ฉู่เนี่ยนซีไปตรวจชีพจรของซุนจื่อซี นอกจากอ่อนเพลียแล้ว นางก็ไม่มีอาการอื่นอีกนางอดไม่ได้ที่จะสงสัย ซุนจื่อซีดื่มยาตามใบสั่งยาที่นางเขียนให้มาหลายวันแล้ว เหตุใดถึงยังได้ดูอ่อนแรงเช่นนี้เย่เฟยหลีสังเกตสีหน้าเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีอย่างระมัดระวัง สีหน้านั้นไม่ได้เหมือนยามปกติเสียทีเดียว แต่มีอารมณ์อื่นปะปนอยู่ด้วยเย่เฟยหลีกลั้นยิ้มพลางเดินไปหานางโดยเอามือไพล่หลัง ราวกับว่าเขากังวลใจมาก “จื่อซีเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อครู่นางทรุดลงกับพื้นถึงขั้นลุกไม่ขึ้น น่าเป็นห่วงเสียจริง ๆ”เสียงกังวลใจของสี่เชว่ดังมาจากนอกประตูอีกครั้ง “ท่านหมอ ที่นี่แหละเจ้าค่ะ เร็วหน่อยเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาอย่างเฉยเมย “ในเมื่อหมอหลวงมาแล้ว ท่านอ๋องก็ลองถามอย่างละเอียดเอาเองแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าความรู้น้อย จึงหาสาเหตุไม่พบ คิดว่าคงต้องไปอ่านหนังสือศึกษาหาความรู้เพิ่มเสียหน่อย” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นหลีกทางให้หมอหลวง หลังจากโค้งคำนับทุกคนแล้ว หมอหลวงก็วางแขนของซุนจื่อซีไว้บนหมอนชีพจร พลางหยิบผ้าพันคอสี่เหลี่ยมออกมาแล้วคลุมข้อมือของนางก่อนที่จะเริ่มจับชีพจร“ทูลท่านอ๋องทั้งสองและพระชายา แม่นางจื่อซีสบายดี อาจเ
“ไม่ใช่แน่นอน ตอนนั้นข้าและท่านกำลังขี่ม้าด้วยกัน เรื่องนี้อย่างน้อยต้องวางแผนไว้ครึ่งทางและไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ ท่านเห็นว่าข้าออกคำสั่งเท็จอะไรไปหรือไม่ล่ะ?” เย่เหลียนยกแก้วชนกับไป๋ชิงไป๋ชิงยิ้มมุมปาก การชนแก้วของทั้งคู่ดูมีสิ่งใดเป็นพิเศษ “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีสหายในเงามืดที่หมายหัวเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีเป็นศัตรูคู่อาฆาตสินะ”สีหน้าของเย่เหลียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสับสน เขาอยากจะขัดขวางเย่เฟยหลี แต่เขาไม่ต้องการชีวิตของฉู่เนี่ยนซีในงานเลี้ยงของสตรี ฉู่กุ้ยเฟยที่ได้รับข้อความจากฉู่เนี่ยนซีก็สั่งให้คนไปที่ครัวเพื่อนำอาหารไปให้ซุนจื่อซี ขณะเดียวกันนางก็ให้เชิญฉู่เนี่ยนซีมาด้วยเพราะนางมีเรื่องจะพูดเย่เฟยหลีถูกเย่ฉงเฉิงพาตัวไป ส่วนฉู่เนี่ยนซีก็ถูกเรียกตัวไปอยู่กับฉู่กุ้ยเฟย เหลือเพียงซุนจื่อซีและสี่เชว่ เท่านั้นที่กำลังทานอาหารอยู่ในห้องสี่เชว่ใช้ตะเกียบคีบชิ้นไก่วางลงบนจานตรงหน้าซุนจื่อซีพลางพูดอย่างมีความสุข “เคล็ดลับนี้ได้ผลจริง ๆ ท่านอ๋องหลีทรงไม่เย็นชาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว อีกทั้งยังอุ้มคุณหนูเข้ามาในห้องด้วยเจ้าค่ะ”“ตอนแรกข้าคิดว่าฉู่เนี
เมื่อซุนจื่อซีนึกถึงนิสัยที่เหมือนเด็กน้อยของเย่เซวียนเล่อก็ส่ายหัวอย่างจนใจ หากนางได้สามีที่มีอารมณ์ร้อนเหมือนกัน คงได้ใช้เวลาทั้งวันทุบหม้อเขวี้ยงจานเป็นแน่รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยงจาวอวิ๋นค่อย ๆ ชะงักลง นางคว้ามือของซุนจื่อซีแล้วเค้นถามว่า “เหตุใดถึงเป็นเพราะฉู่เนี่ยนซีเล่า?”“หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจ แต่ตอนนั้นองค์หญิงห้าทรงโกรธมาก หม่อมฉันจึงไม่กล้าถามอะไร โดยปกติแล้วนางจะไม่โกรธท่านอ๋องเหลียน แต่วันนั้นกลับทำเอาหม่อมฉันกลัว กลัวว่านางจะหลุดคำต่อว่าออกมา หม่อมฉันจึงรวบรวมความกล้าที่จะรีบเกลี้ยกล่อมนางก่อน ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เวลาองค์หญิงห้าเจอพระชายาหลีก็มักจะทะเลาะกันตลอดอยู่แล้ว”“นั่นสินะ องค์หญิงห้าควรจะแก้นิสัยเหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ได้แล้ว”เจี่ยงจาวอวิ๋นยิ้มมุมปาก นางมั่นใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นยังมีสาเหตุมากจากฉู่เนี่ยนซี นางต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้“น้องรัก เห็นเจ้ากำลังทานข้าวอยู่ เช่นนั้นข้าไม่กวนดีกว่า ข้าต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงแล้วลjะ เจ้าพักผ่อนเถิด” เจี่ยงจาวอวิ๋นตบมือซุนจื่อซีแล้วจากไปด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจสี่เชว่เกิดความ
ดวงตาของเย่เหลียนเผยให้เห็นความโกรธผสมกับความเกลียดชัง เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้เขาเดินไปหาเจี่ยงจาวอวิ๋นพร้อมมองหน้านาง “เรื่องฉู่เนี่ยนซีเป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม?”เจี่ยงจาวอวิ๋นยิ้มเยาะ “ใช่หรือไม่ใช่ข้าแล้วอย่างไร เย่เหลียน ท่านไม่คิดว่าตัวเองจุ้นจ้านไปหน่อยรึ? นั่นพระชายาจวนอ๋องหลีเชียวนะ นางเป็นชายาของเย่เฟยหลี ต้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยด้วยหรือ?”เย่เหลียนยืนยันคำตอบได้จากนสายตาของนาง เขาเอื้อมมือไปบีบคางแหลมของเจี่ยงจาวอวิ๋น บังคับให้นางจ้องเข้ามาในดวงตาอันดุร้ายของตน พลางถลึงตาพูดเสียงต่ำว่า “เจี่ยงจาวอวิ๋น ข้าให้เกียรติเจ้ามามากพอแล้ว หากยังลงมือทำร้ายนางอีก เจ้าจะได้รับบทเรียนจากข้าแน่นอน” เจี่ยงจาวอวิ๋นโกรธเย่เหลียนเป็นอย่างมาก นางยื่นมือออกไปฟาดหน้าเย่เหลียน ทว่าเขาคว้ามือนางไว้แน่น ทันใดนั้นน้ำตาแห่งความไม่พอใจก็ไหลอาบแก้มของนาง ทำเอาทนไม่ไหวจนต้องตวาดออกมา “เย่เหลียน ข้าเจี่ยงจาวอวิ๋นทำอะไรผิดต่อท่านนักหนา ท่านถึงทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าต่อต้านขัดขวางอ๋องหลีก็เพื่อท่าน แต่ลับหลังท่านกลับจ้องศัตรูของข้าตาเป็นมันอย่างนั้นรึ?!”“หากเจ้าไม่สร้างปัญหา เจ้าก
“แล้วท่านคิดอะไรอยู่?”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าให้แสงจันทร์จาง ๆ ตกกระทบบนใบหน้า ดวงตาของนางพร่าเลือน“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่ฉู่กุ้ยเฟยพูด น่าสนใจมากทีเดียว”เย่เฟยหลียิ้มเบา ๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องธรรมดา ๆ ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างแจ้ง ผมสีดำขลับที่ถูกรวบด้วยปิ่นปักผมร่วงหล่นลงมาคล้ายมีชั้นน้ำแข็งสีเงินบาง ๆ“ท่านแอบฟังบทสนทนาของข้ากับท่านป้าหรือ?”“บังเอิญได้ยินเท่านั้น” เย่เฟยหลีค่อย ๆ เดินไปหาฉู่เนี่ยนซี “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามาก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รีบเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์”“อย่างที่บอกไป ข้าแค่กลัวเป็นม่ายเท่านั้น”“ตอนนั้นตาเจ้าแดงมาก”“ลมพัดเข้าตาน่ะ”เย่เฟยหลีไม่พูดอะไรอีกต่อไป รอยยิ้มในดวงตาของเขาชัดเจนมากขึ้นยามราตรี เสี่ยวเถาและเหลียงหยวนเฝ้าประตูอยู่ณ ห้องโถง มีเพียงเสียงระเบิดเบา ๆ จากเทียนไขดังขึ้นเป็นครั้งคราวฉู่เนี่ยนซีสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากด้านหลัง รู้สึกจิตใจสงบเป็นอย่างมากวันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะพลางดูสมุดบัญชีที่จวงจื่อส่งมาให้ ต้องบอกว่าตัวเลขของอ๋องหลีนั้นถูกต้องแล้วจริง ๆ เพราะนางคำนวณอยู่นานแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ขณะที่กำล
“อย่าคิดฟุ้งซ่านเลย ไม่เช่นนั้นกลางคืนเจ้าจะนอนไม่หลับ กลางวันจะไร้เรี่ยวแรง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้เจ้าอาการไม่ดีขึ้นเสียที”ฉู่เนี่ยนซีมองใบหน้าอมโรคของซุนจื่อซีพลางเตือนนางอย่างจริงใจ โดยหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเย่เฟยหลี“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ หม่อมฉันขออภัยจริง ๆ ที่ทำให้พระชายาต้องกังวลอยู่เสมอ”ซุนจื่อซีตัวสั่นขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีจึงคลุมนางด้วยผ้าห่มและหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อเพื่อรักษาโรคทั่วไปให้นางนางแบ่งมันออกเป็นสองส่วนแล้วป้อนให้ซุนจื่อซี เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วจากความขม นางก็รีบสั่งให้เสี่ยวเถานำถ้วยชามาให้นางล้างปากความร้อนในร่างกายของซุนจื่อซีค่อย ๆ ลดลง ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีก็คอยเฝ้าอยู่ในห้อง หลังจากที่นางหลับสนิท ฉู่เนี่ยนซีก็กระซิบกับสี่เชว่ “หากคุณหนูของเจ้าตื่นเมื่อไหร่ ก็ให้ส่งคนมาบอกข้าด้วย”“เพคะ”ขณะนั้นก็มีคนรับใช้มาแจ้งว่าฮูหยินฉู่มาหา ฉู่เนี่ยนซีจึงหันไปมองซุนจื่อซีที่กำลังนอนหลับสนิท เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับนางแล้วจึงจากไป“ท่านแม่” ฉู่เนี่ยนซีเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในห้องนอนทันทีที่ฮูหยินฉู่ลุกขึ้น นางก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่เนี่ยนซีจ
“ตอนที่เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องหลีโดยไม่ลังเลใจ แม่ก็กังวลว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว ต่อมาเมื่อเห็นว่าท่านอ๋องหลีต่อเจ้าดีเพียงใด ข้าก็ไม่วิตกเท่าไหร่แล้ว ซีเอ๋อร์ บางครั้งเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง เก็บไว้ในใจอยู่ตลอดเช่นนี้ ท่านอ๋องหลีไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก พอเวลาผ่านไปก็จะเกิดความขุ่นเคืองใจกันขึ้นได้”“แต่แม่ก็ไม่ได้อยากให้เจ้าโอนอ่อนจนตัวเองต้องลำบาก ข้านับเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแสนล้ำค่า ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อโมโหใส่เจ้า คนสองคนต้องเรียนรู้ที่จะจัดการชีวิตของตนเอง ไม่ใช้เพียงคนคนหนึ่งรักอีกคนเพียงฝ่ายเดียว จะต้องมีความรู้สึกร่วมกันด้วย อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าคนที่ทุ่มเทรู้สึกเหนื่อย และคนที่เป็นฝ่ายรับได้แต่นึกเสียใจ จนทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปไม่ได้นะลูก”ฮูหยินฉู่สอนอย่างอดทน เมื่อมองท่าทางครุ่นคิดของฉู่เนี่ยนซี นางก็เอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรกับแม่นางซุน?”“ตราบใดที่นางไม่ได้ทำอะไรเกินเลยข้าก็จะปล่อยนางไป หากครั้งนี้ท่านอ๋องหลีไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อไปเขาก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้เช่นกันเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซียังคิดอีกว่าเหลือเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็จะค
เย่เฟยหลีพยักหน้าพลางยืนขึ้นเพื่อจะกลับเสื้อสีดำตัวใหญ่พลิ้วไหวในอากาศคลุมแผ่นหลังอันกว้างของเขาสุดท้ายสี่เชว่ก็ทนต่อไปไม่ไหวจึงตะโกนด้วยเสียงคร่ำครวญ “ท่านอ๋อง”เย่เฟยหลีหันกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมยพร้อมมองนางด้วยท่าทางไว้ตัวสี่เชว่กลั้นใจพูดออกมาว่า “บางครั้งคุณหนูก็ไม่ยอมบอกหม่อมฉันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่หม่อมฉันก็พอเดาได้เพคะ”“แม้วันนั้นนางจะบอกท่านอ๋องว่าต่อไปจะไม่รบกวนท่านอ๋องอีก แต่นางก็คงปล่อยท่านไปไม่ได้ นางมักจะซ่อนตัวร้องไห้อยู่ในที่ที่ไร้ผู้คนอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่นางร้องไห้จนตาบวมนางก็จะบอกหม่อมฉันว่านางไม่เป็นอะไร หม่อมฉันกลัวว่าหากปลอบนางต่อไปก็จะทำให้คุณหนูต้องเสียใจอีก เมื่อคืนก็เป็นเพราะนางนั่งร้องไห้อยู่ที่ชิงช้าจนป่วยเพคะ” เย่เฟยหลีเหลือบมองชิงช้าพลางนึกถึงตอนที่เขายังเด็ก ไทเฮาทรงตอบรับคำขอของซุนจื่อซีตั้งชิงช้าแบบเดียวกันให้ แต่ซุนจื่อซีก็บังเอิญล้มลงมาขณะแกว่งชิงช้าอยู่ เลือดสด ๆ จากแขนและขาไหลลงพื้นไทเฮาทั้งกริ้วทั้งเสียพระทัยมากจนต้องรื้อชิงช้าออก ทำให้ซุนจื่อซีร้องไห้อยู่หลายครั้ง“ดูแลนางให้ดี” สายตาของเย่เฟยหลีที่คิดถึงวันวานไม่เย็นชาเหมือนก
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย