หลังจากเข้าไปในโรงพนันอันมืดมิดแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็ให้ซุนจื่อซีอยู่ข้าง ๆ นางไว้เมื่ออวี๋เป่ยเห็นฉู่เนี่ยนซีกำลังมา เขาก็นึกถึงคำสั่งที่เย่เฟยหลีสั่งไว้ด้วยตัวเอง จึงส่งคนคุ้มกันสองสามคนคอยติดตามอยู่รอบ ๆ ฉู่เนี่ยนซี เพื่อที่ฉู่เนี่ยนซีจะได้เที่ยวสนุกไปพร้อม ๆ กับการได้รับความปลอดภัยมีมุมหนึ่งที่เสียงดังเป็นพิเศษ ซึ่งฟังดูไม่เหมือนเสียงตะโกนจากการเล่นพนันตามปกติ ฉู่เนี่ยนซีจึงหันไปมองดูชายอ้วนสวมหน้ากากทองแดงยืนอยู่บนที่สูงกำลังตะโกนโหวกเหวกใส่ชายที่ทำหน้าที่เขย่าลูกเต๋าของโรงพนันหุยหุนหลังจากได้ฟังคร่าว ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็พาซุนจื่อซีเดินเข้าไปและพูดว่า “ในเมื่อท่านผู้นี้คิดว่าเจ้าโกง เล่นพรรคเล่นพวก เช่นนั้นข้าจะเป็นคนทำหน้าที่เขย่าถ้วยเอง จะได้รู้ว่าปัญหาเกิดจากใครกันแน่”เมื่อทุกคนเห็นชายาหลีปรากฏตัว สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป บางคนก็ชื่นชมนาง บางคนก็มองด้วยความตื่นเต้น และบางคนก็หมางเมินทุกคนรวมตัวกันรอบ ๆ ฉู่เนี่ยนซีเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป“พระชายาหลี ทุกคนที่นี่ล้วนเคารพฐานะของท่าน อีกทั้งพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อเล่นสนุก แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่นี่ดูเหมือนจะลำเอียงเข้าข้างพ
ซุนจื่อซีมาหาฉู่เนี่ยนซีพลางจับมือของนางและเอ่ยชม “พระชายาเล่นพนันเก่งมาก หากมีเวลาช่วยสอนหม่อมฉันทีนะเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีสั่งคนให้นำหีบไม้และลูกเต๋าสองสามลูกมามอบให้ซุนจื่อซีเพื่อไว้เล่นแก้เบื่อซุนจื่อซีถูกใจมาก หลังจากเที่ยวเล่นที่โรงพนันหุยหุนมาทั้งวัน นางก็ยังคงถือมันไว้และเขย่ามันตลอดทางกลับจวนอ๋องฉู่เนี่ยนซีพิงผนังรถม้าพลางสอนซีวิธีเขย่าหีบไม้ให้ซุนจื่อซี ในใจก็ครุ่นคิดถึงสาเหตุที่นางไม่ทานอาหาร ซุนจื่อซีรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจากการเที่ยวเล่น ดังนั้นฉู่เนี่ยนซีจึงสั่งให้คนขับเร่งความเร็วเพื่อที่นางจะได้กลับไปพักผ่อนที่จวนเร็ว ๆในขณะที่แผ่นหลังแนบกับผนังรถม้า ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงยื่นมือลากซุนจื่อซีพุ่งไปที่ประตูรถซุนจื่อซีมองฉู่เนี่ยนซีที่ลุกขึ้นมาครึ่งตัวโดยไม่รู้เหตุผล นางจึงนั่งอยู่ตรงมุมห้องโดยสารแล้วถามว่า “พระชายาจะทำอะไรเพคะ?”ก่อนที่ฉู่เนี่ยนซีจะได้อธิบาย จู่ ๆ รถม้าทั้งคันก็เอียงไปทางขวา ทำเอาพ่อค้าหาบเร่ที่อยู่ข้าง ๆ ตะลึงงัน ล้อหนึ่งหลุดออกจากเพลาและกลิ้งไปจนมาหยุดลงที่เท้าของบรรดาพ่อค้าแม่ขายข้างทางแม้อวี๋หนานจะตอบสนองอย่างรวดเร็วพอ แต่เ
หลังทำการตรวจ โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บที่กระดูก ดังนั้นการรักษาและการฟื้นตัวจะง่ายกว่ากันมากฉู่เนี่ยนซีวางเข็มเงินที่มีความยาวต่างกัน สอดเข้าไปในจุดฝังเข็มของซุนจื่อซี พลางรู้สึกถึงกระแสความอุ่นที่พุ่งขึ้นมาจากเอวของนาง ตอนนี้ความเจ็บปวดได้บรรเทาเบาบางลงไปมากแล้วเย่เฟยหลีนั่งตัวตรงอยู่ในห้องโถงหลัก ฟังเสี่ยวเถาและสี่เชว่อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของลึกล้ำดุจสระน้ำเต็มไปด้วยความน่ากลัว ด้านอวี๋หนาน หลังจากตรวจสอบรถม้าแล้ว เขาก็เข้ามารายงาน“รถม้าถูกงัดแงะจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ตลับลูกปืนถูกคลายโดยเจตนา ตัวรถม้าเองก็ด้วย ดังนั้นมันจึงพังเป็นเสี่ยง ๆ ได้ง่ายดาย ทว่าแม้ที่โรงพนันหุยหุนจะมีหูมีตามากมาย แต่สอบถามอยู่นานก็ไม่ได้ความว่าเป็นฝีมือของใครพ่ะย่ะค่ะ”ความโกรธในใจของเย่เฟยหลีค่อย ๆ เพิ่มขึ้น คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้พยายามใช้วิธีที่ยุ่งยากทุกวิถีทางในการลอบสังหารฉู่เนี่ยนซี แต่สุดท้ายตอนนี้ก็หาเบาะแสไม่พบในเวลาเพียงพริบตา ฉู่เนี่ยนซีก็ดึงเข็มเงินทั้งหมดที่อยู่รอบเอวของซุนจื่อซีออกมา และจัดระเบียบเสื้อผ้าให้นางก่อนมาที่ห้องโถงหลัก“โชคดีที่นางไม่ได้รับบาดเจ็บไปถึงกระดูก ตอนน
“เจ้าจะยอมส่งนางกลับวังหรือ?”เหมือนไทเฮาจะหยอกล้อเย่เฟยหลีราวกับทรงรู้ทุกอย่าง“เหตุใดหลานถึงจะไม่ยอมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”ไทเฮาตบไหล่เย่เฟยหลี “มีอะไรที่เจ้าไม่กล้าพูดต่อหน้าข้าหรือ ในเมื่อตอนนี้มีใจเสน่หาต่อกันแล้วก็ควรจะรีบจัดงานอภิเษกโดยไว ไยจึงเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่ง? ข้ารู้มาว่าเจ้าเป็นคนอุ้มซีเอ๋อร์กลับเรือนของนาง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังจะปิดบังข้าอยู่อีกหรือ?”คาดไม่ถึงว่าไทเฮาจะทรงเข้าใจผิดเช่นนี้ ทำเอาความสุขุมในแววตาของเย่เฟยหลีสั่นไหว“เสด็จย่าได้ยินข่าวลือนี้มาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ แม้นั่นจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่เสด็จย่าทรงคิดอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮาทอดพระเนตรมองเย่เฟยหลีแปลก ๆ คิ้วของพระนางขมวดด้วยความสับสน “แล้วเรื่องเป็นอย่างไร?”เย่เฟยหลีอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ไทเฮาทรงทราบ และสุดท้ายได้ย้ำว่าฉู่เนี่ยนซีอยู่เฝ้านางตลอดทั้งคืนเพื่อให้แน่ใจว่าซุนจื่อซีจะไม่ป่วยเป็นอะไรไป“นั่นเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วที่นางจะต้องคอยเฝ้า ซีเอ๋อร์ของข้าต้องเจ็บตัวแทนนาง แล้วนางยังจะนอนหลับลงหรือ? กลับไปบอกฉู่เนี่ยนซีด้วยว่าหากซีเอ๋อร์ของข้าเป็นอะไรไป นางจะต้องดูแลรักษาซีเอ๋อร์
สี่เชว่พาเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามา นางกำนัลผู้นั้นคุกเข่าลงและพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “เป็นไทเฮาเพคะ ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันคอยรายงานสถานการณ์ทุกอย่าง เมื่อคืนหม่อมฉันเห็นท่านอ๋องหลี... คิดว่าหากหม่อมฉันรีบไปรายงานก็คงจะได้รางวัล หม่อมฉันจึงรีบร้อนออกไปโดยไม่รู้ว่าคุณหนูได้รับบาดเจ็บเพคะ”“คราวนี้ท่านอ๋องเข้าใจหรือยังเพคะ?”น้ำเสียงของซุนจื่อซีมีความเย็นชา พลางทอดสายตาไปบนพรมที่ถักทอเป็นลายดอกไม้ แต่ฝ่ามือของนางกลับมีเหงื่อออกเล็กน้อยดวงตาของเย่เฟยหลีเป็นประกาย เขาพูดกับซุนจื่อซีว่า “ข้าแค่สงสัยเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องขอโทษเจ้าด้วย อย่าได้โกรธเคืองข้าเลย”แม้ฉู่เนี่ยนซีจะนอนอยู่บนเตียง แต่กลับไม่รู้สึกง่วง เมื่อได้ยินเสี่ยวเถามารายงานว่าเย่เฟยหลีกลับมาจากการเยี่ยมซุนจื่อซีแล้ว ใจของนางที่ตอนนี้เปรียบดั่งทะเลสาบที่ปั่นป่วน รู้สึกราวกับมีสายลมพัดมาทำให้ระลอกคลื่นขยายวงกว้างขึ้นกว่าเดิมอีกหนึ่งวันก็จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว พ่อค้าแม่ค้าตามท้องถนนต่างพากันเก็บแผงขายของ กลับบ้านแต่หัววันอาการบาดเจ็บที่เอวของซุนจื่อซีหายดีแล้ว พอรุ่งเช้านางก็เข้าไปในพระราชวังเพื่อเตรียมก
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่