านอ๋องก็ไม่ต่างกัน บางทีอาจจะดุร้ายเสียยิ่งกว่า!”
แม่สื่อมาหาราชครูตู้เสียงกับคุณชายหยางป๋อที่จวนราชครู
ราชครูต้อนรับนางที่ห้องโถงรับรอง...พอทุกคนนั่งลงเรียบร้อย และสาวใช้นำน้ำชาอย่างดีมาให้ทั้งเจ้าบ้านและคนเป็นแขกแล้ว
“มีข่าวดีจะมาบอกใช่หรือไม่?”
ท่านราชครูเปิดฉากสนทนาขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
แต่แม่สื่อมีสีหน้าออกจะหนักใจนิดๆ
“ข้าน้อยก็อยากจะให้มีข่าวดีมาถึงจวนของใต้เท้ามากกว่าใครๆ แต่...”
“แต่อะไรหรือ?”
คุณชายหยางป๋อถามขึ้นทันที
“ข้างนอกมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับคุณชายไปในทางที่มิใคร่ดีนักเจ้าค่ะ”
“ข่าวลืออะไรหรือ?”
ท่านราชครูขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจนัก
“เอ้อ...เรื่องคุณชายมีอนุสิบกว่านาง”
แม่สื่อยังไม่ทันกล่าวจบประโยคดี
คุณชายหยางป๋อก็แทรกขึ้นมาอย่างลืมตัว
“เหลวไหลทั้งเพ ข้ามีอนุแค่เจ็ดนางเท่านั้น”
พูดถึงท้ายประโยค...คุณชายหยางป๋อก็เห็นท่านราชครูถลึงตามอง จึงรีบหุบปากอย่างไว
“เฮ้อออ...” แม่สื่อถอนหายใจยาวๆ “จะสิบกว่านางหรือจะเจ็ดนาง...มันก็ทำให้คุณหนูมู่ตานไม่พอใจอย่างมาก จนแทบจะให้บ่าวรับใช้ไล่ตะเพิดข้าน้อยออกมาจากจวน”
“เรื่องนี้...ข้าจะแก้ไขเอง”
คุณชายหยางป๋อเอ่ยขึ้นด้วยทีท่าขึงขัง
“แก้ไขอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”
นางถามก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
“ข้าจะไล่พวกนางไปให้หมด”
คุณชายจอมเจ้าเล่ห์กล่าว
พร้อมๆ กับท่านราชครูโพล่งขึ้นว่า
“ไม่ได้”
คุณชายหยางป๋อรีบขยิบตาให้กับท่านราชครู
“ฮึ...” ท่านราชครูทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ
หลังจากแม่สื่อกลับไปแล้ว
ท่านราชครูตู้เสียงก็กล่าวอย่างไม่พอใจ
“หยางป๋อ...เจ้าไล่พวกนางไปแล้ว จะให้ข้าทำอย่างไร อนุคนอื่นของเจ้า ข้าไม่ว่า แต่อนุสามนางที่กำลังตั้งครรภ์นั้นไม่ได้”
“ข้ารู้ ท่านพ่อ...แต่เวลานี้ขับไล่พวกนางออกจากจวนอย่างเอิกเกริกก่อน ให้คุณหนูมู่ตานเห็นความจริงใจของข้า จากนั้นค่อยรับพวกนางกลับมาอย่างลับๆ”
คุณชายหยางป๋ออธิบายแผนการที่วางเอาไว้
“ส่วนเรื่องเอาทารกเข้าวังไปปลอมแปลงเป็นพระโอรสของฮ่องเต้กับพระสนมเอกกุ้ยเฟยตู้จินหลานนั้นย่อมต้องดำเนินต่อไปตามเดิม ขอเพียงพระสนมเอกตู้กุ้ยเฟยมีพระโอรส ตำแหน่งฮองเฮาจะไปไหนเสียล่ะขอรับท่านพ่อ”
ท่านราชครูพยักหน้าพลางลูบเคราที่คางอย่างพอใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น...รถม้าสองคัน ก็แล่นออกจากหน้าจวนราชครู
คันหนึ่งมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยสี่นางนั่งอยู่
อีกคันหนึ่งมีหญิงสาวตั้งครรภ์สามนางนั่งรวมกันไป
รถม้าทั้งสองคันแล่นออกนอกประตูเมืองหลวงไป...
ชาวบ้านที่มุงดูต่างถามไถ่
“ในรถม้านั่นใครหนะ?”
“เห็นว่าเป็นอนุภรรยาของคุณชายหยางป๋อ”
“พวกนางจะไปไหนหรือ?”
“ถูกคุณชายหยางป๋อขับไล่”
“พวกนางทำความผิดอะไรหรือ?”
“ทำผิดหรือไม่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าคุณชายหยางป๋อกำลังจะสู่ขอคุณหนูมู่ตานธิดาของท่านมหาเสนาบดีมาเป็นภรรยาเอก ก็ต้องทอดทิ้งเหล่าอนุภรรยาเพื่อให้ฝ่ายหญิงพอใจเป็นธรรมดา”
“น่าสงสารเนอะ”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งผละออกจากเหล่าชาวมุงอย่างเงียบๆ แล้วเดินไปสมทบกับเฉินกุ่ยองครักษ์ซ้ายของชินอ๋อง
“ท่านองครักษ์ซ้าย...หยางป๋อขับไล่เหล่าอนุภรรยาไปแล้ว”
“อืม” องครักษ์ซ้ายพยักหน้า “เฝ้าดูจวนราชครูต่อไป”
“ขอรับ”
เย็นวันนั้น...องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยก็มารายงานชินอ๋องว่า
“หยางป๋อขับไล่อนุภรรยาออกจากจวนราชครูอย่างเปิดเผย แต่กลับมิได้ตัดขาดจากพวกนางอย่างแท้จริง รถม้าที่มีอนุภรรยาสี่นางแล่นไปยังบ้านพักนอกเมือง บ้านพักหลังนั้นเป็นสมบัติของราชครูตู้เสียง พวกนางพักอาศัยอยู่ที่นั่น ส่วนอนุภรรยาที่ตั้งครรภ์อยู่สามนาง เขาลอบรับกลับมาที่จวนราชครูอย่างเงียบๆ ขอรับ”
ชินอ๋องเคาะนิ้วบนโต๊ะ เอ่ยช้าๆ ว่า
“เขาอาจจะเป็นห่วงลูกในครรภ์ของพวกนาง แต่ก็เป็นการหลอกลวงคุณหนูมู่ตาน” ชินอ๋องเอ่ยเสียงเรียบๆ “เฉินกุ่ยส่งคนเข้าไปในจวนราชครู หรือไม่ก็ซื้อคนในจวนราชครู ดูซิว่าเรื่องนี้พอจะใช้ประโยชน์อะไรได้หรือไม่”
“ขอรับ”
องครักษ์ซ้ายเฉินกุ่ยน้อมกายคำนับรับคำสั่ง
พอดีชินอ๋องได้ยินเสียงฝีเท้าที่หน้าห้อง
“นั่นผู้ใด?”
“ข้าเองขอรับ”
เสียงจ้าวชิงเฟิงขานรับ
“ข้าเข้าไปได้หรือไม่...ท่านอ๋อง”
“เข้ามาสิ”
เฉินกุ่ยเดินไปเปิดประตู
จ้าวชิงเฟิงยกถาดที่วางชามขนมหวานกับช้อนกระเบื้องเข้ามา
จางจงที่ตามหลังมา ไม่ได้ตามเข้ามาในห้องด้วย แต่กวักมือเรียกเฉินกุ่ยให้ออกไป
เฉินกุ่ยออกไปแล้ว ปิดประตูห้องให้อย่างแผ่วเบาอย่างรู้หน้าที่...
จ้าวชิงเฟิงวางถาดลงบนโต๊ะตรงหน้าท่านอ๋อง
“ของว่างขอรับ”
“อะไร?”
“ถั่วเขียวต้มน้ำตาล”
“.....” ชินอ๋องเกือบจะบอกออกไปว่าไม่ชอบของหวาน แต่เห็นสีหน้าประดักประเดิดของพระชายาก็เลยยั้งปากไว้ไม่พูด
“อะ...เอ้อ...ข้าเพิ่งจะต้มเป็นครั้งแรก คงไม่อร่อย ท่าน...ท่านอ๋องอย่ากินจะดีกว่า”
ชินอ๋องไม่พูดไม่จาก็ยกชามถั่วเขียวต้มน้ำตาลขึ้นตักกินจนหมด
“อร่อยมาก”
จางจงนำกล่องไม้ที่ทำเป็นรูปแปดเหลี่ยม ฝากล่องแกะสลักลวดลายดอกไม้สวยงามมาให้จ้าวชิงเฟิงที่กำลังวาดภาพเล่นอยู่ในศาลาชมสวน “ท่านอ๋องกลับมาจากราชสำนัก ได้แวะซื้อผลไม้เชื่อมร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดมาให้พระชายาขอรับ” เอ่ยพลางส่งกล่องผลไม้เชื่อมกล่องนั้นให้ จ้าวชิงเฟิงรับมาเปิดดู เห็นในกล่องแบ่งออกเป็นแปดช่อง แต่ละช่องมีผลไม้เชื่อชนิดแห้งใส่อยู่หนึ่งอย่าง “เสี่ยวหงไปนำชามมา” พระชายาสั่ง “เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรับคำอย่างร่าเริง เพราะรู้ว่าพระชายาชอบแบ่งขนมของกินที่ชินอ๋องซื้อมาฝากแทบจะทุกวันให้พวกตนมีบุญได้ลองลิ้มชิมรสด้วยเสมอ...นางไปไม่นานก็กลับมาพร้อมชามใบไม่ใหญ่นักหลายใบและช้อนสำหรับตักแบ่ง จ้าวชิงเฟิงแบ่งผลไม้เชื่อมให้แก่บรรดาสาวๆ เพราะจางจงและเสี่ยวหยวนจื่อนั้นไม่ชอบผลไม้เชื่อม “เอ้า...นี่ของเสี่ยวหง นี่ของเสี่ยวชุ่ย และนี่ของเสี่ยวเตี๋ย” แต่ละสาวต่างมารับชามใส่ผลไม้เชื่อมไป เรียงตามลำดับ “เสี่ยวเตี๋ยวันนี้เจ้าเป็นอะไรไป ไยจึงหน้าซีดเซียวเช่นนี้” จ้าวชิงเฟิงทักเพราะผิดสังเกต “บ่าวรู้สึกว่า...เ
ซือหมิงนำความมารายงานชินอ๋องที่ห้องทำงาน “เรียนท่านอ๋อง...สตรีตั้งครรภ์ทั้งสามนางในจวนราชครูล้วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่เป็นไปอย่างลับๆ เพื่อว่านางใดได้บุตรชาย จะลอบนำเข้าวังไปปลอมแปลงเป็นพระโอรสของตู้กุ้ยเฟย เพราะตู้กุ้ยเฟยมิได้ตั้งครรภ์ขอรับ” “มิได้ตั้งครรภ์ แต่บอกว่าตั้งครรภ์ เท่ากับหลอกลวงเบื้องสูง ผู้ที่สมรู้ร่วมคิดทุกคนล้วนมีโทษประหาร” ชินอ๋องไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “พระสนมนางอื่นที่เคยตั้งครรภ์ต่างแท้งบุตร...ผู้ที่กุมความลับนี้ต้องเป็นหมอหลวงอย่างแน่นอน...ซือหมิง จัดการเชิญหมอหลวงมาพบข้าอย่างลับๆ ที่ตำหนักพระชายา” “ขอรับ” ซือหมิงค้อมคำนับรับคำสั่ง แล้วไปปฏิบัติตามทันที กลางยามจื่อ(เวลาประมาณเที่ยงคืน)... ชินอ๋องลืมตาขึ้นมองพระชายาในอ้อมกอด แล้วค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกและลุกขึ้น น้ำผ้าห่มนวมอีกผืนมาม้วนเอาให้พระชายากอดแทนตัว จากนั้นห่มผ้าให้เรียบร้อย จึงหยิบเสื้อผ้าชั้นกลางกับชั้นนอกมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว เพื่อไปทำการสอบสวนหมอหลวง ชินอ๋องตรงไปตำหนักพระชายาที่บัดนี้ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ นอกจากทหารและองครักษ์ในสังกัดชินอ๋อง
ครึ่งชั่วยาม(หนึ่งชั่วโมง)ต่อมา...ในการประชุม ณ ท้องพระโรง... ฮ่องเต้มีราชโองการปลดราชครูตู้เสียงออกจากตำแหน่ง ยึดทรัพย์และบ่าวทาสทั้งหมด เนรเทศทั้งครอบครัวไปชายแดน ส่วนหมอหลวงมีโทษประหารชีวิตทั้งครอบครัว แต่เนื่องจากหมอหลวงสำนึกผิดสารภาพความจริงเสียก่อน จึงลดโทษลงเป็นประหารชีวิตเพียงหมอหลวงคนเดียว ยึดทรัพย์สินและบ่าวทาสทั้งหมด เนรเทศครอบครัวไปชายแดน หลังการประชุมในท้องพระโรง...ชินอ๋องก็สั่งซือหมิงเสียงเบา “ถอนคนของพวกเราในจวนราชครูกลับมา ให้ส่งมือสังหารไปสังหารหยางป๋อเมื่อเขาไปถึงชายแดน และสับเปลี่ยนนักโทษประหารกับหมอหลวง” ก่อนจะขึ้นรถม้ากลับจวนชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงแอบเอาอาหารมาให้ตงเหมย “พระชายา ท่านทำเช่นนี้หากท่านอ๋องรู้เข้าจะโกรธท่านได้นะขอรับ” จางจงที่ติดตามมาด้วยกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ยิ่งกว่านั้นเกรงว่าจะมีภัยมาสู่เจ้านายของตน “ข้ารู้ว่าทำไม่ถูกต้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวเสียงอ่อนๆ “แต่ข้าทำใจไม่ได้ ที่เห็นนางต้องอดอยากขนาดนี้ ข้าก็แค่เอาหมั่นโถวสองสามลูกกับเนื้อสองสามชิ้นมาให้นางเท่านั้น นางถูกขังอยู่ในท
“แล้วบุตรเขยของข้าล่ะ สบายดีหรือไม่?” มหาอำมาตย์เกาชงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “พระชายาสบายดีขอรับ” พ่อบ้านเหลียงตอบตามมารยาท “แล้วเสี่ยวเตี๋ยล่ะ...นางดูแลรับใช้บุตรเขยของข้าดีหรือไม่?” มหาอำมาตย์ถามอีก “แม่นางเสี่ยวเตี๋ย...เอ้อ...” พ่อบ้านเหลียงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตามตรงว่า “นางออกเรือนไปแล้วขอรับ” “หือ?...” มหาอำมาตย์ขมวดคิ้ว “ท่านว่าอะไรนะ?” พ่อบ้านเหลียงจึงตัดสินใจเล่าว่า “แม่นางเสี่ยวเตี๋ยชอบพอกับนักศึกษายากไร้ผู้หนึ่ง พระชายาจึงจัดการให้พวกเขาแต่งงานกันขอรับ” สีหน้ามหาอำมาตย์บึ้งตึงขึ้นมาทันทีทันใด “เสี่ยวเตี๋ยเป็นสาวใช้ต้นห้องของบุตรสาวข้า ย่อมมีฐานะเป็นสาวใช้ข้างห้อง(นางบำเรอ)ของบุตรเขยข้า เขาตบแต่งนางออกเรือนไปได้อย่างไรกัน...เรื่องนี้ข้าจะไปถกเหตุผลกับเขา” ว่าแล้วสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ มหาอำมาตย์เกาชงมายังจวนชินอ๋องเพื่อมาหาจ้าวชิงเฟิง แต่ถูกชินอ๋องดักเอาไว้เสียก่อน ชินอ๋องต้อนรับอีกฝ่ายที่ห้องโถงรับรอง เมื่อพบกัน...มหาอำมาตย์ต้องคารวะชินอ๋องที่มีศักด
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ชินอ๋องสั่งปิดประตูเมือง ให้ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุม เป็นเรื่องเอิกเกริกจนฮ่องเต้ส่งคนมาถาม “ท่านอ๋อง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?” ขันทีจากวังหลวงค้อมกายถามเสียงนุ่ม “อ๋องห้าลักพาตัวพระชายาของข้าไป” ชินอ๋องตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ว้าย...ตายแล้ว...นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? วันนี้มิใช่อ๋องห้าแต่งพระชายาหรอกหรือ?” ชินอ๋องหงุดหงิดรำคาญ จึงให้ขันทีจากวังหลวงไปไถ่ถามเรื่องราวจากองครักษ์คนหนึ่งแทน สลัดหลุดจากขันทีจากวังหลวง ก็มาเจอมหาเสนาบดีชิวสงส่งเสียงเอะอะโวยวาย “บุตรสาวข้าอยู่ที่ไหนๆ...” ชินอ๋องพยักหน้าให้องครักษ์อีกนายหนึ่ง เอ่ยเสียงรำคาญว่า “เจ้าไปจัดการที” องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้ววิ่งไปรับหน้ามหาเสนาบดีทันที “คุณหนูชิวอยู่ทางนี้ขอรับ” องครักษ์บอกมหาเสนาบดีแล้ว พาไปยังห้องห้องหนึ่งของตำหนักอ๋องห้า “คุณหนูชิวอยู่ในห้องนี้ขอรับ” มหาเสนาบดีได้ยินเสียงกุกกักๆ พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น...ชิวมู่ตานถูกมัดมือมัดเท้ามีผ้าอุดปาก นั่งอยู่บนเตียง กำลังดิ้นรน “ทำไมพวกเจ้าทำกับบุตรสาว
เจ็ดวันต่อมา... คณะทูตของซีเซี่ยก็เดินทางกลับ พร้อมกับนำขบวนเดินทางไปอภิเษกสมรสขององค์หญิงหลี่หมิงจูไปด้วย ทางด้านอ๋องห้าได้ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูชิวมู่ตาน บุตรสาวคนเล็กของมหาเสนาบดีชิวสง “ท่านเจ้าขา...บุตรเขยเช่นอ๋องห้า มิใช่จะหาได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ” แม่สื่อจีบปากจีบคอกล่าว “อ๋องห้ารูปโฉมงามสง่า ข้าไม่เถียง แต่เขามีอนุหญิงชายมากมาย นิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน...ข้าเกรงว่าบุตรสาวของข้าแต่งไปแล้วต้องกลัดกลุ้มเพราะเหล่าอนุเป็นเหตุ” มหาเสนาบดีกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “โหะๆๆ...” ลิ้นแม่สื่อมีหรือจะจนหนทาง “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า...ภรรยาที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงสามีได้ คุณหนูมู่ตานทั้งสวยทั้งฉลาด ย่อมสามารถชักนำให้ท่านอ๋องห้าเลิกความเคยชินเก่าก่อน ให้ท่านอ๋องห้ากลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสง่าราศีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องอนุหญิงชายนั้น มีผู้ใดสามารถกล้าเปรียบเทียบกับคุณหนูมู่ตานเล่า คุณหนูมู่ตานจะแต่งไปเป็นพระชายาเอกนะเจ้าคะ จะให้อนุคนใดเป็นหรือตายก็ย่อมได้ อีกประการหนึ่งคุณหนูก็อายุสิบเจ็ดแล้ว รอช้านักจะกลายเป็นดอกไ
คณะทูตจากซีเซี่ยมาเยือนต้าหนาน... ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ราชทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ราชทูตแห่งซีเซี่ยถวายเครื่องบรรณาการ และราชสาส์นสู่ขอองค์หญิงหมิงจูให้กับรัชทายาทซีเซี่ย ฮ่องเต้ขอเวลาพิจารณาเรื่องสู่ขอสามวัน อีกสามวันจะจัดเลี้ยงคณะทูตและให้คำตอบ อ๋องห้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงหมิงจู เล่าเรื่องที่ราชทูตจากซีเซี่ยมาสู่ขอนางให้นางฟัง “ทำไมข้าต้องแต่งไปซีเซี่ยด้วย?” องค์หญิงหมิงจูกล่าวด้วยดวงหน้าบูดบึ้ง “เจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ...ไม่แต่งตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?” “ข้าไม่ได้ชอบรัชทายาทซีเซี่ยสักหน่อย” องค์หญิงตอบเสียงสะบัด “แล้วเจ้าชอบใคร?” “.....” “อย่าบอกนะว่าชอบจ้าวชิงเฟิง?” “.....” “ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ...คู่ยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน มักจะอยู่กันเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นตัวแทนรักแท้ของชายหญิง)ที่ดี กลับถูกชินอ๋องฉกชิงไปเสียนี่” “พี่ห้า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” องค์หญิงเสียงเครือ “ไม่ให้ข้าพูดออกมาบ้าง ข้าก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแท
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า.
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ