สี่เชว่ช่วยซุนจื่อซีถอดเสื้อคลุมออก ด้านในนางสวมเพียงชุดสีแดงบาง ๆ เท่านั้น ใบหน้าของนางดูเหมือนดอกท้อ และนัยน์ตาก็เหมือนน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากสีแดง ขนตายาวหนา และกระดูกไหปลาร้าที่เผยให้เห็นรูปร่างที่เพรียวบางเย่เฟยหลีมองไปที่ดวงตาที่ชื่นชมของฉู่เนี่ยนซี และรู้สึกว่านางไม่ระวังตัวเลยมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ นี่ก็ดึกมากแล้ว และทางกลับอากาศหนาวเย็น อย่าทำให้ตัวเองหนาวจนป่วยขึ้นมาอีก สี่เชว่ส่งคุณหนูกลับเรือน”ฉู่เนี่ยนซีตบเย่เฟยหลีเบา ๆ พลางลุกขึ้นแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจเขา แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง ที่โรงเต้นรำมีอาจารย์ที่มีทักษะการร่ายรำที่ยอดเยี่ยม พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปเชิญมาให้”ซุนจื่อซีพยายามระงับความเย็นชาในใจอย่างดีที่สุด นางกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนบนริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ดีเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่กลัวว่าจะเป็นการลำบากพระชายามากเกินไป”“ไม่ลำบากหรอก แต่ท่านร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นจงอย่าฝืนมากเกินไป วันนี้สีหน้าของท่านก็ดูไม่ค่อยดีนัก ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”ฉู่เนี่ยน
“ไม่ใช่เลยเจ้าค่ะ ข้าแค่คิดว่าท่านควรไปส่งนางก็เท่านั้น”“เจ้าคิดว่าข้าควรไปส่งนาง ข้าก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างงั้นรึ? เช่นนั้นหากข้าคิดว่าเราไม่ควรนอนแยกเตียงกัน เจ้าก็จะไม่นอนแยกเตียงใช่หรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วและมองเขา “เหตุใดท่านถึงได้วกกลับมาเรื่องนี้อีกแล้วเล่า?”“เจ้ามองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถี่ถ้วน แล้วเหตุใดเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ?”เย่เฟยหลีดึงฉู่เนี่ยนซีเข้าไปในห้องโถงด้านในแล้วนั่งลงบนเตียง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจะถือว่านางเป็นสหายก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงมิตรภาพในอดีตระหว่างข้ากับนาง หากมีเรื่องอะไรที่ข้าควรช่วย ข้าก็จะช่วย แต่หากเจ้ายังผลักไสข้าใส่นางเช่นนี้ ระวังว่าข้าจะชอบนางแล้วแต่งนางเข้าจวน ให้นางเป็นชายาของจวนอ๋องหลีไปอีกคน”“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าต้องการภรรยาเพียงคนเดียว และจะไม่มีการรับสตรีอื่นเข้ามา หากข้าชอบซุนจื่อซีขึ้นมาจริง ๆ เช่นนั้นในชีวิตนี้ เราก็จะไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก”เย่เฟยหลีนอนอยู่บนเตียงและจงใจพูดอย่างจริงจัง โดยเหลือบมองสีหน้าของฉู่เนี่ยนซีผ่านทางหางตา“ท่าน! บุรุษนี่ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้ปากก็บอกว่ารัก อีกเดี๋ย
เย่ฉงเฉิงกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของเขาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นเย่เฟยหลีกำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล เขาก็กระโดดขึ้นและวิ่งไปหาเย่เฟยหลีทันที“พี่สาม ท่านมาสักที ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”“ถวายบังคมพี่สะใภ้สาม”ตอนนี้เย่ฉงเฉิงยอมรับฉู่เนี่ยนซีแล้ว และไม่ได้ทะเลาะกับนางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปซุนจื่อซีทำความเคารพเย่ฉงเฉิง “ถวายบังคมอ๋องเฉิงเพคะ”เย่ฉงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันพูดกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม ที่นั่งของสตรีอยู่ฝั่งนู้น ท่านกับคุณหนูจื่อซีไปที่นั่นก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่สามสักเดี๋ยว และตรงนั้นยังมีแม่ทัพสองสามนายที่อยากจะคุยกับเราด้วย”เย่เฟยหลีมองฉู่เนี่ยนซีและพูดเสียงขรึม “เจ้าไปก่อนเถิด หากเบื่อก็ไปเดินเล่นรอบ ๆ ได้ แต่อย่าไปไกลเกินไปล่ะ”จากนั้นเขาก็หันไปสั่งเสี่ยวเถา “ดูแลพระชายาให้ดี”“เพคะ”ฉู่เหนียนซีเดินไปอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เย่เฟยหลีและเย่ฉงเฉิงค่อย ๆ เดินไปที่โต๊ะฝั่งบุรุษเย่ฉงเฉิงถามด้วยความสับสน “พี่สาม ช่วงนี้ข้าอยู่ที่เมืองหลวงจึงไม่ค่อยทราบข่าวใหม่ เหตุใดซุนจื่อซีถึงได้มากับพวกท่านได้? ”“ถามพี่สะใภ้สามของเจ้าดูสิ”เย่เฟยหลีเองก็อยากจะรู้ เหต
เมื่อฝั่งสตรีเห็นฉู่เนี่ยนซีและซุนจื่อซีเดินเข้ามา ทุกคนยกเว้นเจี่ยงจาวอวิ๋นก็ยืนขึ้นและทำความเคารพใบหน้าของฉู่เนี่ยนซียังคงเย็นชา นางเพียงแค่พยักหน้าให้ทุกคนเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง“คุณหนูจื่อซี ได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านไม่สบาย ไม่ทราบว่าดีขึ้นแล้วหรือไม่เพคะ?” หญิงสาวในชุดสีเหลืองอ่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณหนูเฉา ตัวข้าอาศัยอยู่ในจวนของอ๋องหลีมาหลายวันแล้ว และได้รับการดูแลจากท่านอ๋องและพระชายาทุกวัน ตอนนี้ข้าอาการดีขึ้นมากแล้ว”ซุนจื่อซีเดินไปหาคุณหนูเฉาคนนั้น ตอนอยู่ข้างกายไทเฮาเคยเห็นหน้านางอยู่หลายครั้ง จึงไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า“แม้แต่คนที่เย็นชาและเคร่งขรึมอย่างอ๋องหลีก็ดูแลท่านเป็นอย่างดี ถือเป็นพรจริง ๆ”ดูเหมือนว่าคุณหนูเฉาจะลืมฉากการปฏิเสธของเย่เฟยหลีไปโดยสิ้นเชิง นางเพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม“อย่างไรทั้งคู่ของผูกพันธ์กันมาแต่อ้อนแต่ออก ถึงแม้จะมีใครมาคั่นกลาง แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดไปได้ตลอดชีวิต ทั้งสองคนถูกไทเฮาเลี้ยงดูมาข้างกาย ดังนั้นจึงเหมาะสมกันมากกว่า”เจี่ยงจาวอวิ๋นพูดขณะแตะเตาอุ่นมือในอ้อมแขนของตัวเองไปด้วย แม้ว่าดวงตาจะดู
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่รบกวนพระชายาแล้วเพคะ หม่อมฉันขอตัวก่อน”คุณหนูเจิ้งโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี แล้วจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เสี่ยวเถาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจ “คุณหนูผู้นี้ช่างเป็นคนร่าเริงและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก นางกล้าที่จะพูดออกมาโดยไม่เกรงกลัวชายาเหลียนเลย”ฉู่เนี่ยนซีกระตุกยิ้ม แล้วเดินไปข้างหน้าต่อกลางฤดูหนาวลมพัดเบาลงมากขณะที่ฉู่เนี่ยนซีและเสี่ยวเถากำลังเดินอยู่พวกนางก็รู้สึกร้อนบนหลัง จึงรู้ตัวว่าเดินมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นจึงเดินกลับมาตามเส้นทางเดิมเมื่อกลับไปที่กระโจมของฝั่งสตรี ฉู่เนี่ยนซีก็นั่งลงโดยไม่รบกวนผู้อื่น นางเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า เห็นเพียงฉู่กุ้ยเฟยที่กำลังมองมาที่นางด้วยรอยยิ้มฉู่เนี่ยนซีมองกลับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน จากหางตาเห็นว่ากระโจมฝั่งบุรุษไม่มีใครอยู่เลย จึงรู้ว่าการล่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้วพื้นที่ล่าสัตว์มีต้นสนแดงตามธรรมชาติตั้งตระหง่าน ต้นไม้สูงทนหนาวจำนวนมากถูกปลูกเป็นวง ทำให้ป่ามีความหนาแน่นมากขึ้น ในฤดูร้อน แม้แต่แสงแดดที่ร้อนแรงที่สุดก็สามารถทะลุผ่านเข้ามาได้เพียงสี่ถึงห้าส่วนเท่านั้นกีบม้ามากมายเหยียบย่ำกิ่งก้านที่หักและใ
เย่เฟยหลีตั้งสติและมองย้อนกลับไปก็เห็นหมูป่าล้มลงกับพื้นไปแล้วเขาเดินไปหยิบชายเสื้อคลุมของเขาออกมาเช็ดกริชแล้วโยนมันกลับลงไปบนพื้นขันทีหนุ่มที่เพิ่งมาถึงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากนี้ หากเย่เฟยหลีได้รับบาดเจ็บจากสัตว์ป่า ต่อพวกเขาจะมีสิบหัวก็คงไม่พอให้ตัด“นำกลับไป”เย่เฟยหลีกระโดดขึ้นหลังม้าและออกคำสั่งกับขันทีหนุ่มเหล่านั้น“โถ่ สวรรค์ ได้โปรดช้าลงหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ บ่าวรับผิดชอบไม่ไหวนะพ่ะค่ะ”ขันทีหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและกังวล“หากมีอะไรผิดพลาดก็โทษข้าได้เลย ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”เย่เฟยหลีพูดจบก็จากไป ขันทีหนุ่มโบกมือให้คนอื่น ๆ ก่อนที่จะตามเขาไปทุกคนกังวลเรื่องเย่เฟยหลี จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนตามมาอย่างเงียบ ๆ ที่ด้านนอกป่า เจี่ยงจาวอวิ๋นมองเห็นว่าลมเปลี่ยนทิศแล้ว แม้ว่านางจะเป็นชายาเหลียน และเป็นบุตรีของเจี๋ยงเกอเหล่า แต่ผู้คนก็ไม่ได้สนใจนางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับยกย่องฉู่เนี่ยนซีมากขึ้นเรื่อย ๆนางรู้สึกหดหู่ใจจึงออกไปเดินเล่น ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดูบึกบึนในชุดขันทีที่ดูไม่เหมือนขันทีคนหนึ่งเด
“พระชายาโปรดอย่าเก็บคำพูดของพระชายาเหลียนมาใส่ใจเลยเพคะ แน่นอนว่าหม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ ณ สถานการณ์ตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไร ล้วนทำให้พระชายาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่…จื่อซีขอรินสุราดื่มอวยพรให้พระชายาเพคะ หม่อมฉันหวังว่าท่านจะหายโกรธ”ซุนจื่อซีจ้องมองอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยดวงตาสุกสกาว สองมือของนางยกแก้วขึ้นพร้อมพูดจาน่าเอ็นดูบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่อยู่รอบข้างพากันมองมา ฉู่เนี่ยนซีเองก็ไม่ได้อยากจะตำหนิในสิ่งที่นางสื่อถึง แต่นางรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติกับการที่อีกฝ่ายอยากดื่มอวยพรให้ ทว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยังไม่รู้ว่าตรงส่วนใดที่ผิดปกติฉู่กุ้ยเฟยที่ผ่านมาที่นี่พอดี มองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ซีเอ๋อร์ของข้าช่างโชคดีนักที่มีสหายนิสัยดีเช่นแม่นางจื่อซี แต่ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้แม่นางจื่อซีสุขภาพไม่ค่อยดี หากดื่มชามากเกินไปเกรงว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับ ช่วยเปลี่ยนชาของแม่นางจื่อซีเป็นชาแปดอัญมณีให้ที”“ข้าเองไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ ขอบคุณท่านป้าที่ช่วยเตือนเจ้าค่ะ” เมื่อฉู่เนี่ยนซีมองไปทางฉู่กุ้ยเฟยก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตำหนิตนผ่านทางสายตา
“ไป!”ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีขี่ม้าออกไป ฉู่กุ้ยเฟยก็รีบส่งคนตามไป “เร็ว รีบตามไป!”เลือดบนผ้ายังคงมีความเหนียวเหนอะหนะสายลมที่พัดผ่านหูทำให้แก้มของนางเย็นเยือก นางไม่เคยเชื่อในพระเจ้าเลย เชื่อเพียงว่าผู้คนบนโลกนี้พยายามคิดหาวิธีหลุดพ้นจากทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตทว่า ณ ขณะนี้ นางกลับตั้งตารอการปรากฏตัวของเทพเจ้าอย่างสุดหัวใจ ได้ยินไปถึงเสียงร้องดังสนั่นในอกของนางว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเย่เฟยหลีกลุ่มคนที่ฉู่กุ้ยเฟยส่งมาตามรอยของฉู่เนี่ยนซีไม่ทัน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่กระจุกรวมกัน สุดท้ายพวกเขาก็พลัดหลงกับนางฉู่เนี่ยนซีทำการค้นหาแบบไม่มีข้อมูล แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่ก็ไม่สามารถห้ามเหงื่อบนหน้าผากผุดออกมาได้ ในที่สุดเมื่อนางเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่นองไปด้วยเลือด ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกราวกับตนได้พุ่งกระโจนลงไปในทะเลลึก น้ำทะเลนั้นไหลเข้าเต็มหูและจมูกไปหมด จนทำให้นางหายใจไม่ออกนางลงจากม้าและเดินไปยังสระเลือด กลิ่นคาวลอยเข้าจมูกลามเข้าไปยังปอด กลิ่นนั้นฉุนปานโลกถล่มดินทลาย นางมองร่องรอยของเลือดที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง พร้อมลากเท้าห่างมาสองก้าว ราวกับขาและเท้าของนา