ดวงตาของเย่เหลียนเผยให้เห็นความโกรธผสมกับความเกลียดชัง เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้เขาเดินไปหาเจี่ยงจาวอวิ๋นพร้อมมองหน้านาง “เรื่องฉู่เนี่ยนซีเป็นฝีมือของเจ้าใช่ไหม?”เจี่ยงจาวอวิ๋นยิ้มเยาะ “ใช่หรือไม่ใช่ข้าแล้วอย่างไร เย่เหลียน ท่านไม่คิดว่าตัวเองจุ้นจ้านไปหน่อยรึ? นั่นพระชายาจวนอ๋องหลีเชียวนะ นางเป็นชายาของเย่เฟยหลี ต้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยด้วยหรือ?”เย่เหลียนยืนยันคำตอบได้จากนสายตาของนาง เขาเอื้อมมือไปบีบคางแหลมของเจี่ยงจาวอวิ๋น บังคับให้นางจ้องเข้ามาในดวงตาอันดุร้ายของตน พลางถลึงตาพูดเสียงต่ำว่า “เจี่ยงจาวอวิ๋น ข้าให้เกียรติเจ้ามามากพอแล้ว หากยังลงมือทำร้ายนางอีก เจ้าจะได้รับบทเรียนจากข้าแน่นอน” เจี่ยงจาวอวิ๋นโกรธเย่เหลียนเป็นอย่างมาก นางยื่นมือออกไปฟาดหน้าเย่เหลียน ทว่าเขาคว้ามือนางไว้แน่น ทันใดนั้นน้ำตาแห่งความไม่พอใจก็ไหลอาบแก้มของนาง ทำเอาทนไม่ไหวจนต้องตวาดออกมา “เย่เหลียน ข้าเจี่ยงจาวอวิ๋นทำอะไรผิดต่อท่านนักหนา ท่านถึงทำร้ายข้าเช่นนี้ ข้าต่อต้านขัดขวางอ๋องหลีก็เพื่อท่าน แต่ลับหลังท่านกลับจ้องศัตรูของข้าตาเป็นมันอย่างนั้นรึ?!”“หากเจ้าไม่สร้างปัญหา เจ้าก
“แล้วท่านคิดอะไรอยู่?”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าให้แสงจันทร์จาง ๆ ตกกระทบบนใบหน้า ดวงตาของนางพร่าเลือน“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่ฉู่กุ้ยเฟยพูด น่าสนใจมากทีเดียว”เย่เฟยหลียิ้มเบา ๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องธรรมดา ๆ ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างแจ้ง ผมสีดำขลับที่ถูกรวบด้วยปิ่นปักผมร่วงหล่นลงมาคล้ายมีชั้นน้ำแข็งสีเงินบาง ๆ“ท่านแอบฟังบทสนทนาของข้ากับท่านป้าหรือ?”“บังเอิญได้ยินเท่านั้น” เย่เฟยหลีค่อย ๆ เดินไปหาฉู่เนี่ยนซี “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามาก ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รีบเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์”“อย่างที่บอกไป ข้าแค่กลัวเป็นม่ายเท่านั้น”“ตอนนั้นตาเจ้าแดงมาก”“ลมพัดเข้าตาน่ะ”เย่เฟยหลีไม่พูดอะไรอีกต่อไป รอยยิ้มในดวงตาของเขาชัดเจนมากขึ้นยามราตรี เสี่ยวเถาและเหลียงหยวนเฝ้าประตูอยู่ณ ห้องโถง มีเพียงเสียงระเบิดเบา ๆ จากเทียนไขดังขึ้นเป็นครั้งคราวฉู่เนี่ยนซีสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากด้านหลัง รู้สึกจิตใจสงบเป็นอย่างมากวันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะพลางดูสมุดบัญชีที่จวงจื่อส่งมาให้ ต้องบอกว่าตัวเลขของอ๋องหลีนั้นถูกต้องแล้วจริง ๆ เพราะนางคำนวณอยู่นานแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ ขณะที่กำล
“อย่าคิดฟุ้งซ่านเลย ไม่เช่นนั้นกลางคืนเจ้าจะนอนไม่หลับ กลางวันจะไร้เรี่ยวแรง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้เจ้าอาการไม่ดีขึ้นเสียที”ฉู่เนี่ยนซีมองใบหน้าอมโรคของซุนจื่อซีพลางเตือนนางอย่างจริงใจ โดยหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงเย่เฟยหลี“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ หม่อมฉันขออภัยจริง ๆ ที่ทำให้พระชายาต้องกังวลอยู่เสมอ”ซุนจื่อซีตัวสั่นขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีจึงคลุมนางด้วยผ้าห่มและหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อเพื่อรักษาโรคทั่วไปให้นางนางแบ่งมันออกเป็นสองส่วนแล้วป้อนให้ซุนจื่อซี เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วจากความขม นางก็รีบสั่งให้เสี่ยวเถานำถ้วยชามาให้นางล้างปากความร้อนในร่างกายของซุนจื่อซีค่อย ๆ ลดลง ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีก็คอยเฝ้าอยู่ในห้อง หลังจากที่นางหลับสนิท ฉู่เนี่ยนซีก็กระซิบกับสี่เชว่ “หากคุณหนูของเจ้าตื่นเมื่อไหร่ ก็ให้ส่งคนมาบอกข้าด้วย”“เพคะ”ขณะนั้นก็มีคนรับใช้มาแจ้งว่าฮูหยินฉู่มาหา ฉู่เนี่ยนซีจึงหันไปมองซุนจื่อซีที่กำลังนอนหลับสนิท เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับนางแล้วจึงจากไป“ท่านแม่” ฉู่เนี่ยนซีเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในห้องนอนทันทีที่ฮูหยินฉู่ลุกขึ้น นางก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของฉู่เนี่ยนซีจ
“ตอนที่เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องหลีโดยไม่ลังเลใจ แม่ก็กังวลว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว ต่อมาเมื่อเห็นว่าท่านอ๋องหลีต่อเจ้าดีเพียงใด ข้าก็ไม่วิตกเท่าไหร่แล้ว ซีเอ๋อร์ บางครั้งเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกออกมาบ้าง เก็บไว้ในใจอยู่ตลอดเช่นนี้ ท่านอ๋องหลีไม่เข้าใจทั้งหมดหรอก พอเวลาผ่านไปก็จะเกิดความขุ่นเคืองใจกันขึ้นได้”“แต่แม่ก็ไม่ได้อยากให้เจ้าโอนอ่อนจนตัวเองต้องลำบาก ข้านับเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแสนล้ำค่า ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อโมโหใส่เจ้า คนสองคนต้องเรียนรู้ที่จะจัดการชีวิตของตนเอง ไม่ใช้เพียงคนคนหนึ่งรักอีกคนเพียงฝ่ายเดียว จะต้องมีความรู้สึกร่วมกันด้วย อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าคนที่ทุ่มเทรู้สึกเหนื่อย และคนที่เป็นฝ่ายรับได้แต่นึกเสียใจ จนทุกสิ่งทุกอย่างย้อนกลับไปไม่ได้นะลูก”ฮูหยินฉู่สอนอย่างอดทน เมื่อมองท่าทางครุ่นคิดของฉู่เนี่ยนซี นางก็เอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรกับแม่นางซุน?”“ตราบใดที่นางไม่ได้ทำอะไรเกินเลยข้าก็จะปล่อยนางไป หากครั้งนี้ท่านอ๋องหลีไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อไปเขาก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้เช่นกันเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซียังคิดอีกว่าเหลือเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็จะค
เย่เฟยหลีพยักหน้าพลางยืนขึ้นเพื่อจะกลับเสื้อสีดำตัวใหญ่พลิ้วไหวในอากาศคลุมแผ่นหลังอันกว้างของเขาสุดท้ายสี่เชว่ก็ทนต่อไปไม่ไหวจึงตะโกนด้วยเสียงคร่ำครวญ “ท่านอ๋อง”เย่เฟยหลีหันกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมยพร้อมมองนางด้วยท่าทางไว้ตัวสี่เชว่กลั้นใจพูดออกมาว่า “บางครั้งคุณหนูก็ไม่ยอมบอกหม่อมฉันว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่หม่อมฉันก็พอเดาได้เพคะ”“แม้วันนั้นนางจะบอกท่านอ๋องว่าต่อไปจะไม่รบกวนท่านอ๋องอีก แต่นางก็คงปล่อยท่านไปไม่ได้ นางมักจะซ่อนตัวร้องไห้อยู่ในที่ที่ไร้ผู้คนอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่นางร้องไห้จนตาบวมนางก็จะบอกหม่อมฉันว่านางไม่เป็นอะไร หม่อมฉันกลัวว่าหากปลอบนางต่อไปก็จะทำให้คุณหนูต้องเสียใจอีก เมื่อคืนก็เป็นเพราะนางนั่งร้องไห้อยู่ที่ชิงช้าจนป่วยเพคะ” เย่เฟยหลีเหลือบมองชิงช้าพลางนึกถึงตอนที่เขายังเด็ก ไทเฮาทรงตอบรับคำขอของซุนจื่อซีตั้งชิงช้าแบบเดียวกันให้ แต่ซุนจื่อซีก็บังเอิญล้มลงมาขณะแกว่งชิงช้าอยู่ เลือดสด ๆ จากแขนและขาไหลลงพื้นไทเฮาทั้งกริ้วทั้งเสียพระทัยมากจนต้องรื้อชิงช้าออก ทำให้ซุนจื่อซีร้องไห้อยู่หลายครั้ง“ดูแลนางให้ดี” สายตาของเย่เฟยหลีที่คิดถึงวันวานไม่เย็นชาเหมือนก
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ เย่เฟยหลีหยิบมันมาจะเช็ดมือให้ฉู่เนี่ยนซี แต่นางก็คว้ามันไปเช็ดเอง หลังจากคืนผ้าเช็ดตัวให้สาวใช้ นางก็ตรงไปยังห้องนอนโดยไม่ตอบอะไรอีกเหลียงหยวนถามเสี่ยวเถาด้วยความสับสน “พระชายาเป็นอะไรไป?”“บ่าวก็ไม่รู้เพคะ”เสี่ยวเถาไม่ได้มีท่าทีโกรธ นางโค้งคำนับเย่เฟยหลีและพาคนอื่น ๆ ออกไปเย่เฟยหลีถูกทิ้งให้มองต้นกล้าหลายต้นที่ฉู่เนี่ยนซีปักไว้ หรือเป็นเพราะปักต้นกล้าไว้ไม่ดี แต่ก็ปักไว้ดีอยู่นี่เหลียงหยวนเดินไปหาเย่เฟยหลีพลางเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านอ๋อง ดูเหมือนพระชายาจะอารมณ์ไม่ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”เย่เฟยหลีจ้องมองเขา นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจรึ? ไม่ต้องพูดก็ได้ระหว่างทานอาหารเย็น เย่เฟยหลีกำลังจะถามฉู่เนี่ยนซีว่าเหตุใดถึงอารมณ์ไม่ดี แต่ฉู่เนี่ยนซีเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน “ตระกูลเหยียนจะจัดงานแต่งงานในอีกสองวัน หากท่านยุ่งกับราชการทหาร ท่านก็ไม่ต้องไปกับข้า ส่วนของขวัญข้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”“ให้ไปงานเลี้ยงที่นั่นคงจะไม่ได้ แต่ข้าไปส่งเจ้าได้ ยังพอมีเวลาเดินทาง ช่วงนี้ในค่ายทหารมีงานมาก อีกทั้งยังต้องเริ่มเตรียมการรับทหารใหม่ ข้าไปไม่ได้จริง ๆ” ฉู่เ
“แค่พระชายาหลีมาด้วยตนเองเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติแก่ตระกูลเหยียนมากแล้วเพคะ”ฮูหยินเหยียนยิ้มและวางชุดดั้งเดิมไว้บนเตียง พลางมองกล่องไม้ใบสวยที่วางอยู่ตรงหัวเตียง เห็นว่าลวดลายเหมือนไม่ใช่ของที่ตนเตรียมไว้จึงหยิบมาเปิดดู พบว่าในนั้นมีชุดถ้วยชาคู่หนึ่ง“ท่านแม่ นั่นเป็นของขวัญแสดงความยินดีจากพระชายาหลีเจ้าค่ะ”เหยียนจือซินเห็นการกระทำของฮูหยินเหยียนในกระจก จึงเอียงศีรษะมาอธิบายให้นางฟัง“นั่นคือชุดถ้วยชาไม้จันทน์นอระมาดแดง หวังว่าจือซินกับสามีจะรักใคร่กลมเกลียว เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน”ฉู่เนี่ยนซีพูดเนิบ ๆ นางคิดอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ได้ของขวัญที่ต้องการเมื่อได้ยินคำว่านอระมาด* ฮูหยินเหยียนมองฉู่เนี่ยนซีอย่างปลื้มปีติ “ของล้ำค่าเช่นนี้หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้จริง ๆ ทว่าหม่อมฉันขอรับไว้แต่น้ำใจดีกว่า พระชายาหลีโปรดนำชุดถ้วยชานี้กลับไปเถิดเพคะ”“เหตุใดต้องนำของขวัญกลับไปด้วยเล่า วันนี้เป็นวันแต่งงานของจือซิน ย่อมสำคัญกว่าของขวัญชิ้นนี้อยู่แล้ว ฮูหยินเหยียนอย่าได้ปฏิเสธเลย รับเอาไว้เถิด” “เช่นนั้นเพื่อไม่ให้ของล้ำค่านี้ต้องสูญเปล่า หม่อมฉันขอขอบพระทัยพระชายาเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีใส
ลำดับถัดมาเป็นการมอบคำอวยพรของบิดามารดา ฉู่เนี่ยนซีประคองเหยียนจือซินไปที่ห้องโถงหลักเพื่อพบกับเจ้าบ่าวมองแวบแรก รูปร่างหน้าตาเขาดูคุ้นเคยราวกับเคยเห็นมาก่อนฉู่เนี่ยนซีไม่ได้อยู่ต่อ นางออกจากห้องโถงหลักและเดินไปตามทางเดิน ขณะนั้นเสี่ยวเถาก็วิ่งหอบหายใจตามมาพร้อมดึงฉู่เนี่ยนซีมาที่บริเวณหนึ่งแล้วพูดด้วยสีหน้าลึกลับ “พระชายา ท่านรู้หรือไม่เพคะว่าเจ้าบ่าวของตระกูลเหยียนมาจากตระกูลใด?”“ข้าไม่เคยถาม” ฉู่เนี่ยนซีมองเสี่ยวเถาวิ่งมาและมีเหงื่อไหลลงมาที่ปลายจมูก “เหตุใดเจ้าถึงรีบวิ่งออกมาเช่นนี้? เหงื่อออกตั้งมากมายทั้งยังฝ่าลมหนาวมาอีก”แต่เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเถาไม่ได้สนใจเรื่องนี้ นางมีท่าทีตกใจและพูดว่า “เขาเป็นบุตรชายของเถ้าแก่จ้าวเฉิงไฉจากหอหุยชุนเพคะ”“เป็นเขาหรือนี่?” ฉู่เนี่ยนซีก็ตกใจเช่นกัน คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจอหงวนคนใหม่นี้จะเป็นบุตรชายของคนรู้จักจอหงวนคนใหม่คือบุตรชายของจ้าวเฉิงไฉที่ทางหอหุยชุนกำลังตามหา ตอนนั้นฉู่เนี่ยนซีก็เคยพูดถึงเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยพูดถึงอีก ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกหิว อีกทั้งฉู่เนี่ยนซีก็ไม่อยากสุงสิงกับคนที่จ้องจะเข้ามาหาผล