นักร่ายรำหญิงบนเวทีสวมผ้าโปร่งสีแดงเข้ม ใบหน้าของนางประดับด้วยลูกปัดด้ายเงิน การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าล้วนเต็มไปด้วยเสน่ห์ แม้มองเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้หลงใหลจนสูญสิ้นสติได้ซุนจื่อซีมองแขนขาวราวรากบัวที่กำลังร่ายรำอยู่ในอากาศกับเอวอันเรียวบางก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางดึงนางเข้าไปในโรงพนันหุยหุนโรงพนันหุยหุนแตกต่างจากโรงเต้นรำอย่างสิ้นเชิง ที่นี่อึกทึกและแออัด อีกทั้งผู้คนในนี้ต่างก็พ่นผรุสวาทเสียงดังออกมามากมาย ฉู่เนี่ยนซีพูดกับซุนจื่อซีและเย่เฟยหลีว่า “พวกท่านทั้งสองเดินเล่นกันไปก่อน เดี๋ยวข้ามา”ฉู่เนี่ยนซีเตือนเย่เฟยหลีอย่างหนักแน่น “ที่นี่มีพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรดอยู่มาก ดูแลนางให้ดีด้วย”เย่เฟยหลีมองตามร่างของฉู่เนี่ยนซีที่จากไปอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาไม่รู้ว่านางเชื่อใจเขาจริง ๆ หรือว่านางใจกว้างเกินไปจนไม่สนใจอะไรเลย“เช่นนั้นท่านอ๋องเดินเล่นเป็นเพื่อนหม่อมฉันหน่อยนะเพคะ”ซุนจื่อซีเงยหน้ามองสันกรามเรียบเนียนของเย่เฟยหลี เมื่อมองตามไป นางก็เห็นว่าสายตาของเย่เฟยหลีเอาแต่ตามติดฉู่เนี่ยนซี คล้ายว่าคำพูดของนางจะเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านหูเขาไ
เย่เฟยหลีพาซุนจื่อซีไปยังห้องเล็ก ๆ บนชั้นสอง เด็กรับใช้คนหนึ่งนำชาร้อนมาให้พลางพูดอย่างนอบน้อมว่า “เชิญทั้งสองท่านเพลิดเพลินกับช่วงเวลานี้ หากต้องการสิ่งใด ให้ดึงเชือกเรียกคนได้เลยขอรับ”“รบกวนน้องชายด้วย” ซุนจื่อซีพยักหน้าและขอบคุณอีกฝ่าย“เรื่องเมื่อครู่ขอขอบคุณคุณชายนะเจ้าคะ หากท่านไม่ได้อยู่ที่นั่น ข้าคงกลัวมากจนไม่รู้จะทำอย่างไร” ซุนจื่อซีมีสีหน้าชื่นชม“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บ่อนพนันก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเป็นสตรีตัวคนเดียวก็ย่อมตกอยู่ในอันตรายได้ง่าย ดังนั้นก็ไม่ควรไปไหนมาไหนด้วยความประมาท”เย่เฟยหลีกลับมามีสีหน้าเฉยเมย ราวกับว่าเขาไม่สนใจสิ่งใดฉู่เนี่ยนซีที่จัดการสมุดบัญชีทั้งหมดเรียบร้อยก็มาหาเย่เฟยหลีกับซุนจื่อซี หลังจากนั่งลงนางก็รับชาจากเย่เฟยหลี พลางมองไปที่ซุนจื่อซีแล้วถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เหมือนที่ท่านได้จินตนาการไว้หรือไม่?”เย่เฟยหลีหันมองไปทางอื่นพลางบ่นอุบอิบ รับชาจากเขาแต่ดันไม่พูดกับเขาก่อนงั้นหรือ?“โชคดีที่เมื่อครู่คุณชายดูแลปกป้องข้าอยู่ตลอด เช่นนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตอนที่พบกับชายมักมากผู้นั้น…”ซุนจื่อซีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าว ๆ แต่เปลี่
ขณะนั้นรถม้าที่วิ่งมาได้ครึ่งทางก็หยุดลง ฉู่เนี่ยนซีเปิดหน้าต่างเล็ก ๆ มองออกไปด้วยความสับสน ทว่ากลับไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงถามคนขับรถม้าเสียงเบาว่าเกิดอะไรขึ้น คนขับรถม้าจึงตอบว่าท่านอ๋องทรงสั่งให้หยุดทันใดนั้นเมื่อมองตามแสงประกายนอกรถม้าไป ฉู่เนี่ยนซีก็เห็นเย่เฟยหลีเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้ในมือ เขานั่งข้าง ๆ และยื่นกล่องไม้นั้นใส่มือนาง“นี่คือขนมซูอวี้ของหอจุ้ยเยว่ เจ้าเล่นสนุกอยู่ตั้งนานแต่ยังไม่ได้กินอะไร กินสักหน่อยให้พออิ่มท้อง พอถึงจวนแล้วค่อยให้คนครัวทำอาหารให้”ซุนจื่อซีตื่นแล้วตั้งแต่ตอนที่รถม้าหยุด และนางก็ฟังการสนทนาระหว่างฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีมาตลอดโดยที่ไม่ได้ลืมตาฉู่เนี่ยนซีดมกลิ่นหอมของขนมซูอวี้ พลางปลุกซุนจื่อซีแล้วยื่นกล่องไม้มาให้นางดมกลิ่นด้วยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “หอมมากเลยว่าไหม ลองชิมสักชิ้นสิ”ซุนจื่อซีขยี้ตาที่ขุ่นมัวแล้วพูดอย่างสับสน “กลิ่นหอมมากเลยเพคะ หอมยิ่งกว่าของที่ทำในวังด้วยซ้ำ”นางหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งพลางครุ่นคิด จากนั้นก็ยื่นมันให้เย่เฟยหลีก่อน“ท่านอ๋องชิมก่อนสิเพคะ”เย่เฟยหลีเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีจากหางตา เมื่อเห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
มุมปากของเย่เฟยหลียิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเมฆดำที่ลอยอยู่เต็มในหัวใจของเขาก็สลายไปในทันทีทำให้ท้องฟ้าแจ่มใส เขาวางพู่กันในมือลงแล้วเดินไปหาฉู่เนี่ยนซีพลางพูดเบา ๆ “ขอบใจซีเอ๋อร์มาก”ฉู่เนี่ยนซียิ้มเจื่อนและแอบเสียใจ หากนางรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางคงไม่ทำอาหารมาให้ อีกทั้งก็คงไม่ต้องมายืนนิ่งพูดไม่ออกต่อหน้าเย่เฟยหลีเช่นในตอนนี้“ข้านึกว่าซีเอ๋อร์จะไม่สนใจแล้วจริง ๆ เสียอีก”ดวงตาของเย่เฟยหลีเต็มไปด้วยความสุข เขาเช็ดมือและนั่งข้าง ๆ พลางเชิญฉู่เนี่ยนซีให้นั่งด้วยกันฉู่เนี่ยนซีไม่ได้สนใจจริง ๆ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว นางก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร นางเพียงยิ้มต่อไปพลางคิดว่าหลังจากกลับไปจะลงโทษเสี่ยวเถาเสียหน่อยในจวนอ๋องเหลียนไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันและความรื่นเริงเช่นนี้ อีกทั้งบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด เย่เหลียนได้ยินข่าวจากพระราชวังว่าฉู่กุ้ยเฟยและพระชายาฉิงถูกวางยา เขาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหลุบตาลงในขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิด พลางใช้มือขวาหมุนแหวนที่นิ้วโป้งมือซ้ายโดยไม่รู้ตัวเสด็จแม่ของเขาก็ประชวรด้วยโรคเช่นนี้ก่อนที่จะสวรรคตเช่นกัน หมอหลวงหลายคนต่างพากันมาวินิจฉัย อีกทั้
ในขณะที่ควันสีเทาเหนือกระถางธูปค่อย ๆ เบาบางลง ความตึงเครียดในหัวใจของซุนจื่อซีกลับค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ปลายนิ้วของนางสัมผัสได้ถึงความเย็นของถ้วยชา ทำให้แทบจะไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้เมื่อได้ยินเสียงของสี่เชว่ที่กำลังต้อนรับให้เย่เฟยหลีเข้ามาจากด้านนอก ซุนจื่อซีก็ลูบผมของตัวเองและตรวจดูความเรียบร้อย จากนั้นจึงยืนขึ้นทำความเคารพเย่เฟยหลีที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง “ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”นางสวมชุดกระโปรงสีแดงบาง ๆ ใบหน้าของนางเหมือนดอกท้อ และแววตาที่เต็มไปด้วยสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากสีชาด ขนตายาวหนาเป็นแพ ประกอบกับกระดูกไหปลาร้าที่เผยให้เห็นรูปร่างที่เพรียวบางของนาง“มีอะไร?” เย่เฟยหลีรีบนั่งโดยไม่หยุดสอดส่ายสายตา“จื่อซีกำลังคิดว่าวันส่งท้ายปีเก่าที่กำลังใกล้เข้ามานี้อยากจะร่ายรำให้เสด็จย่าได้รับชมอย่างเพลิดเพลิน แต่หม่อมฉันร่ายรำไม่เป็น อีกทั้งท่านอ๋องก็ทรงอยู่กับเสด็จย่ามานาน ท่านคงจะทราบว่าเสด็จย่าชอบการร่ายรำเช่นไร หม่อมฉันจึงมาขอคำแนะนำจากท่านอ๋องเพคะ”“เช่นนั้นข้าจะเชิญอาจารย์ผู้สอนมาให้ เขามีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการที่ค่ายทหาร คงจะไม่ได้อยู
ฉู่เนี่ยนซีแสร้งทำเป็นโกรธพลางเหลือบมองเหยียนจือซิน ตัวนางได้พูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดไปเสียแล้วหลังจากพูดคุยกันสักพัก ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่สามารถหาคำตอบจากเหยียนจือซินว่าความรักคืออะไร นางจึงหยุดพูดถึง“ไปกันเพคะ หม่อมฉันจะพาไปดูดอกไม้ที่หม่อมฉันเพิ่งปลูก แต่ตอนนี้มันยังไม่บาน เอาไว้ดอกไม้บานเมื่อไหร่หม่อมฉันจะเชิญพระนางมาดื่มชานะเพคะ”พูดจบ เหยียนจือซินก็ลากฉู่เนี่ยนซีเดินออกจากห้องด้วยความกระตือรือร้นที่จะแสดงสิ่งที่อยากอวด“ถึงตอนนั้นข้าคงไม่ได้มาที่บ้านตระกูลเหยียนหรอก คงจะไปที่บ้านสามีของเจ้านู่น” ฉู่เนี่ยนซีล้อเลียนเหยียนจือซิน ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะระหว่างที่ออกนอกห้องไปด้วยกันหมากบนกระดานในพระตำหนักหย่างซินอัดกันแน่น คนสองคนที่นั่งขัดสมาธิกันอยู่คนละฝั่งของกระดานหมากรุกก็มีรัศมีเปล่งประกายออกมาที่แตกต่างกันองค์จักรพรรดิขัดเกลาความทะเยอทะยานของตัวเองจนเฉิดฉายมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พระองค์ก็ทรงเก็บมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจ และห่อหุ้มไว้ด้วยความเคลือบแคลงอันบางเบาท่าทางของเย่เฟยหลีที่สง่างามและมั่นคง ผสานกับความเย่อหยิ่งของบุรุษ ทำให้เขาดูหยิ่งผยองราวกับน้ำค้างแข็งและหิมะ
เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินคำรายงาน นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินทางไปยังจวนมหาเสนาบดี นางอยู่ในวังมาหลายวันแล้ว และท่านพ่อท่านแม่ก็คงจะรู้สึกเป็นห่วงนาง หลังจากทานอาหารเย็นที่จวนมหาเสนาบดีแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็ตรวจดูครรภ์ของจ้าวม่อเหยียน ทุกอย่างเรียบร้อยดี จากนั้นนางจึงอยู่พูดคุยกับฮูหยินฉู่สักพักหนึ่ง หลังจากตื่นจากการงีบหลับกลางวันแล้วจึงกลับจวนของอ๋องหลีจนกระทั่งช่วงเย็น เย่เฟยหลีก็ขี่ม้ากลับมา หลังจากทานอาหารกับฉู่เนี่ยนซีเรียบร้อยแล้วเขาจึงไปอาบน้ำ ซุนจื่อซีสั่งให้สี่เชว่ไม่ต้องเตรียมสำรับอาหารเย็น นางหันหลังเดินไปหยิบดินสอเขียนคิ้วแล้วบรรจงแต่งหน้าที่หน้ากระจก “คุณหนู วันนี้คุณหนูไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน หากป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไรเพคะ?” สี่เชว่เอ่ยอย่างเป็นกังวล“ข้ามีแผน เจ้าไปนำชุดที่ข้าเตรียมไว้ออกมาเสีย”“เพคะ”เย่เฟยหลีเข้ามาในห้องนอนของฉู่เนี่ยนซีพร้อมกับผมที่ยังเปียกชื้น เขาเห็นนางนั่งขัดสมาธิอย่างงดงามกำลังถือตำราแพทย์และอ่านมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เขายกมุมปากขึ้นก่อนจะเดินไปตรงหน้าแล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้กับนาง“อะไรหรือเจ้าคะ?” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง“ผม
สี่เชว่ช่วยซุนจื่อซีถอดเสื้อคลุมออก ด้านในนางสวมเพียงชุดสีแดงบาง ๆ เท่านั้น ใบหน้าของนางดูเหมือนดอกท้อ และนัยน์ตาก็เหมือนน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากสีแดง ขนตายาวหนา และกระดูกไหปลาร้าที่เผยให้เห็นรูปร่างที่เพรียวบางเย่เฟยหลีมองไปที่ดวงตาที่ชื่นชมของฉู่เนี่ยนซี และรู้สึกว่านางไม่ระวังตัวเลยมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ นี่ก็ดึกมากแล้ว และทางกลับอากาศหนาวเย็น อย่าทำให้ตัวเองหนาวจนป่วยขึ้นมาอีก สี่เชว่ส่งคุณหนูกลับเรือน”ฉู่เนี่ยนซีตบเย่เฟยหลีเบา ๆ พลางลุกขึ้นแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจเขา แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง ที่โรงเต้นรำมีอาจารย์ที่มีทักษะการร่ายรำที่ยอดเยี่ยม พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปเชิญมาให้”ซุนจื่อซีพยายามระงับความเย็นชาในใจอย่างดีที่สุด นางกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนบนริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ดีเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่กลัวว่าจะเป็นการลำบากพระชายามากเกินไป”“ไม่ลำบากหรอก แต่ท่านร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นจงอย่าฝืนมากเกินไป วันนี้สีหน้าของท่านก็ดูไม่ค่อยดีนัก ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”ฉู่เนี่ยน