ฉงชูโม่ตกใจสุดขีด นางรีบรวบรวมพลังปราณในร่างกาย และถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้น อาภรณ์ของนางก็ยังถูกแรงระเบิดจนทำให้ขาดวิ่น แขนของนางยังถูกเศษเหล็กบาดจนเป็นแผลอีกด้วย!แม้แต่ต้นไม้ใหญ่รอบ ๆ ลำต้นก็ยังถูกแรงระเบิดจนเป็นรูพรุนไปหมด!หลังจากคลื่นระเบิดสงบลง นางก็ยืนตะลึงอยู่กับที่ด้วยความตกใจนี่...นี่มันดอกไม้ไฟงั้นหรือ?ในขณะเดียวกันกับที่เสียงระเบิดดังขึ้นที่กำแพงเมือง เหล่าทหารยามก็ตกใจกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันหลังจากได้สติ หัวหน้ากองรักษาการณ์ก็ตะโกนทันทีว่า “ข้าศึกบุกโจมตี! ตั้งรับเร็วเข้า! พวกเจ้า จงตามข้าไปตรวจตราสถานการณ์!”เมื่อพูดจบ เขาก็รีบพาลูกน้องวิ่งไปยังทิศทางที่เสียงดังมามินาน พวกเขาก็เห็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น สภาพมอมแมม อาภรณ์ขาดรุ่งริ่งหัวหน้ากองรักษาการณ์ชักดาบออกมาทันที พร้อมตะโกนเสียงดังว่า “เฮ้ย! ใครกัน กล้ามาสร้างความวุ่นวายขนาดนี้ที่เชิงเขาเมืองหลงเฉิง จับตัวมา!”“ขอรับ!”เหล่าทหารกองรักษาการณ์กำลังจะเข้าไป แต่ในตอนนั้นคนผู้นั้นก็หันกลับมา ตะโกนเสียงเย็นชาว่า “เบิกตาของพวกเจ้าดูให้ดีว่าข้าเป็นใคร!”เมื่อได้ยินดังนั้น หัวหน้ากองรักษา
“อ้อ เจ้าดูท่าทางโทรมมาก ไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำเถอะ ไม่มีคำสั่งของข้า ไม่มีใครไปรบกวนเจ้าหรอก”“ท่าน… ฮึ่ม องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะจำเรื่องนี้ไว้ ท่านควรจะระวังตัวไว้ให้ดี อย่าให้หม่อมฉันจับได้ว่าท่านทำสิ่งใดมิดีเถอะ”ฉงชูโม่จ้องฉินซูด้วยสายตาคุกคามแล้วหันหลังเดินออกไปฉินซูรู้สึกมิพอใจเล็กน้อย และบ่นพึมพำว่า “ทำเป็นหยิ่งไปได้ หากไม่มีอำนาจขององค์จักรพรรดิหนุนหลัง ข้าจะจับเจ้ากดลงพื้นแล้วถูไถให้ดู เชื่อหรือไม่!”วันรุ่งขึ้นฉินซูสั่งให้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปตลาดอีกครั้ง เพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำดินปืนครั้งนี้ ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยได้ดินประสิวมาสองก้อนใหญ่เท่ากำปั้นด้วยประสบการณ์จากครั้งก่อน ฉินซูจึงสามารถผสมดินปืนได้อย่างง่ายดาย หลังจากผสมลูกเหล็กและเศษเหล็กเข้าไป เขาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจหลังจากนั้น เขาก็ส่งคนไปที่ร้านตีเหล็กเพื่อทำลูกเหล็กทรงรีขนาดเท่ากำปั้นประมาณเจ็ดหรือแปดลูกแม้ว่างานฝีมือในยุคนั้นจะหยาบ แต่ก็ยังสามารถตอบสนองความต้องการของฉินซูได้เมื่อเขาได้ลูกเหล็กเล็ก ๆ มา เขาก็เอามันมาตอกตะปูที่ด้านบนของลูกเหล็กเพื่อทำรูจากนั้น เขาก็เทดินปืนสีดำที่ผสมกับเศษเหล็กเข้าไป หล
ฉงชูโม่ตอบกลับด้วยสายตาแน่วแน่ว่า “ไปหาสหาย เป็นสหายที่สำคัญมากคนหนึ่ง”แม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อไปหาสหาย แสดงว่าสหายคนนี้ต้องสำคัญมากขนาดไหน ฉินซูก็พอจะนึกออกดังนั้นเขาจึงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “แฟนหรือ?”ฉงชูโม่ถามกลับด้วยความสับสนมิเข้าใจว่า “องค์รัชทายาท แฟนคืออะไรหรือ?”“เอ่อ... หมายความว่า คนที่อยู่ในใจ เจ้าจะไปหลงโย่วเพื่อตามหาคนที่อยู่ในใจเจ้าใช่หรือไม่?”ฉงชูโม่มีแววตาสั่นไหว มิได้ยอมรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงเบ้ปากพูดว่า “เจ้าจะไปตามหาคนที่อยู่ในใจ แต่กลับต้องการให้ตัวข้าไปเป็นเพื่อน เจ้า เห็นตัวข้าเป็นเครื่องมือหรือไร ตีให้ตายข้าก็มิไป”ฉงชูโม่ใจร้อนขึ้น กระทืบเท้าและพูดว่า “องค์รัชทายาท อย่างน้อยหม่อมฉันก็ช่วยท่านกำจัดแขนขาของอ๋องจิ้นไปข้างหนึ่ง ท่านตอบแทนผู้มีพระคุณเช่นนี้หรือ? อีกอย่าง ที่หลงโย่วก็มีที่เที่ยวมากหลาย ท่านไปเที่ยวสักหน่อยก็มิเสียหายอะไร ไฉนท่านมิไปเล่า?”“ไม่มีเหตุผลอะไร ตัวข้ามิอยากไป หากเจ้าอยากไป เจ้าก็เข้าวังไปขอเสด็จพ่อเองก็สิ้นเรื่อง ด้วยฐานะของเจ้า พระองค์ต้องทรงอนุญาตอยู่แล้ว”“เรื่องที่หม่อมฉ
ด้วยรูปร่างหน้าตาและสัดส่วนที่สวยงามของฉงชูโม่ บุรุษปกติคงมีมิกี่คนที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของนางได้ แต่สวีหลายกลับมองนางเป็นแค่น้องสาวเสมอมา นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ“ดังนั้น องค์รัชทายาท ท่านพอจะเสด็จไปกับหม่อมฉันสักครั้งได้หรือไม่? เพียงแค่ท่านตอบตกลง หม่อมฉัน ฉงชูโม่ จะติดหนี้บุญคุณท่าน ท่านน่าจะทรงทราบดีว่า หนี้บุญคุณของหม่อมฉัน ฉงชูโม่ มิใช่สิ่งที่หาได้ง่าย ๆ”“ในเมื่อเจ้าพูดมาถึงเพียงนี้ หากตัวข้ายังมิตอบตกลง ก็คงดูเป็นคนไร้น้ำใจเกินไปแล้ว”ฉงชูโม่ถามด้วยสีหน้าที่ดีใจว่า “ท่านตอบตกลงแล้วใช่หรือไม่เพคะ?”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย และเตือนว่า “ข้าตอบตกลงก็จริง แต่มีข้อแม้ว่า ในการเดินทางไปหลงโย่วครั้งนี้ เจ้าต้องเชื่อฟังข้า”ฉงชูโม่ดีใจจนออกนอกหน้า รีบตอบตกลงทันที “แน่นอน ไม่มีปัญหาเพคะ เพียงแค่องค์รัชทายาทตอบตกลง หม่อมฉันจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง!”“เช่นนั้นก็ตกลง รอตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมาถึง ตัวข้าจะให้เขาเตรียมการ”สีหน้าของฉงชูโม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “องค์รัชทายาท เรื่องนี้มิสามารถให้ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยรู้ได้ และมิสามารถให้เขาตามไปได้เพคะ!”“เหตุใดเล่า?”“ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยป็
“มิใช่อย่างนั้นเพคะ หม่อมฉันแค่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดเมื่อครู่ของท่าน 'หากความรักของทั้งสองนั้นมั่นคงและยืนยาว จะต้องคำนึงถึงการอยู่ใกล้ชิดกันทุกเช้าค่ำไปด้วยเหตุใดกัน' องค์รัชทายาท คำนี้ช่างไพเราะเหลือเกินเพคะ”แววตาที่หลินชิงเหยาจ้องมองฉินซู เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมฉินซูอดมิได้ที่จะยิ้มออกมาประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ แตกต่างจากโลกที่เขาข้ามมิติมาอย่างมากด้วยเหตุนี้ ความรู้ที่เขามีจึงมีประโยชน์ในโลกใบนี้เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “มิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ครั้งนี้ข้าอาจจะต้องออกไปสิบวันครึ่งเดือน ดังนั้นตอนนี้…”เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วอุ้มหลินชิงเหยาขึ้นในอ้อมแขนหลินชิงเหยาร้องออกมา แต่เมื่อตั้งสติได้ นางก็หน้าแดงเล็กน้อยและโอบแขนรอบคอของฉินซูฉินซูมิพูดอะไร หันหลังแล้วเดินก้าวใหญ่ไปทางโรงอาบน้ำตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาได้ลองเล่นในน้ำพุร้อน เขาก็ตกหลุมรักความรู้สึกนั้นไปแล้วหลังจากเข้าไปในโรงอาบน้ำ เขาก็จูบไปที่ริมฝีปากเล็ก ๆ ที่สวยงามของหลินชิงเหยา ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบสนองอย่างรู้ใจมินานนัก อาภรณ์ก็กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นข้าง ๆ บ่ออาบน้ำผิวน้ำในบ่ออาบน้ำที่เคยสงบ
จากนั้นน้ำเสียงของนางก็เย็นชาลงอย่างกะทันหัน แล้วพูดต่อว่า “แน่นอน หากองค์รัชทายาทอยากตายเอง ข้าก็ก้าวก่ายมากมายขนาดนั้นมิได้”เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินชิงเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย มิพูดอะไรอีกดวงตาของฉงชูโม่กลอกกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างแผ่วเบาว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันจะล่วงหน้าไปก่อน พวกเราจะพบกันที่ป่าท้อนอกประตูเมืองทิศใต้”พูดจบนางก็หันหลังกลับและเดินออกไปก่อนหลินชิงเหยาถามด้วยความสับสนเล็กน้อย “องค์รัชทายาท ไฉนพี่หญิงชูโม่ถึงมิรอท่านเล่าเพคะ?”“ใครจะไปรู้ บางทีนางอาจจะไปบอกลาเซี่ยหลาน เพราะพวกนางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”ฉินซูอยู่กับหลินชิงเหยาสักพัก จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดลำลองภายใต้สายตาที่ลังเลขอหลินชิงเหยา ในที่สุด ฉินซูวางห่อผ้าไว้บนหลังม้าแล้วขี่ม้าออกไป มินาน เขาก็มาถึงป่าท้อนอกเมืองทิศใต้เห็นฉงชูโม่รออยู่ที่นั่นแล้ว“องค์รัชทายาท เวลาล่วงเลยมามากแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถิด พยายามไปให้ถึงเมืองอวี๋หางก่อนตะวันตกดิน”“ได้ ไปกันเถอะ”ฉินซูสะบัดแส้ ควบม้าตะบึงไปทางทิศใต้“พี่ใหญ่สวี รอข้าก่อนนะ!”ฉงชูโม่พึมพำ มองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ค
“ข้าน้อยแน่ใจว่ามีองค์รัชทายาทคนเดียว จะว่าไปก็แปลกจริง องค์รัชทายาทออกไปโดยไม่มีองครักษ์หรือผู้ติดตาม...”ฉินเหยี่ยนมีสีหน้าเหี้ยมโหด กล่าวด้วยเจตนาสังหาร “อยู่คนเดียว ถือว่าเป็นเรื่องดี!”ขุนนางประจำจวนอ๋องซุนฉีที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยความตกใจ “ท่านอ๋อง หรือว่าท่านทรงจะ…”ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาก็ทำท่าปาดคอเมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าขององครักษ์ก็ซีดเผือดการลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาท เป็นอาชญากรรมร้ายแรง!แต่เขาก็มิกล้าพูดอะไร รีบก้มหน้าลง ทำเหมือนมิเห็นมิได้ยินสิ่งใด ฉินเหยี่ยนหัวเราะอย่างเย็นชา “เรื่องนี้เรามิสามารถลงมือเองได้ ซุนฉี เจ้าเอาป้ายของข้าไปที่สำนักอาทิตย์อัสดง”“ข้าน้อยรับบัญชา!”ซุนฉีรับคำสั่งด้วยความเคารพ จากนั้นก็ควบม้าออกจากเมืองหลงเฉิง ตรงไปยังสำนักอาทิตย์อัสดงที่ชานเมือง ในเวลาเดียวกัน จวนอ๋องหนิง จวนอ๋องฉี และจวนอ๋องอื่น ๆ ก็ส่งคนออกจากเมืองไปยังทิศทางต่าง ๆ กันหนึ่งชั่วยามต่อมาสำนักบู๊ลิ้มรอบเมืองหลงเฉิง ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวนกพิราบสื่อสารจำนวนมากบินขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าไปทางทิศใต้......ดวงอาทิตย์เคลื่อนต่ำลง แสงสุดท้ายของวันย้อ
เจ้าของโรงเตี๊ยมทำหน้าลำบากใจพลางพูดว่า “ท่านทั้งสอง ขออภัยอย่างยิ่ง ตอนนี้โรงเตี๊ยมของเรามีห้องว่างเหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้น”“เหลือห้องเดียว?!”ฉงชูโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับฉินซูว่า “องค์… เอ่อ นายท่าน พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมที่อื่นกันเถิด”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย กำลังจะหันหลังกลับแต่ในเวลานั้น เจ้าของโรงเตี๊ยมก็เตือนว่า “ท่านทั้งสอง บอกตามตรง ตอนนี้โรงเตี๊ยมในเมืองนี้ส่วนใหญ่ก็เต็มหมดแล้ว”ฉงชูโม่มิเชื่อเลยสักนิด เยาะเย้ยว่า “เจ้าหลอกใครกัน เมืองนี้มีขนาดเท่านี้ โรงเตี๊ยมก็ต้องมีอย่างน้อยแปดหรือสิบแห่ง แค่นี้ก็เต็มแล้วงั้นหรือ?”เจ้าของโรเตี๊ยมพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านมิทราบ ทางราชสำนักได้ส่งข่าวมาว่า องค์จักรพรรดิจะรวมเหล่าบัณฑิตทั่วแคว้นมาสักการะขงจื๊อในวันผู้สูงอายุ”“ดังนั้น บัณฑิตจากบริเวณใกล้เคียงก็เลยมาที่นี่ทั้งหมด แล้วยังมีคนจากสำนักบู๊ลิ้มบางส่วน พวกเขาก็มาพักที่เมืองอวี๋หางของเราด้วยเช่นกัน”“มิใช่ข้าจะคุยโม้ ทว่าหากมาช้ากว่านี้อีกนิด ห้องพักที่ดีที่สุดห้องสุดท้ายของเราก็จะไม่มีเหลือแล้ว”เขายังพูดมิทันจบ ก็มีชายหนุ่มสองคนสวมชุดบัณฑิตเดินเข้ามาจากนอกประตู
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซู ทุกคนก็ชะงักไป และมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปเล็กน้อยสวี่จิ้นกล่าวด้วยความสงสัยว่า "องค์รัชทายาท พระองค์เข้าพระทัยผิดเกี่ยวกับธนูสองหินแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ? ธนูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้แต่ทหารป้อมปราการที่กรำศึกมาอย่างโชกโชนก็แทบจะไม่มีใครดึงได้ นับประสากระไรกับคนธรรมดา"เหวินเยวี่ยนซานกล่าวสำทับ "ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ธนูสองหินต้องใช้กำลังแขนสองร้อยชั่งจึงจะดึงได้ ทหารป้อมปราการที่มีกำลังแขนแข็งแรงบางคนอาจจะทำได้ ทว่าหากใช้มันยิงศัตรู ยิงได้มิกี่ดอกก็หมดแรงเสียแล้ว ยากที่จะใช้ต่อเนื่องได้พ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูโบกมือ "ใต้เท้าทั้งสอง ธนูของข้ามิเหมือนกับธนูทั่วไป นอกจากจะมีอานุภาพดุจธนูสองหินแล้ว ยังรับประกันได้ว่าคนธรรมดาก็ดึงได้ เพียงแต่มิรู้ว่ากรมโยธาธิการต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงจะสร้างออกมาได้"เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงต่างก็มองหน้ากันด้วยความสับสนธนูสองหินที่คนธรรมดาก็ดึงได้?เป็นไปได้อย่างไร!ฉินอู๋ต้าวบนบัลลังก์มังกรใบหน้าฉายแววประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจธนูที่ฉินซูพูดมากสวี่จิ้นกล่าวอย่างมั่นใจว่า "องค์รัชทายาท ตราบใดที่มีแบบจำลอง กรมโยธาธิการข
ฉินซูเหลือบมองหวังฉือโดยมิรู้ตัวหวังฉือเองก็มองมาที่เขาด้วยท่าทีครุ่นคิดในเวลาเดียวกันทั้งสองสบตากัน ก็เข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายหลังจากที่ฉินซูส่งซุยหลีไปแล้ว เขาก็กระซิบกับหวังฉือว่า "ซุยหลีเพิ่งทูลกับเสด็จพ่อว่า บุตรสาวของใต้เท้าหลิวมีดวงชะตาหยินสุดขั้ว ตกกลางคืนบุตรสาวของใต้เท้าหลิวก็ถูกลักพาตัวไปทันที หากบอกว่าทั้งสองเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกัน ท่านเชื่อหรือไม่?""ข้าน้อยมิเชื่อ แต่ประเด็นคือ ตอนนี้เราไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม คงนำเรื่องนี้ไปตั้งคำถามกับฝ่าบาทมิได้ถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?""แน่นอนว่ามิได้ แต่ตัวข้ากับท่านจำต้องรู้ว่าเสด็จพ่อทรงซ่อนความลับที่หาได้มีใครล่วงรู้ไม่เท่านั้น ส่วนร่างหยินบริสุทธิ์มีประโยชน์อย่างไร ข้าจะหาโอกาสถามหัวหน้าโหรหลวงในภายหลัง""ข้าน้อยเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ แต่หัวหน้าโหรหลวงขอลาพักกับฝ่าบาท ช่วงนี้คงจะมิมาเข้าเฝ้า"ฉินซูชะงักไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม "เพราะเหตุใด?""เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็มิทราบ เดาว่าเพราะท่านหัวหน้าโหรหลวงจะไปกักตนบำเพ็ญเพียรกระมังพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาฉินซูก็ฉายประกายเล็กน้อย และมิได้พูดอะไรอีกครู่ต่อมาในพระต
หวังฉือขมวดคิ้ว กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงงว่า "องค์รัชทายาท ข้าน้อยยังมิเข้าใจว่าใครเป็นคนสังหารกู้ตงเฟิงกันแน่?""วรยุทธ์ของเจ้าปีศาจเฒ่าผู้นี้หาได้อ่อนด้อยไม่ หลังจากพักฟื้นหลายวัน อาการบาดเจ็บของเขาคงจะหายดีเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว คนที่สังหารเขาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ระดับปฐพีขั้นกลางขึ้นไป มองไปทั่วเมืองหลงเฉิง เห็นจะมีจอมยุทธ์ระดับนี้อยู่เพียงหยิบมือ!""มีมิมากจริงดังท่านว่า ช่วงนี้ไม่มียอดฝีมือจากยุทธภพเข้ามาในเมือง นอกจากศิษย์ของหัวหน้าโหรหลวงสำนักหอดูดาวหลวงแล้ว คนที่มีฝีมือระดับนี้ก็มีแต่ยอดฝีมือในวังหลวงเท่านั้น..."พูดถึงตรงนี้ หวังฉือก็เบาเสียงลงเนื่องจากเพิ่งรู้ตัว "องค์รัชทายาท หรือนี่จะเป็นฝีมือของราชองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ?""หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชองครักษ์ เรื่องนี้คงหนีมิพ้นเสด็จพ่อ ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานใด ๆ ท่านอย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด""วางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท คำพูดเหล่านี้ข้าน้อยกล้าพูดกับพระองค์เท่านั้น""เช่นนั้นก็ดีแล้ว ให้พวกเขาค้นหาเบาะแสต่อไป ดูว่าจะพบบุตรสาวของใต้เท้าหลิวหรือไม่""รับพระบัญชา!"หวังฉือประสานมือคารวะแล้ว
"ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย"หลิวเว่ยโบกมือให้ผู้ใต้บังคับบัญชายกร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงไปสองเค่อต่อมาในห้องเก็บศพของศาลต้าหลี่ร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงนอนอยู่บนแท่นหินเย็นเยียบหวังฉือมองดูอีกฝ่ายหลายครั้ง แต่ก็ยังมิอยากเชื่อสายตาตนเองเขาถามตงฟางไป๋ว่า "ใต้เท้าตงฟาง เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาคือกู้ตงเฟิง?"ตงฟางไป๋พยักหน้าหนักแน่น "แน่ใจขอรับ เมื่อก่อนตอนที่พวกข้าท่องยุทธภพ เคยเจอเจ้าโจรเฒ่าผู้นี้หลายครา ข้าไม่มีทางจำหน้าตาของเขาผิดเป็นแน่"ในขณะนั้นเอง ฉินซูก็มาถึงทุกคนคารวะต่อเขาฉินซูโบกมือแล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของกู้ตงเฟิงบนแท่นหิน เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจกู้ตงเฟิงตายแล้วจริง ๆ กระนั้นหรือ?!หากมิใช่เพราะรูปร่างหน้าตาน่าขนลุกของกู้ตงเฟิงตราตรึงจิตใจผู้พบเห็นเกินไป และแขนซ้ายที่ถูกทำลายไป ฉินซูคงอดสงสัยมิได้ว่าเขาจำผิดคนหรือไม่ฉินซูเลิกคิ้วถาม "พบศพของกู้ตงเฟิงที่ใด?""ทูลองค์รัชทายาท พบที่ตรอกผิงอี่ในตลาดหย่งเล่อพ่ะย่ะค่ะ! ข้าน้อยสำรวจบริเวณใกล้เคียงแล้ว มิพบเบาะแสอื่นใดเลยพ่ะย่ะค่ะ""แล้วพวกเจ้าพบศพของเขาได้อย่างไร?"ตงฟางไป๋จึงเล
เมื่อครู่ที่อยู่ในพระที่นั่งหย่างซิน ฉินซูมิเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ จากฉินอู๋ต้าวเขาอดคิดมิได้ว่า หรือเขาคิดมากไปเองจริง ๆ ?เขาหันกลับไปมองพระที่นั่งหย่างซิน ก่อนจะเดินจากไปหลังจากที่ฉินซูจากไปได้มินาน ชายคนหนึ่งก็เข้ามาในพระที่นั่งหย่างซินฉินอู๋ต้าวสั่งกับเขาว่า “ทำตามแผนที่วางไว้ จำไว้ให้ขึ้นใจว่า ห้ามทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เป็นอันขาด!”“รับพระบัญชา!”หวงเฉาขานรับด้วยความเคารพ!หลังจากออกจากพระที่นั่งหย่างซิน หวงเฉาก็มาถึงนอกพระราชวังอย่างรวดเร็วเขาเหลือบมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น เขาก็หันหลังเข้าไปในร้านค้าแห่งหนึ่งมินานนัก เขาก็เดินออกมาจากข้างในตอนนี้เขาอยู่ในชุดท่องราตรีสีดำ ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยผ้าสีดำ บนบ่าของเขามีกระสอบป่านใบหนึ่งพาดอยู่หลังจากออกจากร้านค้า เขาก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวไปทางศาลต้าหลี่ในเวลาเดียวกันตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ กำลังสำรวจตรอกแห่งหนึ่งในขณะนั้นเอง หางตาของตงฟางไป๋กระตุกเล็กน้อย เขาเหลือบไปเห็นเงาร่างหนึ่งพลิกตัวข้ามกำแพงมิไกลออกไปเขาพูดเสียงต่ำ “อยู่ตรงนั้น ตามไปเร็ว!”เหล่าทหารรักษาตำหนักได้ยินดังนั้นก็รีบติดตามไปอย่างรวดเร็วคนก
แต่จากตัวอักษรที่ปรากฏ มองออกมิยากว่านี่คือวิชายุทธขั้นสุดยอดชายชุดคลุมดำพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีมาก มิเสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ลำบากช่วยเจ้า”กู้ตงเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้มีพระคุณ เมื่อไรข้าน้อยจะออกไปจากที่นี่ได้หรือขอรับ?”ชายชุดคลุมดำมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กระไรกัน? อยู่ที่นี่กับข้ามันทำให้เจ้าอึดอัดหรือ?”“หามิได้ ๆ ขอรับ ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่กังวลว่าศัตรูจะมาพบเข้า แล้วจะทำให้ท่านผู้มีพระคุณพลอยเดือดร้อนไปด้วยขอรับ”“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า เจ้าแค่ตั้งใจกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ รอจนกว่าเรื่องซาลง ข้าจะปล่อยเจ้าไปเอง”ได้ยินดังนั้น กู้ตงเฟิงก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิดในใจกลับคิดว่า สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในใต้หล้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะอยู่ในพระราชวังจริง ๆ เช่นนั้นแล้วคนที่อยู่ตรงหน้าเขา… หรือว่าจะเป็น...เขามิกล้าคิดต่อไป เพราะมิว่าเขาจะเดาถูกหรือไม่ก็ตาม ล้วนแต่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขา......“องค์รัชทายาท ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดพระองค์ถึงเสด็จมาที่นี่พ่ะ
"องค์รัชทายาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"หวังฉือมาถึงตำหนักบูรพา ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดฉินซูพอจะคาดเดาได้จากสีหน้าวิตกกังวลของเขา "หรือว่ามีเด็กสาวถูกลักพาตัวไปอีกแล้ว?""ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คราวนี้เป็นบุตรสาวของหลิวเหวินซิน เสนาบดีกรมกลาโหมพ่ะย่ะค่ะ!""ท่านว่ากระไรนะ? บุตรสาวของเสนาบดีกรมกลาโหมรึ?!""ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่ข้าน้อยจะมาที่นี่ หลิวเหวินซินได้ไปแจ้งความต่อศาลต้าหลี่ด้วยตนเอง ตอนนี้ผู้ตรวจการศาลต้าหลี่และทหารรักษาจวนของเขากำลังออกค้นหากันอยู่ แต่มิแน่ใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ..."พูดถึงตรงนี้ หวังฉือก็หยุดพูด พร้อมกับชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าเหนือศีรษะฉินซูเข้าใจความหมายของเขาในทันที หากเป็นฝีมือขอองค์จักรพรรดิ บุตรสาวของเสนาบดีกรมกลาโหมต้องตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงเป็นแน่เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "เช่นนั้นตัวข้าจะใช้ข้ออ้างนี้ไปขอเข้าเฝ้าเพื่อหยั่งเชิงเสด็จพ่อดูสักหน่อย""มิได้พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฝ่าบาทจริง ๆ และฝ่าบาททรงล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ฝ่าบาทอาจกระทำการบางอย่างก็เป็นได้"ที่หวังฉือมาถึงที่นี่ นอกจากกังวลว่าฉินซูจะรีบไ
บนกำแพงวังเต็มไปด้วยหน่วยตรวจตรา ทว่ากลับไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด ๆในขณะเดียวกันจวนหลังใหญ่ทางทิศตะวันตกของเมืองชายวัยห้าสิบคนหนึ่งกำลังสนทนากับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ที่ห้องรับรองเขาผู้นี้คือหลิวเหวินซิน เสนาบดีกรมกลาโหมเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวพึมพำ “มิคิดว่าครั้งนี้แคว้นหนานเยวี่ยจะจริงจังถึงขั้นนี้ สงครามปะทุขึ้นแล้ว ชาวบ้านแถบชายแดนทางใต้ต้องทุกข์ยากเพราะสงครามอีกคราแล้วสินะ”“ใต้เท้าหลิว ที่ชายแดนทางใต้มีแม่ทัพฉงคุมทัพอยู่ คงจะไม่มีปัญหามากกระมังขอรับ?”“ใช่แล้ว มีแม่ทัพฉงอยู่ พวกคนนอกด่านแคว้นหนานเยวี่ยก็คงมิกล้าข้ามชายแดนแม้แต่ครึ่งก้าว”หลิวเหวินซินถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าว “เมื่อเย็นนี้ กรมกลาโหมได้รับข่าวด่วนจากชายแดนทางใต้ พวกคนนอกด่านแบ่งกองทัพออกเป็นสามทางบุกโจมตีพร้อมกันสามด้านแม้ว่าจะมีแม่ทัพฉงคุมกองทัพอยู่ที่เมืองเจียวโจว แต่เวลานี้นางคงดูแลสองด้านมิไหวแน่เสนาบดีกรมกลาโหมไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้ส่งกองทัพไปเสริมกำลังที่ชายแดนใต้ หากปล่อยให้ถูกโจมตีสามด้าน เมืองเจียวโจวคงจะต้านทานได้อีกมินาน”“ใต้เท้าหลิว เมื่อมินานมา
เหลยเจิ้นตอบจริงจังว่า “ข้าน้อยมิทำเช่นนั้นแน่ ข้าน้อยให้สัญญากับองค์รัชทายาทไปแล้วว่าจะให้เสวี่ยเจี้ยนแต่งงานกับท่าน ข้าน้อยไม่มีทางผิดคำพูดเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”“แต่แปลกนัก เหตุใดเสด็จพ่อถึงทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้?”ฉินซูขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมตอนแรกเขาคิดว่าเหลยเจิ้นเปลี่ยนใจ แต่ตอนนี้กลับเห็นว่าอีกฝ่ายก็เองก็ดูมึนงงมิต่างกัน เห็นได้ชัดว่ามิทราบเรื่องราวภายในแม้แต่น้อยเขาอดสงสัยมิได้ว่า เสด็จพ่ออาจจะต้องการให้เขามีพระชายาหลายคน เพื่อมีบุตรสืบสกุลเพิ่มหรือไร?เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงถามเหลยเจิ้นด้วยความสงสัยว่า “หัวหน้าโหรหลวงคิดว่า เสด็จพ่อทรงมีพระประสงค์กระไรจึงได้ออกพระราชโองการครั้งนี้?”เหลยเจิ้นยักไหล่ “องค์รัชทายาททรงถามคำถามที่ยากเกินกว่าที่ข้าน้อยจะตอบได้ พระราชดำริของฝ่าบาทข้าน้อยจะคาดเดาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”โธ่ มาสำนักหอดูดาวหลวงเสียเที่ยวแล้วฉินซูบ่นในใจแล้วจึงลาจากไปหลังจากที่ฉินซูจากไป เหลยเจิ้นก็ขมวดคิ้วพึมพำ“จู่ ๆ ฝ่าบาทก็มีพระราชโองการเลือกชายาให้องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงมีแผนอันใดกันแน่?”......บ่ายวันนั้นกรมพิธีการได้รับแผนภูมิดวงชะตาหลายร้อยฉบับนี่คือ