“อย่าคิดฟุ้งซ่านเลย ไม่เช่นนั้นกลางคืนเจ้าจะนอนไม่หลับ กลางวันจะไร้เรี่ยวแรง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้เจ้าอาการไม่ดีขึ้นเสียที”ฉู่เนี่ยนซีมองใบหน้าอมโรคของซุนจื่อซีพลางเตือนนางอย่างจริงใจ โดยหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเย่เฟยหลี“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ หม่อมฉันขออภัยจริง ๆ ที่ทำให้พระชายาต้องกังวลอยู่เสมอ”ซุนจื่อซีตัวสั่นขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีจึงคลุมนางด้วยผ้าห่มและหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อเพื่อรักษาโรคทั่วไปให้นางนางแบ่งมันออกเป็นสองส่วนแล้วป้อนให้ซุนจื่อซี เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วจากความขม นางก็รีบสั่งให้เสี่ยวเถานำถ้วยชามาให้นางล้างปากความร้อนในร่างกายของซุนจื่อซีค่อย ๆ ลดลง ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีก็คอยเฝ้าอยู่ในห้อง หลังจากที่นางหลับสนิท ฉู่เนี่ยนซีก็กระซิบกับสี่เชว่ “หากคุณหนูของเจ้าตื่นเมื่อไหร่ ก็ให้ส่งคนมาบอกข้าด้วย”“เพคะ”ขณะนั้นก็มีคนรับใช้มาแจ้งว่าฮูหยินฉู่มาหา ฉู่เนี่ยนซีจึงหันไปมองซุนจื่อซีที่กำลังนอนหลับสนิท เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับนางแล้วจึงจากไป“ท่านแม่” ฉู่เนี่ยนซีเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในห้องนอนทันทีที่ฮูหยินฉู่ลุกขึ้น นางก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่เนี่ยนซีจ
“ตอนที่เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องหลีโดยไม่ลังเลใจ แม่ก็กังวลว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว ต่อมาเมื่อเห็นว่าท่านอ๋องหลีต่อเจ้าดีเพียงใด ข้าก็ไม่วิตกเท่าไหร่แล้ว ซีเอ๋อร์ บางครั้งเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง เก็บไว้ในใจอยู่ตลอดเช่นนี้ ท่านอ๋องหลีไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก พอเวลาผ่านไปก็จะเกิดความขุ่นเคืองใจกันขึ้นได้”“แต่แม่ก็ไม่ได้อยากให้เจ้าโอนอ่อนจนตัวเองต้องลำบาก ข้านับเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแสนล้ำค่า ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อโมโหใส่เจ้า คนสองคนต้องเรียนรู้ที่จะจัดการชีวิตของตนเอง ไม่ใช้เพียงคนคนหนึ่งรักอีกคนเพียงฝ่ายเดียว จะต้องมีความรู้สึกร่วมกันด้วย อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าคนที่ทุ่มเทรู้สึกเหนื่อย และคนที่เป็นฝ่ายรับได้แต่นึกเสียใจ จนทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปไม่ได้นะลูก”ฮูหยินฉู่สอนอย่างอดทน เมื่อมองท่าทางครุ่นคิดของฉู่เนี่ยนซี นางก็เอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรกับแม่นางซุน?”“ตราบใดที่นางไม่ได้ทำอะไรเกินเลยข้าก็จะปล่อยนางไป หากครั้งนี้ท่านอ๋องหลีไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อไปเขาก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้เช่นกันเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซียังคิดอีกว่าเหลือเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็จะค
เย่เฟยหลีพยักหน้าพลางยืนขึ้นเพื่อจะกลับเสื้อสีดำตัวใหญ่พลิ้วไหวในอากาศคลุมแผ่นหลังอันกว้างของเขาสุดท้ายสี่เชว่ก็ทนต่อไปไม่ไหวจึงตะโกนด้วยเสียงคร่ำครวญ “ท่านอ๋อง”เย่เฟยหลีหันกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมยพร้อมมองนางด้วยท่าทางไว้ตัวสี่เชว่กลั้นใจพูดออกมาว่า “บางครั้งคุณหนูก็ไม่ยอมบอกหม่อมฉันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่หม่อมฉันก็พอเดาได้เพคะ”“แม้วันนั้นนางจะบอกท่านอ๋องว่าต่อไปจะไม่รบกวนท่านอ๋องอีก แต่นางก็คงปล่อยท่านไปไม่ได้ นางมักจะซ่อนตัวร้องไห้อยู่ในที่ที่ไร้ผู้คนอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่นางร้องไห้จนตาบวมนางก็จะบอกหม่อมฉันว่านางไม่เป็นอะไร หม่อมฉันกลัวว่าหากปลอบนางต่อไปก็จะทำให้คุณหนูต้องเสียใจอีก เมื่อคืนก็เป็นเพราะนางนั่งร้องไห้อยู่ที่ชิงช้าจนป่วยเพคะ” เย่เฟยหลีเหลือบมองชิงช้าพลางนึกถึงตอนที่เขายังเด็ก ไทเฮาทรงตอบรับคำขอของซุนจื่อซีตั้งชิงช้าแบบเดียวกันให้ แต่ซุนจื่อซีก็บังเอิญล้มลงมาขณะแกว่งชิงช้าอยู่ เลือดสด ๆ จากแขนและขาไหลลงพื้นไทเฮาทั้งกริ้วทั้งเสียพระทัยมากจนต้องรื้อชิงช้าออก ทำให้ซุนจื่อซีร้องไห้อยู่หลายครั้ง“ดูแลนางให้ดี” สายตาของเย่เฟยหลีที่คิดถึงวันวานไม่เย็นชาเหมือนก
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ เย่เฟยหลีหยิบมันมาจะเช็ดมือให้ฉู่เนี่ยนซี แต่นางก็คว้ามันไปเช็ดเอง หลังจากคืนผ้าเช็ดตัวให้สาวใช้ นางก็ตรงไปยังห้องนอนโดยไม่ตอบอะไรอีกเหลียงหยวนถามเสี่ยวเถาด้วยความสับสน “พระชายาเป็นอะไรไป?”“บ่าวก็ไม่รู้เพคะ”เสี่ยวเถาไม่ได้มีท่าทีโกรธ นางโค้งคำนับเย่เฟยหลีและพาคนอื่น ๆ ออกไปเย่เฟยหลีถูกทิ้งให้มองต้นกล้าหลายต้นที่ฉู่เนี่ยนซีปักไว้ หรือเป็นเพราะปักต้นกล้าไว้ไม่ดี แต่ก็ปักไว้ดีอยู่นี่เหลียงหยวนเดินไปหาเย่เฟยหลีพลางเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านอ๋อง ดูเหมือนพระชายาจะอารมณ์ไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีจ้องมองเขา นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจรึ? ไม่ต้องพูดก็ได้ระหว่างทานอาหารเย็น เย่เฟยหลีกำลังจะถามฉู่เนี่ยนซีว่าเหตุใดถึงอารมณ์ไม่ดี แต่ฉู่เนี่ยนซีเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “ตระกูลเหยียนจะจัดงานแต่งงานในอีกสองวัน หากท่านยุ่งกับราชการทหาร ท่านก็ไม่ต้องไปกับข้า ส่วนของขวัญข้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”“ให้ไปงานเลี้ยงที่นั่นคงจะไม่ได้ แต่ข้าไปส่งเจ้าได้ ยังพอมีเวลาเดินทาง ช่วงนี้ในค่ายทหารมีงานมาก อีกทั้งยังต้องเริ่มเตรียมการรับทหารใหม่ ข้าไปไม่ได้จริง ๆ” ฉู่เ
“แค่พระชายาหลีมาด้วยตนเองเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติแก่ตระกูลเหยียนมากแล้วเพคะ”ฮูหยินเหยียนยิ้มและวางชุดดั้งเดิมไว้บนเตียง พลางมองกล่องไม้ใบสวยที่วางอยู่ตรงหัวเตียง เห็นว่าลวดลายเหมือนไม่ใช่ของที่ตนเตรียมไว้จึงหยิบมาเปิดดู พบว่าในนั้นมีชุดถ้วยชาคู่หนึ่ง“ท่านแม่ นั่นเป็นของขวัญแสดงความยินดีจากพระชายาหลีเจ้าค่ะ”เหยียนจือซินเห็นการกระทำของฮูหยินเหยียนในกระจก จึงเอียงศีรษะมาอธิบายให้นางฟัง“นั่นคือชุดถ้วยชาไม้จันทน์นอระมาดแดง หวังว่าจือซินกับสามีจะรักใคร่กลมเกลียว เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน”ฉู่เนี่ยนซีพูดเนิบ ๆ นางคิดอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ได้ของขวัญที่ต้องการเมื่อได้ยินคำว่านอระมาด* ฮูหยินเหยียนมองฉู่เนี่ยนซีอย่างปลื้มปีติ “ของล้ำค่าเช่นนี้หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้จริง ๆ ทว่าหม่อมฉันขอรับไว้แต่น้ำใจดีกว่า พระชายาหลีโปรดนำชุดถ้วยชานี้กลับไปเถิดเพคะ”“เหตุใดต้องนำของขวัญกลับไปด้วยเล่า วันนี้เป็นวันแต่งงานของจือซิน ย่อมสำคัญกว่าของขวัญชิ้นนี้อยู่แล้ว ฮูหยินเหยียนอย่าได้ปฏิเสธเลย รับเอาไว้เถิด” “เช่นนั้นเพื่อไม่ให้ของล้ำค่านี้ต้องสูญเปล่า หม่อมฉันขอขอบพระทัยพระชายาเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีใส
ลำดับถัดมาเป็นการมอบคำอวยพรของบิดามารดา ฉู่เนี่ยนซีประคองเหยียนจือซินไปที่ห้องโถงหลักเพื่อพบกับเจ้าบ่าวมองแวบแรก รูปร่างหน้าตาเขาดูคุ้นเคยราวกับเคยเห็นมาก่อนฉู่เนี่ยนซีไม่ได้อยู่ต่อ นางออกจากห้องโถงหลักและเดินไปตามทางเดิน ขณะนั้นเสี่ยวเถาก็วิ่งหอบหายใจตามมาพร้อมดึงฉู่เนี่ยนซีมาที่บริเวณหนึ่งแล้วพูดด้วยสีหน้าลึกลับ “พระชายา ท่านรู้หรือไม่เพคะว่าเจ้าบ่าวของตระกูลเหยียนมาจากตระกูลใด?”“ข้าไม่เคยถาม” ฉู่เนี่ยนซีมองเสี่ยวเถาวิ่งมาและมีเหงื่อไหลลงมาที่ปลายจมูก “เหตุใดเจ้าถึงรีบวิ่งออกมาเช่นนี้? เหงื่อออกตั้งมากมายทั้งยังฝ่าลมหนาวมาอีก”แต่เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเถาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ นางมีท่าทีตกใจและพูดว่า “เขาเป็นบุตรชายของเถ้าแก่จ้าวเฉิงไฉจากหอหุยชุนเพคะ”“เป็นเขาหรือนี่?” ฉู่เนี่ยนซีก็ตกใจเช่นกัน คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจอหงวนคนใหม่นี้จะเป็นบุตรชายของคนรู้จักจอหงวนคนใหม่คือบุตรชายของจ้าวเฉิงไฉที่ทางหอหุยชุนกำลังตามหา ตอนนั้นฉู่เนี่ยนซีก็เคยพูดถึงเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดถึงอีก ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกหิว อีกทั้งฉู่เนี่ยนซีก็ไม่อยากสุงสิงกับคนที่จ้องจะเข้ามาหาผล
“พระชายา ทางนี้ยังอีกไกลกว่าจะถึงจวน ให้เสี่ยวเถาไปเรียกรถม้ามาดีไหมเพคะ”หลังจากเดินออกจากจวนตระกูลเหยียน ขบวนเจ้าสาวก็หายลับไปแล้ว และถนนด้านนอกก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบเสี่ยวเถามองไปยังพ่อค้าแม่ค้าบนถนนที่กำลังปิดแผงขายของ พลางคิดว่าไม่อยากให้พระชายาหลีต้องทนหิว“ยังไม่กลับจวนอ๋องหรอก ข้าจะพาเจ้าไปที่หอจุ้ยเยว่” ฉู่เนี่ยนซียิ้มเบา ๆ ให้เสี่ยวเถาพลางลากนางไปยังหอจุ้ยเยว่ฉู่เนี่ยนซีและเสี่ยวเถาเดินมาถึงสถานที่อันห่างไกล พนักงานถือผ้าพาดแขนเดินมาถามด้วยรอยยิ้มกว้าง “ท่านทั้งสองรับอะไรดีขอรับ? ช่วงนี้ทางเราได้เชิญพ่อครัวฝีมือดีมาทำขนมฝูหรงกรอบ ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองอยากลองชิมหรือไม่?”“ได้” หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าเล็กน้อย นางก็สั่งอาหารห่อกลับเพิ่มอีกสองชุดหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เสี่ยวเถาก็ถือขนมฝูหรงกรอบพร้อมกับเรียกรถม้าจากหอจุ้ยเยว่เพื่อกลับไปจวนอ๋องหลีกับฉู่เนี่ยนซีซุนจื่อซีที่กำลังเอนกายท่องจำหนังสือการแพทย์อยู่บนตั่งอย่างตั้งใจก็ได้ยินสี่เชว่ที่อยู่นอกประตูส่งเสียงเชื้อเชิญอย่างรีบร้อนยังไม่ทันที่ซุนจื่อซีจะทำความเคารพ ฉู่เนี่ยนซีก็ห้ามนางไว้ นางดึงซุนจื่
ฉู่เนี่ยนซีนึกถึงขนมฝูหรงกรอบที่นางนำไปให้ ตอนนั้นซุนจื่อซีกัดเพียงคำเล็ก ตนคิดว่าคงไม่ถูกปากนางหรือนางคงชินจากกฎระเบียบในวัง แต่ตอนนี้พอมาคิด ๆ ดู…“เสี่ยวเถา หาโอกาสไปสอบถามดูว่าสิ่งที่สาวใช้พวกนั้นพูด เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ”เสี่ยวเถามองใบหน้าด้านข้างอันงดงามของฉู่เนี่ยนซีแล้วตอบรับ จากนั้นก็กลับไปพร้อมฉู่เนี่ยนซีก่อนอีกด้านหนึ่ง สี่เชว่มองขนมที่ฉู่เนี่ยนซีส่งมาให้พลางพูดอย่างเหยียดหยาม “มีของอะไรก็ส่งมาให้คณหนูเสียหมด ตอนอยู่ในวังของดี ๆ ที่ไหนบ้างที่คุณหนูไม่เคยได้ทาน นี่นางเอาขนมฝูหรงกรอบจากที่ไหนมาให้ก็ไม่รู้”“เจ้าเอาไปเถอะ” สายตาของซุนจื่อซียังคงจับจ้องไปที่เนื้อหาในหนังสือโดยไม่ละสายตา“เจ้าค่ะ”ตกเย็น เย่เฟยหลีดีใจมากเมื่อเห็นขนมฝูหรงกรอบที่ฉู่เนี่ยนซีนำกลับมา แม้ปกติเขาจะไม่ชอบขนมหวานแต่ก็กินไปหลายชิ้นเสี่ยวเถายกเชิงเทียนไปวางไว้ตรงหน้าฉู่เนี่ยนซีเพื่อไม่ให้นางเสียสายตาขณะที่กำลังตรวจสมุดบัญชีเงาจากแสงเทียนสั่นไหวไปมาบนโต๊ะ ในที่สุดก็นิ่งลง เหลือเพียงควันสีเทาเพียงเล็กน้อย“พระชายาเพคะ หม่อมฉันไปสอบถามมาแล้วได้ความว่าคุณหนูจื่อซีไม่ทานขนมฝูหรงกรอบที่วันนี้เราไปส