ครึ่งชั่วยาม(หนึ่งชั่วโมง)ต่อมา...ในการประชุม ณ ท้องพระโรง... ฮ่องเต้มีราชโองการปลดราชครูตู้เสียงออกจากตำแหน่ง ยึดทรัพย์และบ่าวทาสทั้งหมด เนรเทศทั้งครอบครัวไปชายแดน ส่วนหมอหลวงมีโทษประหารชีวิตทั้งครอบครัว แต่เนื่องจากหมอหลวงสำนึกผิดสารภาพความจริงเสียก่อน จึงลดโทษลงเป็นประหารชีวิตเพียงหมอหลวงคนเดียว ยึดทรัพย์สินและบ่าวทาสทั้งหมด เนรเทศครอบครัวไปชายแดน หลังการประชุมในท้องพระโรง...ชินอ๋องก็สั่งซือหมิงเสียงเบา “ถอนคนของพวกเราในจวนราชครูกลับมา ให้ส่งมือสังหารไปสังหารหยางป๋อเมื่อเขาไปถึงชายแดน และสับเปลี่ยนนักโทษประหารกับหมอหลวง” ก่อนจะขึ้นรถม้ากลับจวนชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงแอบเอาอาหารมาให้ตงเหมย “พระชายา ท่านทำเช่นนี้หากท่านอ๋องรู้เข้าจะโกรธท่านได้นะขอรับ” จางจงที่ติดตามมาด้วยกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ยิ่งกว่านั้นเกรงว่าจะมีภัยมาสู่เจ้านายของตน “ข้ารู้ว่าทำไม่ถูกต้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวเสียงอ่อนๆ “แต่ข้าทำใจไม่ได้ ที่เห็นนางต้องอดอยากขนาดนี้ ข้าก็แค่เอาหมั่นโถวสองสามลูกกับเนื้อสองสามชิ้นมาให้นางเท่านั้น นางถูกขังอยู่ในที่สกปรกเห
“แล้วบุตรเขยของข้าล่ะ สบายดีหรือไม่?” มหาอำมาตย์เกาชงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “พระชายาสบายดีขอรับ” พ่อบ้านเหลียงตอบตามมารยาท “แล้วเสี่ยวเตี๋ยล่ะ...นางดูแลรับใช้บุตรเขยของข้าดีหรือไม่?” มหาอำมาตย์ถามอีก “แม่นางเสี่ยวเตี๋ย...เอ้อ...” พ่อบ้านเหลียงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตามตรงว่า “นางออกเรือนไปแล้วขอรับ” “หือ?...” มหาอำมาตย์ขมวดคิ้ว “ท่านว่าอะไรนะ?” พ่อบ้านเหลียงจึงตัดสินใจเล่าว่า “แม่นางเสี่ยวเตี๋ยชอบพอกับนักศึกษายากไร้ผู้หนึ่ง พระชายาจึงจัดการให้พวกเขาแต่งงานกันขอรับ” สีหน้ามหาอำมาตย์บึ้งตึงขึ้นมาทันทีทันใด “เสี่ยวเตี๋ยเป็นสาวใช้ต้นห้องของบุตรสาวข้า ย่อมมีฐานะเป็นสาวใช้ข้างห้อง(นางบำเรอ)ของบุตรเขยข้า เขาตบแต่งนางออกเรือนไปได้อย่างไรกัน...เรื่องนี้ข้าจะไปถกเหตุผลกับเขา” ว่าแล้วสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ มหาอำมาตย์เกาชงมายังจวนชินอ๋องเพื่อมาหาจ้าวชิงเฟิง แต่ถูกชินอ๋องดักเอาไว้เสียก่อน ชินอ๋องต้อนรับอีกฝ่ายที่ห้องโถงรับรอง เมื่อพบกัน...มหาอำมาตย์ต้องคารวะชินอ๋องที่มีศักดิ์ฐานะสูง
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิ
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเคียงข้างจ้
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำหร
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้องดูแลฝ่ายใ
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า...พระชายา
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้งแต่คราวท
“แม่นาง...เจ้าคงเข้าผิดห้อง” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ผิด” นางตอบเสียงหวาน “หากห้องนี้คือห้องพักของท่านเจ้าบ้านหลี่” พลางทอดสายตาหวานหยาดเยิ้มให้แก่หลี่เฉิง จ้าวชิงเฟิงรู้สึกว่า...ตนคงพูดอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นางมาหาไม่ใช่ตน “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” นายท่านหลี่ถามเสียงเรียบๆ “มาทำความรู้จัก” นางตอบแล้วยิ้มหวาน “ข้าชื่อ...อินซวงซวง เป็นประมุขพรรคสุริยัน” “พรรคมาร” หลี่เฉิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็นชื่อที่พวกไร้มารยาทเรียกหา” นางกล่าวอย่างไม่พอใจ แล้วเปลี่ยนกลับมาอ่อนหวานว่า “ท่านเจ้าบ้านหลี่...ท่านน่าจะเชิญสหายของท่านผู้นี้ออกไปข้างนอกก่อน...พวกเราจะได้ทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้ง” หลี่เฉิงมิได้กล่าวอะไร...เขาต้องการจะดูปฏิกิริยาของจ้าวชิงเฟิงว่าจะจัดการกับเรื่องเช่นนี้อย่างไรบ้าง อินซวงซวงเหลือบตามองจ้าวชิงเฟิงที่สวมหน้ากากผ้าแพรสีดำนิดหนึ่ง ก่อนจะออกปากว่า “คุณชาย สมควรจะรีบออกไปข้างนอกก่อนนะ!” “อ๊ะ...ข้า...” จ้าวชิงเฟิงลุกจากเตียงที่นั่งอยู่ จะเดินออกไปจากห้อง...หมูเขาจะหาม อย่าเ
ประมุขเฉินห้าวกับอาหลีจูงมือกันมายืนต่อหน้านายท่านหลี่และคุณชายจ้าว “พวกเราปรับความเข้าใจกันแล้ว” ประมุขเฉินห้าวเอ่ย “ข้ากับอาหลีจะแต่งงานกัน แต่คงต้องรอให้งานชุมนุมชาวยุทธที่เขาไท้ซานเสร็จสิ้นเสียก่อน” จ้าวชิงเฟิงยิ้ม แต่ยังอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “อาหลี เจ้าฝืนใจหรือเปล่า?” อาหลีส่ายหน้า ทีท่าเขินอายยิ่งนัก “ถ้าเจ้ามิได้ฝืนใจ เกอเกอก็ยินดีด้วย” จ้าวชิงเฟิงแย้มยิ้มทั้งปากทั้งตา ดึงตัวอาหลีมากอดเอาไว้ เดือดร้อนนายท่านหลี่ต้องรีบจับแยก... ที่สำนักวัดไท้ซาน...พรรคต่างๆในยุทธภพต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งฝ่ายธรรมมะและฝ่ายอธรรม เพื่อคัดเลือกจ้าวยุทธภพที่สิบปีมีครั้งหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พรรคฝ่ายธรรมมะประกอบด้วย... วัดไท้ซาน...ซึ่งได้ตำแหน่งผู้นำยุทธภพเมื่อสิบปีก่อน โดยฝีมือของเจ้าอาวาสต้าซือไร้ลักษณ์ ผู้มีหน้าตาใจดีมีเมตตา คิ้วเคราขาวโพลน แต่ดวงตากลับเปล่งประกายคมกล้าของยอดฝีมือชัดเจน ศิษย์ในวัดมีทั้งศิษย์ที่เป็นภิกษุและศิษย์ฆราวาส พรรคเทียนซาน...ซึ่งมาอย่างอวดโอ่ เพราะเจ้าสำนักเพิ่งสำเร็จวิชาเส
งานเลี้ยงดำเนินไปได้สักพัก...นายท่านหลี่ก็พาคุณชายจ้าวที่เริ่มเมานิดหน่อยกลับห้องพัก ส่วนละอ่อนอย่างอาหลีก็ถูกประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวไล่ให้กลับห้องไปนอนก่อน เพราะเขาตั้งใจจะดวลสุรากับหัวหน้าราชองครักษ์อ๋าวไคทั้งคืน แต่ดื่มกันไปได้พักใหญ่...ประมุขพรรคยาจกเฉินห้าวก็เกิดนึกเป็นห่วงอาหลีขึ้นมา “ท่านอ๋าว...ข้าคงต้องขอตัวแค่นี้ก่อน” “อ้าว...ประมุขเฉิน ไหนท่านว่าจะดื่มกันยันฟ้าสว่างอย่างไรล่ะ” อ๋าวไคแย้ง “ข้าเป็นห่วงอาหลี เด็กน้อยคนนี้ปกติจะต้องให้ข้านั่งอยู่เป็นเพื่อนจึงจะนอนหลับ ป่านนี้จะนอนแล้วหรือยังก็ไม่รู้ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” ประมุขเฉินตอบ “ถ้าเช่นนั้น...พวกเราก็พอแค่นี้แล้วกัน” อ๋าวไคเอ่ย “ข้าก็จะกลับห้องพัก...พวกเราไปทางเดียวกัน ไปกันเถิด” แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้น เดินขึ้นชั้นบน ตรงไปยังห้องพักของอาหลีก่อน แต่พอเข้าใกล้...ทั้งสองก็มองหน้ากัน เพราะได้ยินเสียงผิดปกติ ประมุขเฉินห้าวจึงรีบกระแทกประตูห้องเปิดออกอย่างไม่รอช้า ภาพที่เห็น คือ...อาหลีถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า นอนบิดกายอยู่บนเตียง ที่หน้
หลังจากดูงิ้ว...เฉินกุ่ยปาดน้ำตาลวกๆ ขณะเดินเคียงคู่มากับจางจง ไปตามถนนที่เงียบสงัดเพราะดึกมากแล้ว “ท่านเฉิน ท่านร้องไห้ทุกครั้งที่ดูงิ้วนะหรือ?” จางจงอดถามไม่ได้ เพราะเห็นแม่ทัพรักษาเมืองตัวโตนั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรขณะดูงิ้ว จนกระทั่งงิ้วแสดงจบ ออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ก็ยังไม่หยุดร้องอีก เขาไม่ได้คิดเย้ยหยันหรอกนะว่า ผู้ชายที่ดูดุดันตัวโตราวตึกจะร้องไห้ไม่ได้ เพียงแต่แปลกใจว่า...ท่านแม่ทัพร่างใหญ่วัยฉกรรจ์จะมีมุมที่อ่อนไหวเช่นนี้ด้วย! “ขะ ข้าสงสารนางเอกที่ถูกสามีทอดทิ้งหนะ” เฉินกุ่ยอ้อมแอ้ม “งิ้วก็คือเรื่องแต่งเท่านั้นนะท่านเฉิน” “ข้ารู้” เฉินกุ่ยพยักหน้า “แต่ก็ทำให้ข้าคิดถึงตัวเองด้วยนะอาจง” “ท่านคิดสิ่งใดหรือ?” จางจงถาม เฉินกุ่ยสูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าชอบคนคนหนึ่งอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบข้าบ้างหรือไม่?” “ท่านเป็นบุรุษที่พึ่งพาได้” จางจงกล่าวปลอบโยน “อีกทั้งมีเกียรติยศศักดิ์ฐานะสูงส่งขนาดนี้ แม่นางคนใดจะไม่ชอบท่านล่ะ?” “เขาเป็นบุรุษ!” “เอ๋...
สีหน้าเฉินกุ่ยผิดหวังตะลึงงัน หลี่เฉิงกล่าวด้วยเสียงเรียบๆว่า “มีที่ใด...เจ้าไม่เคยไปมาบ้าง จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกไปจนถึงตะวันตก เจ้าล้วนไปมาทั่วแล้ว” “ขะ คือ...มันไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” เฉินกุ่ยเหงื่อตก “ไปอย่างนั้น มันไปธุระ...” “นี่ก็ไปธุระ” หลี่เฉิงนั้นรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี แต่จะกลั่นแกล้งให้ต้องพูดออกมา “ธุระตอนนั้นมันไม่มี แต่ตอนนี้มี...” “มีอะไร?” “มี...” แม่ทัพร่างใหญ่ยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก...รู้สึกว่า คำพูดที่อยู่ในอก ช่างพูดออกมายากเย็นนัก ยากกว่าการไปรบทัพจับศึกเสียอีก แต่เพื่อให้ได้ติดตามขบวนประพาสของฮ่องเต้ จึงทำใจให้สงบ สูดลมหายใจให้เต็มปอด และพูดอุบอิบว่า “มี...จางจง พ่ะย่ะค่ะ” แม้เสียงเบา แต่ฮ่องเต้กับคุณชายต่างได้ยิน ทำเอาคุณชายเกือบทำถ้วยชาหลุดมือ “อ่อ...” หลี่เฉิงพยักหน้า “เหตุผลพอฟังขึ้น ข้าอนุญาตให้เจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปปรึกษากับอ๋าวไคว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในการไปเที่ยวครั้งนี้”
พิเศษ 1 ศึกชิงจ้าวยุทธภพ อาหลีติดตามเฉินห้าวไปทุกที่ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก จนวนกลับมายังเมืองหลวงต้าหนาน “ไม่รู้ว่าเกอเกอ(พี่ชาย)ฮองเฮา กับเจี่ยเจีย(พี่สาว)เซียงเซียงจะเป็นอย่างไรบ้าง?” อาหลีที่เดินตามประมุขเฉินต้อยๆ เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหอสุราจุ้ยเซียนอยู่ตรงหน้า “เดี๋ยวเจ้าก็ได้รู้...” ประมุขเฉินกล่าว พลางพาอาหลีเข้าไปในหอสุรา และขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง ที่ห้องพิเศษบนชั้นสอง...ฮ่องเต้หลี่เฉิงกับ ฮองเฮาจ้าวชิงเฟิง นั่งรออยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ประมุขเฉินผิดคาดหมายเล็กน้อยคือ...หลวงจีนลืมชื่อ ภิกษุชราผู้มีร่องรอยลี้ลับหาตัวพบยากนักหนา กำลังคีบเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ประมุขพรรคยาจกประสานมือค้อมศีรษะให้ฮ่องเต้เป็นอันดับแรก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้ตรัส “อยู่ข้างนอกพระราชวัง ประมุขเฉินอย่าได้ใช้พิธีรีตองในวังกับข้า เรียกข้าว่าเจ้าบ้านหลี่ก็พอ ข้าจะใช้ชื่อในการท่องเที่ยวข้างนอกนี้ว่า ‘หลี่ฉือ’ ส่วนฟูเหรินของข้าจะใช้ชื่อว่า คุณชายจ้าวเฟิง”
จ้าวชิงเฟิงตกใจ ถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไร?” “ข้าเจ็บแผล” ชินอ๋องทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซ้ำยังทำตัวงอด้วย “อ่า...ประสกท่านอ๋อง” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็เห็นชินอ๋องขยิบตาให้ อืม...อาตมาเข้าใจ “ประสกท่านอ๋องต้องเปลี่ยนยาแล้ว ประสกพระชายาช่วยประคองประสกท่านอ๋องไปที่ห้องนอนหน่อยเถิด” จ้าวชิงเฟิงประคองร่างสูงใหญ่กำยำอย่างระมัดระวัง ให้เดินกลับห้องนอนใหญ่ ไปนั่งลงบนเตียงนอน และช่วยถอดเสื้อออกให้ หลวงจีนลืมชื่อเอาผ้าพันแผลออกเพื่อเปลี่ยนยาที่หน้าอกของชินอ๋อง จ้าวชิงเฟิงเห็นบาดแผลแล้วอดรู้สึกเจ็บแทนไม่ได้ “ท่านอ๋อง...ทีหลังโปรดอย่าได้ทำอย่างนี้อีก” “ถูกต้อง...” หลวงจีนลืมชื่อเอ่ยเสริม “อีกแค่ครึ่งชุ่น(ครึ่งนิ้ว) ประสกท่านอ๋องก็ต้องกลับสวรรค์ไปแล้ว” ว่าพลางเปลี่ยนยาพลาง “เจ็บมากแน่ๆ” จ้าวชิงเฟิงเอ่ยเสียงเบา “ฟูเหริน...เจ้าจูบข้าทีสิ” ชินอ๋องกล่าวพลางทำสีหน้าเจ็บปวด “ข้าจะได้รู้สึกเจ็บน้อยลงหน่อย” “อ่า...อมิตตาภพุทธ อย่าลืมว่ายังมีอาตมาอยู่ตรงนี้ด้วย”** วันต่อมา...
ฮ่องเต้แกะผ้าแพรที่มัดข้อมือทั้งสองข้างของจ้าวชิงเฟิงไว้กับเสาของพระแท่นบรรทมออก แล้วรวบจับข้อมือทั้งสองของร่างบอบบางด้วยมือข้างเดียว จะฉุดลากให้หนีออกไปด้วยกัน ทันใด...ปัง ! ประตูห้องบรรทมถูกถีบเปิดออก ฮ่องเต้รีบคว้าตัวจ้าวชิงเฟิงมารัดด้วยแขนข้างซ้าย มือขวาจับลำคอเล็กเอาไว้แน่น ร่างของจ้าวชิงเฟิงจึงพิงอยู่กับร่างของฮ่องเต้ ผู้ที่ถีบประตูเข้ามาคือชินอ๋องที่มีสภาพเปื้อนเลือดไปทั่วร่าง “หยุดอยู่ตรงนั้นหลี่เฉิง มิเช่นนั้นเราจะหักคอพระชายาเสีย” ชินอ๋องยืนนิ่งอยู่กับที่ “หลี่เจา เจ้าปล่อยฟูเหรินของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป” “ฮะๆๆๆ...เดี๋ยวนี้แม้แต่คำว่าฝ่าบาท เจ้าก็ยังไม่เรียกเราแล้วหรือ?” “เจ้าไม่สมควรเป็นฮ่องเต้...เจ้าฆ่าพี่รองและฆ่าเสด็จพ่อ” “ก็ใครใช้ให้เสด็จพ่อคิดจะแต่งตั้งหลี่เฉาเป็นรัชทายาทเล่า ทั้งๆ ที่เสด็จแม่ของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าแม่ของพวกเจ้า แต่เสด็จพ่อกลับรักแต่หลี่เฉา ไม่เห็นหัวหลี่เจาคนนี้ พอหลี่เฉาตาย เสด็จพ่อก็เศร้าโศกจนล้มป่วย ข้าก็เลยถวายยาพิษให้เสด็จได้ตามไปพบกับหลี่เฉาอย่างไรล่ะ” ฮ่องเต้ต
ที่จวนชินอ๋อง... ขันทีที่ถ่ายทอดราชโองการ ขานเสียงดังว่า “ฮ่องเต้มีพระราชโองการ...” แต่กลับไม่มีใครคุกเข่าลงรับราชโองการสักคนเดียว ก็เอ่ยต่อเสียงดังๆ ว่า “คุกเข่ารับราชโองการ” เสี่ยวหู่กำลังอารมณ์มืดมนถึงขีดสุด ก็เข้าไปกระชากคอเสื้อของขันที “พูดมา...มีอะไรก็รีบพูดออกมา ถ้ายังไม่อยากตาย!” “ทะ ท่านอ๋อง” ขันทีตาเหลือก ทหารที่คุ้มกันล้วนถูกดาบพาดคอ ขันทีเหลือบซ้ายแลขวาแล้ว ไม่กล้าพูดคำว่า...จะเป็นขบถหรือ...ออกมา ที่เคยใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นๆ ล้วนรีบกล้ำกลืนเอาไว้ พูดตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้ทรงให้นำมีดเล่มนี้มาให้ท่านอ๋อง” แล้วส่งมีดพกที่จ้าวชิงเฟิงเอาออกมาแทงฮ่องเต้ให้ เสี่ยวหู่รับมีดมาส่งต่อให้ชินอ๋อง ชินอ๋องรับมาดูแล้วกล่าว “ใช่...มีดเล่มนี้ข้าให้ฟูเหรินพกติดตัวไว้” “มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?” เสี่ยวหู่ตะคอกขันที “ฝะ ฝ่าบาทรับสั่งว่า พระชายาสบายดี หากท่านอ๋องอยากพบพระชายา ให้เข้าวังโดยเร็ว กะ ก่อนที่ ขะ ข้าวสารจะกลายเป็น...ข้าวสุก” “มีอีกหรือไม่?” ชินอ๋องถามเสียงเรียบๆ