“จื่อซีไม่สบาย ให้ชายาหลีรักษานางจะเป็นอะไรไป นางก็เหมือนกับน้องสาวของเจ้าคนหนึ่ง เจ้าจะใจร้ายเมินนางได้ลงคอนั้นรึ? ข้าแค่อยากให้นางได้พักฟื้นในจวนอ๋องหลีเพราะนางกำลังป่วย มันจะส่งผลเสียแค่ไหนกันเชียว?”ไทเฮาแสดงความโกรธเล็กน้อย เห็นแก่ฮูหยินฉู่ที่อยู่ข้าง ๆ จึงไม่ได้บีบบังคับมากนัก แต่นางก็ยังดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ฮูหยินฉู่พูดอะไรไม่ได้เพราะนางเป็นแม่ยายของเย่เฟยหลี จึงยากที่จะเปิดปากหากยอมตกลงก็จะสร้างปัญหาให้แก่ลูกสาวของตน แต่หากไม่เห็นด้วยก็จะกลายเป็นคนใจแคบที่ช่วยเหลือแค่ญาติตัวเองเท่านั้น นางถูกหนีบอยู่ตรงกลางไม่รู้จะทำเช่นไรดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะเงียบแทนเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ ก็รู้คร่าว ๆ ว่ากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไรเมื่อนึกถึงสิ่งที่ซุนจื่อซีพูดกับนางเมื่อครู่ ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ซุนจื่อซีและตัวเองได้เข้าใจ “เช่นนั้นก็ให้คุณหนูจื่อซีพักรักษาตัวอยู่ที่จวนของท่านอ๋องหลี หายดีแล้วค่อยกลับพระตำหนักอันชิ่งเถิดเพคะ”เสียงเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีทำให้บรรยากาศการพูดคุยในห้องโถงดูอ่อนลง“ซีเอ๋อร์ นี่เจ้า...”เย่เฟยหลีมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วย
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมอง มุมปากของนางยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนดอกตูมในฤดูใบไม้ผลิ“ชายายังคงมีความสุขได้อีกหรือเพคะ บ่าวเป็นกังวลจนแทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว”“กังวลเรื่องอะไร?” ฉู่เนี่ยนซียังคงดูสมุดบัญชีต่อพลางถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น“ก็คุณหนูจื่อซี… บ่าวได้ยินมาจากเหลียงหยวนว่าตั้งแต่กลับมาถึงจวน ท่านอ๋องก็อารมณ์ไม่ดี เมื่อครู่พระองค์ยังเสด็จไปที่เรือนของคุณหนูจื่อซีอีกด้วยนะเพคะ แต่พระชายากลับยังมีอารมณ์มานั่งตรวจบัญชีที่นี่อยู่อีก”ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ตอบอะไรเสี่ยวเถา นางเข้าใจว่าเหตุใดสมุดบัญชีถึงได้ถูกส่งมาเป็นจำนวนมากในเวลานี้ นี่เป็นวิธีการของเย่เฟยหลีที่กำลังบอกผู้คนในจวนว่านางคือพระชายาแห่งจวนอ๋องหลี และเป็นนายของพวกเขา และบอกให้คนใช้หยุดคาดเดากันมั่ว ๆ ซุนจื่อซีถูกจัดเตรียมให้อาศัยในเรือนที่เคยเป็นของซ่างกวานเยียน นางเพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จเย่เฟยหลีก็เสด็จมา นางรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย และรู้สึกว่าเขายังห่วงใยตนอยู่“พี่สาม”ซุนจื่อซีงงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยขึ้น นี่คือชื่อเรียกเดิม แต่นางไม่ได้เรียกเขาเช่นนี้มานานแล้ว‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’ นางเองก็จำไม่ได้แล้วนางรู้ว่าตัวเองไม
“กระหม่อมไปรายงานแล้วขอรับ บางทีพระชายาอาจเหนื่อยจากการตรวจบัญชี ดังนั้นจึงไม่...” เหลียงหยวนตอบตะกุกตะกัก“เหอะ! นางช่างมีจิตใจที่กว้างใหญ่เสียจริง”เย่เฟยหลียิ่งไม่พอใจมากขึ้น สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่รับสตรีนางอื่นมาตามอำเภอใจเท่านั้น แต่แม้แต่เขาไปที่เรือนของสตรีอื่น นางก็ยังไม่แม้แต่จะส่งคนมาดูเมื่อเห็นเย่เฟยหลีจากไปแล้ว สี่เชว่ก็เข้าไปในห้อง แล้วเดินเข้าไปหาซุนจื่อซีก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “คุณหนู ท่านอ๋องพูดอะไรหรือไม่เพคะ?”“ไม่ เขาจะพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป” ซุนจื่อซีเบนสายตา แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปเก็บใบชามาแล้วตามข้าไปที่เรือนของชายาหลี”“ทำไมล่ะเพคะ? คุณหนู บ่าวอยากถามมานานแล้ว บ่าวไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดกับชายาหลีเรื่องการแข่งขันที่ยุติธรรมในวันนั้นเลย รูปร่างหน้าตาและพรสวรรค์ของท่านนั้นยอดเยี่ยมมาก บ่าวไม่คิดว่าท่านจะด้อยไปกว่าชายาหลีตรงใดเลย”“เย่เซวียนเล่อและฉู่เนี่ยนซีนั้นแตกต่างกัน เย่เซวียนเล่อนั้นสามารถยั่วยุได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ด้วยนิสัยของฉู่เนี่ยนซี ยิ่งข้าพูดตรงมากเท่าไร นางก็ยิ่งระวังตัวน้อยลงเท่านั้น”สี่เชว่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ และออกไปเตรียมตัว
ซุนจื่อซีตอบอย่างเกรงใจ “ไม่ดีกว่าเพคะ ถึงซีเอ๋อร์จะโง่เขลาเพียงใดก็เข้าใจมารยาท ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ”หลังจากที่ซุนจื่อซีจากไปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างครุ่นคิดและเอ่ยถามเย่เฟยหลี “ซุนจื่อซีเป็นคนใจกว้างและอ่อนโยนมากเช่นนี้ เหตุใดตอนนั้นท่านถึงไม่อถิเษกกับนางล่ะเจ้าคะ?”“เพราะว่าตอนนั้นมีบางคนที่ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะแต่งงานกับข้าเสียให้ได้น่ะสิ”เย่เฟยหลีดูไม่แยแสและวางเต้าหู้ชิ้นหนึ่งลงบนจานของฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีพูดไม่ออก เดิมทีคิดจะแหย่เย่เฟยหลีเล่น แต่สุดท้ายกลับทำตัวเองกลับขายหน้าเสียเอง “นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันยังเด็กและไม่รู้ความต่างหากเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีกำลังจะใส่เต้าหู้เข้าไปในปาก แต่ก็ต้องสั่นสะเทือนกับสายตาที่เย่เฟยหลีส่งมา ซึ่งทำให้เต้าหู้ในตะเกียบสั่นเล็กน้อย“แล้วตอนนี้รู้ความแล้วหรือยัง?”ตอนนั้นไม่รู้ความจึงอยากแต่งเข้าจวนอ๋องหลี ตอนนี้รู้ความแล้วจึงไม่อยากแต่งแล้วและรู้สึกเสียใจที่แต่งงานกับเขา?ฉู่เนี่ยนซียิ้มแล้วพูดว่า “เต้าหู้นี้รสชาติดีจริง ๆ ท่านอ๋องก็ลองทานดูเถิดเจ้าค่ะ”เย่เฟยหลีสถบเสียงเย็น และไม่ได้สนใจนางอีก แต่เขาก็คีบเต้าหู้เข้
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”เย่เฟยหลีลืมตาสีดำขลับมองใบหน้าที่อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่คืบพลางพูดหยอกล้อเมื่อลมหายใจอุ่นกระทบแก้มของฉู่เนี่ยนซีปรากฏรอยสีแดงจาง ๆ รูปร่างคล้ายก้อนเมฆ ขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง นางพูดตะกุกตะกักแต่ก็มีท่าทีดื้อรั้น “คะ คิดอะไรที่ไหน คือ ท่านนอนข้างข้าเช่นนี้ข้าไม่ค่อยชินเท่าไหร่”“ถ้าเช่นนั้นก็ทำตัวให้ชินเสียสิ”พูดจบ เย่เฟยหลีก็ดีดนิ้ว ทำให้เรือนทั้งหลังเข้าสู่ความมืดมิดท่ามกลางความเงียบงันในห้อง ฉู่เนี่ยนซีได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัว อีกทั้งเหมือนจะได้ยินเย่เฟยหลีขำเบา ๆ นางจึงเอื้อมมือออกไปหยิกเนื้อที่เอวของเขาด้วยความโกรธแต่เย่เฟยหลีที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาหลายปีแล้ว เอวของเขาแน่นและไม่มีไขมันเลย ฉู่เนี่ยนซีจ้องมองเขาในความมืด จากนั้นก็นอนหันไปอีกทางจนหลังของนางชิดกับหน้าอกของเขา เย่เฟยหลีเอื้อมมือไปโอบนางไว้ในอ้อมแขนพลางถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เหตุใดเจ้าถึงเห็นด้วย?”“เรื่องอะไร?”“ซุนจื่อซี”ฉู่เนี่ยนซีหยุดชะงัก ขณะนั้นลมหายใจของเย่เฟยหลีกำลังเป่ารดศีรษะของนางอยู่“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะยอมรับคำขอของเสด็จย่าและแต่งงานกับนางจริง ๆ หรือ?”เย่เ
นักร่ายรำหญิงบนเวทีสวมผ้าโปร่งสีแดงเข้ม ใบหน้าของนางประดับด้วยลูกปัดด้ายเงิน การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าล้วนเต็มไปด้วยเสน่ห์ แม้มองเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้หลงใหลจนสูญสิ้นสติได้ซุนจื่อซีมองแขนขาวราวรากบัวที่กำลังร่ายรำอยู่ในอากาศกับเอวอันเรียวบางก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางดึงนางเข้าไปในโรงพนันหุยหุนโรงพนันหุยหุนแตกต่างจากโรงเต้นรำอย่างสิ้นเชิง ที่นี่อึกทึกและแออัด อีกทั้งผู้คนในนี้ต่างก็พ่นผรุสวาทเสียงดังออกมามากมาย ฉู่เนี่ยนซีพูดกับซุนจื่อซีและเย่เฟยหลีว่า “พวกท่านทั้งสองเดินเล่นกันไปก่อน เดี๋ยวข้ามา”ฉู่เนี่ยนซีเตือนเย่เฟยหลีอย่างหนักแน่น “ที่นี่มีพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรดอยู่มาก ดูแลนางให้ดีด้วย”เย่เฟยหลีมองตามร่างของฉู่เนี่ยนซีที่จากไปอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาไม่รู้ว่านางเชื่อใจเขาจริง ๆ หรือว่านางใจกว้างเกินไปจนไม่สนใจอะไรเลย“เช่นนั้นท่านอ๋องเดินเล่นเป็นเพื่อนหม่อมฉันหน่อยนะเพคะ”ซุนจื่อซีเงยหน้ามองสันกรามเรียบเนียนของเย่เฟยหลี เมื่อมองตามไป นางก็เห็นว่าสายตาของเย่เฟยหลีเอาแต่ตามติดฉู่เนี่ยนซี คล้ายว่าคำพูดของนางจะเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านหูเขาไ
เย่เฟยหลีพาซุนจื่อซีไปยังห้องเล็ก ๆ บนชั้นสอง เด็กรับใช้คนหนึ่งนำชาร้อนมาให้พลางพูดอย่างนอบน้อมว่า “เชิญทั้งสองท่านเพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้ หากต้องการสิ่งใด ให้ดึงเชือกเรียกคนได้เลยขอรับ”“รบกวนน้องชายด้วย” ซุนจื่อซีพยักหน้าและขอบคุณอีกฝ่าย“เรื่องเมื่อครู่ขอขอบคุณคุณชายนะเจ้าคะ หากท่านไม่ได้อยู่ที่นั่น ข้าคงกลัวมากจนไม่รู้จะทำอย่างไร” ซุนจื่อซีมีสีหน้าชื่นชม“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บ่อนพนันก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียวก็ย่อมตกอยู่ในอันตรายได้ง่าย ดังนั้นก็ไม่ควรไปไหนมาไหนด้วยความประมาท”เย่เฟยหลีกลับมามีสีหน้าเฉยเมย ราวกับว่าเขาไม่สนใจสิ่งใดฉู่เนี่ยนซีที่จัดการสมุดบัญชีทั้งหมดเรียบร้อยก็มาหาเย่เฟยหลีกับซุนจื่อซี หลังจากนั่งลงนางก็รับชาจากเย่เฟยหลี พลางมองไปที่ซุนจื่อซีแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เหมือนที่ท่านได้จินตนาการไว้หรือไม่?”เย่เฟยหลีหันมองไปทางอื่นพลางบ่นอุบอิบ รับชาจากเขาแต่ดันไม่พูดกับเขาก่อนงั้นหรือ?“โชคดีที่เมื่อครู่คุณชายดูแลปกป้องข้าอยู่ตลอด เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนที่พบกับชายมักมากผู้นั้น…”ซุนจื่อซีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าว ๆ แต่เปลี่
ขณะนั้นรถม้าที่วิ่งมาได้ครึ่งทางก็หยุดลง ฉู่เนี่ยนซีเปิดหน้าต่างเล็ก ๆ มองออกไปด้วยความสับสน ทว่ากลับไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงถามคนขับรถม้าเสียงเบาว่าเกิดอะไรขึ้น คนขับรถม้าจึงตอบว่าท่านอ๋องทรงสั่งให้หยุดทันใดนั้นเมื่อมองตามแสงประกายนอกรถม้าไป ฉู่เนี่ยนซีก็เห็นเย่เฟยหลีเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้ในมือ เขานั่งข้าง ๆ และยื่นกล่องไม้นั้นใส่มือนาง“นี่คือขนมซูอวี้ของหอจุ้ยเยว่ เจ้าเล่นสนุกอยู่ตั้งนานแต่ยังไม่ได้กินอะไร กินสักหน่อยให้พออิ่มท้อง พอถึงจวนแล้วค่อยให้คนครัวทำอาหารให้”ซุนจื่อซีตื่นแล้วตั้งแต่ตอนที่รถม้าหยุด และนางก็ฟังการสนทนาระหว่างฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีมาตลอดโดยที่ไม่ได้ลืมตาฉู่เนี่ยนซีดมกลิ่นหอมของขนมซูอวี้ พลางปลุกซุนจื่อซีแล้วยื่นกล่องไม้มาให้นางดมกลิ่นด้วยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “หอมมากเลยว่าไหม ลองชิมสักชิ้นสิ”ซุนจื่อซีขยี้ตาที่ขุ่นมัวแล้วพูดอย่างสับสน “กลิ่นหอมมากเลยเพคะ หอมยิ่งกว่าของที่ทำในวังด้วยซ้ำ”นางหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งพลางครุ่นคิด จากนั้นก็ยื่นมันให้เย่เฟยหลีก่อน“ท่านอ๋องชิมก่อนสิเพคะ”เย่เฟยหลีเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีจากหางตา เมื่อเห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด