ฉู่เนี่ยนซีไปตรวจชีพจรของซุนจื่อซี นอกจากอ่อนเพลียแล้ว นางก็ไม่มีอาการอื่นอีกนางอดไม่ได้ที่จะสงสัย ซุนจื่อซีดื่มยาตามใบสั่งยาที่นางเขียนให้มาหลายวันแล้ว เหตุใดถึงยังได้ดูอ่อนแรงเช่นนี้เย่เฟยหลีสังเกตสีหน้าเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีอย่างระมัดระวัง สีหน้านั้นไม่ได้เหมือนยามปกติเสียทีเดียว แต่มีอารมณ์อื่นปะปนอยู่ด้วยเย่เฟยหลีกลั้นยิ้มพลางเดินไปหานางโดยเอามือไพล่หลัง ราวกับว่าเขากังวลใจมาก “จื่อซีเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครู่นางทรุดลงกับพื้นถึงขั้นลุกไม่ขึ้น น่าเป็นห่วงเสียจริง ๆ”เสียงกังวลใจของสี่เชว่ดังมาจากนอกประตูอีกครั้ง “ท่านหมอ ที่นี่แหละเจ้าค่ะ เร็วหน่อยเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาอย่างเฉยเมย “ในเมื่อหมอหลวงมาแล้ว ท่านอ๋องก็ลองถามอย่างละเอียดเอาเองแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าความรู้น้อย จึงหาสาเหตุไม่พบ คิดว่าคงต้องไปอ่านหนังสือศึกษาหาความรู้เพิ่มเสียหน่อย” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นหลีกทางให้หมอหลวง หลังจากโค้งคำนับทุกคนแล้ว หมอหลวงก็วางแขนของซุนจื่อซีไว้บนหมอนชีพจร พลางหยิบผ้าพันคอสี่เหลี่ยมออกมาแล้วคลุมข้อมือของนางก่อนที่จะเริ่มจับชีพจร“ทูลท่านอ๋องทั้งสองและพระชายา แม่นางจื่อซีสบายดี อาจเ
“ไม่ใช่แน่นอน ตอนนั้นข้าและท่านกำลังขี่ม้าด้วยกัน เรื่องนี้อย่างน้อยต้องวางแผนไว้ครึ่งทางและไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ ท่านเห็นว่าข้าออกคำสั่งเท็จอะไรไปหรือไม่ล่ะ?” เย่เหลียนยกแก้วชนกับไป๋ชิงไป๋ชิงยิ้มมุมปาก การชนแก้วของทั้งคู่ดูมีสิ่งใดเป็นพิเศษ “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีสหายในเงามืดที่หมายหัวเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีเป็นศัตรูคู่อาฆาตสินะ”สีหน้าของเย่เหลียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสับสน เขาอยากจะขัดขวางเย่เฟยหลี แต่เขาไม่ต้องการชีวิตของฉู่เนี่ยนซีในงานเลี้ยงของสตรี ฉู่กุ้ยเฟยที่ได้รับข้อความจากฉู่เนี่ยนซีก็สั่งให้คนไปที่ครัวเพื่อนำอาหารไปให้ซุนจื่อซี ขณะเดียวกันนางก็ให้เชิญฉู่เนี่ยนซีมาด้วยเพราะนางมีเรื่องจะพูดเย่เฟยหลีถูกเย่ฉงเฉิงพาตัวไป ส่วนฉู่เนี่ยนซีก็ถูกเรียกตัวไปอยู่กับฉู่กุ้ยเฟย เหลือเพียงซุนจื่อซีและสี่เชว่ เท่านั้นที่กำลังทานอาหารอยู่ในห้องสี่เชว่ใช้ตะเกียบคีบชิ้นไก่วางลงบนจานตรงหน้าซุนจื่อซีพลางพูดอย่างมีความสุข “เคล็ดลับนี้ได้ผลจริง ๆ ท่านอ๋องหลีทรงไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกทั้งยังอุ้มคุณหนูเข้ามาในห้องด้วยเจ้าค่ะ”“ตอนแรกข้าคิดว่าฉู่เนี
เมื่อซุนจื่อซีนึกถึงนิสัยที่เหมือนเด็กน้อยของเย่เซวียนเล่อก็ส่ายหัวอย่างจนใจ หากนางได้สามีที่มีอารมณ์ร้อนเหมือนกัน คงได้ใช้เวลาทั้งวันทุบหม้อเขวี้ยงจานเป็นแน่รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยงจาวอวิ๋นค่อย ๆ ชะงักลง นางคว้ามือของซุนจื่อซีแล้วเค้นถามว่า “เหตุใดถึงเป็นเพราะฉู่เนี่ยนซีเล่า?”“หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนั้นองค์หญิงห้าทรงโกรธมาก หม่อมฉันจึงไม่กล้าถามอะไร โดยปกติแล้วนางจะไม่โกรธท่านอ๋องเหลียน แต่วันนั้นกลับทำเอาหม่อมฉันกลัว กลัวว่านางจะหลุดคำต่อว่าออกมา หม่อมฉันจึงรวบรวมความกล้าที่จะรีบเกลี้ยกล่อมนางก่อน ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เวลาองค์หญิงห้าเจอพระชายาหลีก็มักจะทะเลาะกันตลอดอยู่แล้ว”“นั่นสินะ องค์หญิงห้าควรจะแก้นิสัยเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ได้แล้ว”เจี่ยงจาวอวิ๋นยิ้มมุมปาก นางมั่นใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นยังมีสาเหตุมากจากฉู่เนี่ยนซี นางต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้“น้องรัก เห็นเจ้ากำลังทานข้าวอยู่ เช่นนั้นข้าไม่กวนดีกว่า ข้าต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้วลjะ เจ้าพักผ่อนเถิด” เจี่ยงจาวอวิ๋นตบมือซุนจื่อซีแล้วจากไปด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจสี่เชว่เกิดความ
ดวงตาของเย่เหลียนเผยให้เห็นความโกรธผสมกับความเกลียดชัง เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้เขาเดินไปหาเจี่ยงจาวอวิ๋นพร้อมมองหน้านาง “เรื่องฉู่เนี่ยนซีเป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม?”เจี่ยงจาวอวิ๋นยิ้มเยาะ “ใช่หรือไม่ใช่ข้าแล้วอย่างไร เย่เหลียน ท่านไม่คิดว่าตัวเองจุ้นจ้านไปหน่อยรึ? นั่นพระชายาจวนอ๋องหลีเชียวนะ นางเป็นชายาของเย่เฟยหลี ต้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยด้วยหรือ?”เย่เหลียนยืนยันคำตอบได้จากนสายตาของนาง เขาเอื้อมมือไปบีบคางแหลมของเจี่ยงจาวอวิ๋น บังคับให้นางจ้องเข้ามาในดวงตาอันดุร้ายของตน พลางถลึงตาพูดเสียงต่ำว่า “เจี่ยงจาวอวิ๋น ข้าให้เกียรติเจ้ามามากพอแล้ว หากยังลงมือทำร้ายนางอีก เจ้าจะได้รับบทเรียนจากข้าแน่นอน” เจี่ยงจาวอวิ๋นโกรธเย่เหลียนเป็นอย่างมาก นางยื่นมือออกไปฟาดหน้าเย่เหลียน ทว่าเขาคว้ามือนางไว้แน่น ทันใดนั้นน้ำตาแห่งความไม่พอใจก็ไหลอาบแก้มของนาง ทำเอาทนไม่ไหวจนต้องตวาดออกมา “เย่เหลียน ข้าเจี่ยงจาวอวิ๋นทำอะไรผิดต่อท่านนักหนา ท่านถึงทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าต่อต้านขัดขวางอ๋องหลีก็เพื่อท่าน แต่ลับหลังท่านกลับจ้องศัตรูของข้าตาเป็นมันอย่างนั้นรึ?!”“หากเจ้าไม่สร้างปัญหา เจ้าก
“แล้วท่านคิดอะไรอยู่?”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าให้แสงจันทร์จาง ๆ ตกกระทบบนใบหน้า ดวงตาของนางพร่าเลือน“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่ฉู่กุ้ยเฟยพูด น่าสนใจมากทีเดียว”เย่เฟยหลียิ้มเบา ๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องธรรมดา ๆ ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างแจ้ง ผมสีดำขลับที่ถูกรวบด้วยปิ่นปักผมร่วงหล่นลงมาคล้ายมีชั้นน้ำแข็งสีเงินบาง ๆ“ท่านแอบฟังบทสนทนาของข้ากับท่านป้าหรือ?”“บังเอิญได้ยินเท่านั้น” เย่เฟยหลีค่อย ๆ เดินไปหาฉู่เนี่ยนซี “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามาก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รีบเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์”“อย่างที่บอกไป ข้าแค่กลัวเป็นม่ายเท่านั้น”“ตอนนั้นตาเจ้าแดงมาก”“ลมพัดเข้าตาน่ะ”เย่เฟยหลีไม่พูดอะไรอีกต่อไป รอยยิ้มในดวงตาของเขาชัดเจนมากขึ้นยามราตรี เสี่ยวเถาและเหลียงหยวนเฝ้าประตูอยู่ณ ห้องโถง มีเพียงเสียงระเบิดเบา ๆ จากเทียนไขดังขึ้นเป็นครั้งคราวฉู่เนี่ยนซีสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากด้านหลัง รู้สึกจิตใจสงบเป็นอย่างมากวันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะพลางดูสมุดบัญชีที่จวงจื่อส่งมาให้ ต้องบอกว่าตัวเลขของอ๋องหลีนั้นถูกต้องแล้วจริง ๆ เพราะนางคำนวณอยู่นานแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ขณะที่กำล
“อย่าคิดฟุ้งซ่านเลย ไม่เช่นนั้นกลางคืนเจ้าจะนอนไม่หลับ กลางวันจะไร้เรี่ยวแรง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้เจ้าอาการไม่ดีขึ้นเสียที”ฉู่เนี่ยนซีมองใบหน้าอมโรคของซุนจื่อซีพลางเตือนนางอย่างจริงใจ โดยหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเย่เฟยหลี“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ หม่อมฉันขออภัยจริง ๆ ที่ทำให้พระชายาต้องกังวลอยู่เสมอ”ซุนจื่อซีตัวสั่นขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีจึงคลุมนางด้วยผ้าห่มและหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อเพื่อรักษาโรคทั่วไปให้นางนางแบ่งมันออกเป็นสองส่วนแล้วป้อนให้ซุนจื่อซี เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วจากความขม นางก็รีบสั่งให้เสี่ยวเถานำถ้วยชามาให้นางล้างปากความร้อนในร่างกายของซุนจื่อซีค่อย ๆ ลดลง ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีก็คอยเฝ้าอยู่ในห้อง หลังจากที่นางหลับสนิท ฉู่เนี่ยนซีก็กระซิบกับสี่เชว่ “หากคุณหนูของเจ้าตื่นเมื่อไหร่ ก็ให้ส่งคนมาบอกข้าด้วย”“เพคะ”ขณะนั้นก็มีคนรับใช้มาแจ้งว่าฮูหยินฉู่มาหา ฉู่เนี่ยนซีจึงหันไปมองซุนจื่อซีที่กำลังนอนหลับสนิท เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับนางแล้วจึงจากไป“ท่านแม่” ฉู่เนี่ยนซีเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในห้องนอนทันทีที่ฮูหยินฉู่ลุกขึ้น นางก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่เนี่ยนซีจ
“ตอนที่เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องหลีโดยไม่ลังเลใจ แม่ก็กังวลว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว ต่อมาเมื่อเห็นว่าท่านอ๋องหลีต่อเจ้าดีเพียงใด ข้าก็ไม่วิตกเท่าไหร่แล้ว ซีเอ๋อร์ บางครั้งเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง เก็บไว้ในใจอยู่ตลอดเช่นนี้ ท่านอ๋องหลีไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก พอเวลาผ่านไปก็จะเกิดความขุ่นเคืองใจกันขึ้นได้”“แต่แม่ก็ไม่ได้อยากให้เจ้าโอนอ่อนจนตัวเองต้องลำบาก ข้านับเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแสนล้ำค่า ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อโมโหใส่เจ้า คนสองคนต้องเรียนรู้ที่จะจัดการชีวิตของตนเอง ไม่ใช้เพียงคนคนหนึ่งรักอีกคนเพียงฝ่ายเดียว จะต้องมีความรู้สึกร่วมกันด้วย อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าคนที่ทุ่มเทรู้สึกเหนื่อย และคนที่เป็นฝ่ายรับได้แต่นึกเสียใจ จนทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปไม่ได้นะลูก”ฮูหยินฉู่สอนอย่างอดทน เมื่อมองท่าทางครุ่นคิดของฉู่เนี่ยนซี นางก็เอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรกับแม่นางซุน?”“ตราบใดที่นางไม่ได้ทำอะไรเกินเลยข้าก็จะปล่อยนางไป หากครั้งนี้ท่านอ๋องหลีไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อไปเขาก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้เช่นกันเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซียังคิดอีกว่าเหลือเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็จะค
เย่เฟยหลีพยักหน้าพลางยืนขึ้นเพื่อจะกลับเสื้อสีดำตัวใหญ่พลิ้วไหวในอากาศคลุมแผ่นหลังอันกว้างของเขาสุดท้ายสี่เชว่ก็ทนต่อไปไม่ไหวจึงตะโกนด้วยเสียงคร่ำครวญ “ท่านอ๋อง”เย่เฟยหลีหันกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมยพร้อมมองนางด้วยท่าทางไว้ตัวสี่เชว่กลั้นใจพูดออกมาว่า “บางครั้งคุณหนูก็ไม่ยอมบอกหม่อมฉันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่หม่อมฉันก็พอเดาได้เพคะ”“แม้วันนั้นนางจะบอกท่านอ๋องว่าต่อไปจะไม่รบกวนท่านอ๋องอีก แต่นางก็คงปล่อยท่านไปไม่ได้ นางมักจะซ่อนตัวร้องไห้อยู่ในที่ที่ไร้ผู้คนอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่นางร้องไห้จนตาบวมนางก็จะบอกหม่อมฉันว่านางไม่เป็นอะไร หม่อมฉันกลัวว่าหากปลอบนางต่อไปก็จะทำให้คุณหนูต้องเสียใจอีก เมื่อคืนก็เป็นเพราะนางนั่งร้องไห้อยู่ที่ชิงช้าจนป่วยเพคะ” เย่เฟยหลีเหลือบมองชิงช้าพลางนึกถึงตอนที่เขายังเด็ก ไทเฮาทรงตอบรับคำขอของซุนจื่อซีตั้งชิงช้าแบบเดียวกันให้ แต่ซุนจื่อซีก็บังเอิญล้มลงมาขณะแกว่งชิงช้าอยู่ เลือดสด ๆ จากแขนและขาไหลลงพื้นไทเฮาทั้งกริ้วทั้งเสียพระทัยมากจนต้องรื้อชิงช้าออก ทำให้ซุนจื่อซีร้องไห้อยู่หลายครั้ง“ดูแลนางให้ดี” สายตาของเย่เฟยหลีที่คิดถึงวันวานไม่เย็นชาเหมือนก