“ไป!”ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีขี่ม้าออกไป ฉู่กุ้ยเฟยก็รีบส่งคนตามไป “เร็ว รีบตามไป!”เลือดบนผ้ายังคงมีความเหนียวเหนอะหนะสายลมที่พัดผ่านหูทำให้แก้มของนางเย็นเยือก นางไม่เคยเชื่อในพระเจ้าเลย เชื่อเพียงว่าผู้คนบนโลกนี้พยายามคิดหาวิธีหลุดพ้นจากทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตทว่า ณ ขณะนี้ นางกลับตั้งตารอการปรากฏตัวของเทพเจ้าอย่างสุดหัวใจ ได้ยินไปถึงเสียงร้องดังสนั่นในอกของนางว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเย่เฟยหลีกลุ่มคนที่ฉู่กุ้ยเฟยส่งมาตามรอยของฉู่เนี่ยนซีไม่ทัน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่กระจุกรวมกัน สุดท้ายพวกเขาก็พลัดหลงกับนางฉู่เนี่ยนซีทำการค้นหาแบบไม่มีข้อมูล แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่ก็ไม่สามารถห้ามเหงื่อบนหน้าผากผุดออกมาได้ ในที่สุดเมื่อนางเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่นองไปด้วยเลือด ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกราวกับตนได้พุ่งกระโจนลงไปในทะเลลึก น้ำทะเลนั้นไหลเข้าเต็มหูและจมูกไปหมด จนทำให้นางหายใจไม่ออกนางลงจากม้าและเดินไปยังสระเลือด กลิ่นคาวลอยเข้าจมูกลามเข้าไปยังปอด กลิ่นนั้นฉุนปานโลกถล่มดินทลาย นางมองร่องรอยของเลือดที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง พร้อมลากเท้าห่างมาสองก้าว ราวกับขาและเท้าของนา
เขาจับมือของฉู่เนี่ยนซีที่ยกขึ้นกำแน่นจนห้อเลือด พลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “นั่นเป็นของเหย่จื้อ ไม่ใช่ของข้า คงมีคนใช้เศษผ้าชิ้นนี้ล่อเจ้ามาที่นี่”ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่เชื่อ “ท่านไม่ได้บาดเจ็บจริง ๆ หรือ?”“ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก”เมื่อได้ยินคำตอบ สติสัมปชัญญะก็คืนกลับมาหาฉู่เนี่ยนซีราวกับน้ำท่วมที่กำลังไหลทะลัก นางมองศพที่อยู่รอบ ๆ ตัว หน้าอกของนางสั่นเทาแล้วถามว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”“ข้าเจอเข้ากับกลุ่มคนที่ตามเจ้ามาจึงสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เดาได้ว่านั่นคงเป็นกับดัก ข้าเลยรีบมา”เย่เฟยหลีมองเข้าไปในดวงตาของฉู่เนี่ยนซีและพูดอย่างปวดใจ “เหตุใดเจ้าถึงบุกเข้ามาคนเดียว ไม่พาคนมาด้วยเล่า?”“ข้า…”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาขึ้นลง นั่นสิ เหตุใดนางถึงตื่นตระหนกจนไม่รู้เลยว่านี่คือกับดัก?“ข้ากลัวว่าหากกลายเป็นม่ายขึ้นมาคงจะไม่มีใครแต่งงานด้วย”เย่เฟยหลีจ้องมองนางพลางประคองนางให้ยืนขึ้น จากนั้นก็พานางขึ้นหลังม้าและออกจากดินแดนแห่งความขัดแย้งแห่งนี้ไปเมื่อองค์จักรพรรดิทราบเรื่องนี้ก็ทรงกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีรู้ดีว่าคงไม่
เย่เฟยหลีจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วและกำลังจะไปหาฉู่เนี่ยนซี ซุนจื่อซีที่กำลังรออยู่นอกประตู เมื่อนางได้ยินเสียงเปิดประตู นางก็ก้าวไปข้างหน้าพลางกลั้นน้ำตาและตะโกนเรียกพี่สามเมื่อเห็นนางแสร้งทำเป็นสงบและเข้มแข็ง เย่เฟยหลีก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอะไรออกมา เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “กลับไปพักผ่อนเถิด อย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยอีก”“พี่สาม ข้ารู้ รู้ว่าท่านไม่ชอบข้า ไม่รู้ว่าท่านยังจะนับข้าเป็นน้องสาวได้อยู่หรือไม่ ข้าไม่ได้เรียกท่านว่าพี่สามมานานแล้ว และท่านเองก็คงดูออกว่าข้าไม่ได้มองท่านเป็นพี่ชายเลยแม้แต่น้อย”เย่เฟยหลีออกไปโดยไม่ได้เดินกลับมา เขาหันหลังให้ซุนจื่อซีแต่ไม่ได้พูดอะไรราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างในที่สุดเขาก็หันกลับไปมองดวงตาใสที่เหมือนมีความผิดหวังเสียใจกระจายอยู่ในนั้นแต่ไม่กล้าเปิดเผยออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดออกมาโดยปราศจากท่าทีแข็งกระด้าง “มีหลายสิ่งที่ไม่อาจบังคับหรือร้องขอได้ มีเพียงฉู่เนี่ยนซีเท่านั้นที่จะเป็นภรรยาของข้าตลอดไป…”“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาฟังท่านบอกว่ารักนางลึกซึ้งเพียงใด ข้าแค่อยากจะบอกว่าท่านได้ฝังรากลึกลงไปในใจของข้ามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แ
อ่างถ่านกำลังให้ความอบอุ่นแก่แผ่นหลังของฉู่เนี่ยนซี หลังจากเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง นางก็โค้งตัวพูดกับเสี่ยวเถา “ร้อนมากเลย”“พระชายา นั่งดี ๆ เถิดเพคะ เดี๋ยวเส้นผมกับเสื้อผ้าจะไหม้หมด”“พี่สาม เสร็จรึยัง ข้ามีอะไรจะถามหน่อย” เสียงกังวลของเย่ฉงเฉิงดังมาจากด้านนอกประตู “เจ้ามาผิดที่แล้ว เขาอยู่อีกด้านหนึ่ง”งดงามราวดอกชบาแลธารน้ำใส คิ้วหนาได้รูป ริมฝีปากแดงจิ้มลิ้ม จมูกเป็นสันชมพู ผิวขาวละเอียดลออ กอปรด้วยดวงตากวางน้อยคู่หนึ่ง ภาพความงามที่เห็นตรงหน้าทำเอาเย่ฉงเฉิงตกตะลึง“เย่ฉงเฉิง”เสียงเรียกนั่นทำให้เย่ฉงเฉิงกลับมามีสติอีกครั้ง เขาหัวเราะพลางเกาศีรษะแล้วพูดกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สามนี่ช่างงดงามราวกับเทพธิดาเสียจริง พี่สะใภ้สามจัดการตัวเองเสร็จแล้วหรือยัง ไปหาพี่สามด้วยกันดีหรือไม่?”“รอข้าสักครู่” หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีกลับเข้าไปในห้อง เดิมทีนางอยากจะใช้ปิ่นดอกหยกปักผม แต่ผมของนางเรียบลื่นราวกับผ้าต่วน นางจึงใช้เพียงผ้าผูกผมสีเขียวมัดผมไว้อย่างหลวม ๆ และสวมเสื้อคลุมออกไปพร้อมเย่ฉงเฉิงด้านเย่เฟยหลีที่อุ้มซุนจื่อซีเข้ามาในห้องแล้ววางนางลงบนเตียง เมื่อเห็นว่านางขมวดคิ้วและมีเหงื่ออ
ฉู่เนี่ยนซีไปตรวจชีพจรของซุนจื่อซี นอกจากอ่อนเพลียแล้ว นางก็ไม่มีอาการอื่นอีกนางอดไม่ได้ที่จะสงสัย ซุนจื่อซีดื่มยาตามใบสั่งยาที่นางเขียนให้มาหลายวันแล้ว เหตุใดถึงยังได้ดูอ่อนแรงเช่นนี้เย่เฟยหลีสังเกตสีหน้าเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีอย่างระมัดระวัง สีหน้านั้นไม่ได้เหมือนยามปกติเสียทีเดียว แต่มีอารมณ์อื่นปะปนอยู่ด้วยเย่เฟยหลีกลั้นยิ้มพลางเดินไปหานางโดยเอามือไพล่หลัง ราวกับว่าเขากังวลใจมาก “จื่อซีเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครู่นางทรุดลงกับพื้นถึงขั้นลุกไม่ขึ้น น่าเป็นห่วงเสียจริง ๆ”เสียงกังวลใจของสี่เชว่ดังมาจากนอกประตูอีกครั้ง “ท่านหมอ ที่นี่แหละเจ้าค่ะ เร็วหน่อยเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาอย่างเฉยเมย “ในเมื่อหมอหลวงมาแล้ว ท่านอ๋องก็ลองถามอย่างละเอียดเอาเองแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าความรู้น้อย จึงหาสาเหตุไม่พบ คิดว่าคงต้องไปอ่านหนังสือศึกษาหาความรู้เพิ่มเสียหน่อย” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นหลีกทางให้หมอหลวง หลังจากโค้งคำนับทุกคนแล้ว หมอหลวงก็วางแขนของซุนจื่อซีไว้บนหมอนชีพจร พลางหยิบผ้าพันคอสี่เหลี่ยมออกมาแล้วคลุมข้อมือของนางก่อนที่จะเริ่มจับชีพจร“ทูลท่านอ๋องทั้งสองและพระชายา แม่นางจื่อซีสบายดี อาจเ
“ไม่ใช่แน่นอน ตอนนั้นข้าและท่านกำลังขี่ม้าด้วยกัน เรื่องนี้อย่างน้อยต้องวางแผนไว้ครึ่งทางและไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ ท่านเห็นว่าข้าออกคำสั่งเท็จอะไรไปหรือไม่ล่ะ?” เย่เหลียนยกแก้วชนกับไป๋ชิงไป๋ชิงยิ้มมุมปาก การชนแก้วของทั้งคู่ดูมีสิ่งใดเป็นพิเศษ “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีสหายในเงามืดที่หมายหัวเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีเป็นศัตรูคู่อาฆาตสินะ”สีหน้าของเย่เหลียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสับสน เขาอยากจะขัดขวางเย่เฟยหลี แต่เขาไม่ต้องการชีวิตของฉู่เนี่ยนซีในงานเลี้ยงของสตรี ฉู่กุ้ยเฟยที่ได้รับข้อความจากฉู่เนี่ยนซีก็สั่งให้คนไปที่ครัวเพื่อนำอาหารไปให้ซุนจื่อซี ขณะเดียวกันนางก็ให้เชิญฉู่เนี่ยนซีมาด้วยเพราะนางมีเรื่องจะพูดเย่เฟยหลีถูกเย่ฉงเฉิงพาตัวไป ส่วนฉู่เนี่ยนซีก็ถูกเรียกตัวไปอยู่กับฉู่กุ้ยเฟย เหลือเพียงซุนจื่อซีและสี่เชว่ เท่านั้นที่กำลังทานอาหารอยู่ในห้องสี่เชว่ใช้ตะเกียบคีบชิ้นไก่วางลงบนจานตรงหน้าซุนจื่อซีพลางพูดอย่างมีความสุข “เคล็ดลับนี้ได้ผลจริง ๆ ท่านอ๋องหลีทรงไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกทั้งยังอุ้มคุณหนูเข้ามาในห้องด้วยเจ้าค่ะ”“ตอนแรกข้าคิดว่าฉู่เนี
เมื่อซุนจื่อซีนึกถึงนิสัยที่เหมือนเด็กน้อยของเย่เซวียนเล่อก็ส่ายหัวอย่างจนใจ หากนางได้สามีที่มีอารมณ์ร้อนเหมือนกัน คงได้ใช้เวลาทั้งวันทุบหม้อเขวี้ยงจานเป็นแน่รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยงจาวอวิ๋นค่อย ๆ ชะงักลง นางคว้ามือของซุนจื่อซีแล้วเค้นถามว่า “เหตุใดถึงเป็นเพราะฉู่เนี่ยนซีเล่า?”“หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนั้นองค์หญิงห้าทรงโกรธมาก หม่อมฉันจึงไม่กล้าถามอะไร โดยปกติแล้วนางจะไม่โกรธท่านอ๋องเหลียน แต่วันนั้นกลับทำเอาหม่อมฉันกลัว กลัวว่านางจะหลุดคำต่อว่าออกมา หม่อมฉันจึงรวบรวมความกล้าที่จะรีบเกลี้ยกล่อมนางก่อน ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เวลาองค์หญิงห้าเจอพระชายาหลีก็มักจะทะเลาะกันตลอดอยู่แล้ว”“นั่นสินะ องค์หญิงห้าควรจะแก้นิสัยเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ได้แล้ว”เจี่ยงจาวอวิ๋นยิ้มมุมปาก นางมั่นใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นยังมีสาเหตุมากจากฉู่เนี่ยนซี นางต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้“น้องรัก เห็นเจ้ากำลังทานข้าวอยู่ เช่นนั้นข้าไม่กวนดีกว่า ข้าต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้วลjะ เจ้าพักผ่อนเถิด” เจี่ยงจาวอวิ๋นตบมือซุนจื่อซีแล้วจากไปด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจสี่เชว่เกิดความ
ดวงตาของเย่เหลียนเผยให้เห็นความโกรธผสมกับความเกลียดชัง เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้เขาเดินไปหาเจี่ยงจาวอวิ๋นพร้อมมองหน้านาง “เรื่องฉู่เนี่ยนซีเป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม?”เจี่ยงจาวอวิ๋นยิ้มเยาะ “ใช่หรือไม่ใช่ข้าแล้วอย่างไร เย่เหลียน ท่านไม่คิดว่าตัวเองจุ้นจ้านไปหน่อยรึ? นั่นพระชายาจวนอ๋องหลีเชียวนะ นางเป็นชายาของเย่เฟยหลี ต้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยด้วยหรือ?”เย่เหลียนยืนยันคำตอบได้จากนสายตาของนาง เขาเอื้อมมือไปบีบคางแหลมของเจี่ยงจาวอวิ๋น บังคับให้นางจ้องเข้ามาในดวงตาอันดุร้ายของตน พลางถลึงตาพูดเสียงต่ำว่า “เจี่ยงจาวอวิ๋น ข้าให้เกียรติเจ้ามามากพอแล้ว หากยังลงมือทำร้ายนางอีก เจ้าจะได้รับบทเรียนจากข้าแน่นอน” เจี่ยงจาวอวิ๋นโกรธเย่เหลียนเป็นอย่างมาก นางยื่นมือออกไปฟาดหน้าเย่เหลียน ทว่าเขาคว้ามือนางไว้แน่น ทันใดนั้นน้ำตาแห่งความไม่พอใจก็ไหลอาบแก้มของนาง ทำเอาทนไม่ไหวจนต้องตวาดออกมา “เย่เหลียน ข้าเจี่ยงจาวอวิ๋นทำอะไรผิดต่อท่านนักหนา ท่านถึงทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าต่อต้านขัดขวางอ๋องหลีก็เพื่อท่าน แต่ลับหลังท่านกลับจ้องศัตรูของข้าตาเป็นมันอย่างนั้นรึ?!”“หากเจ้าไม่สร้างปัญหา เจ้าก