เย่ฉงเฉิงกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของเขาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นเย่เฟยหลีกำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล เขาก็กระโดดขึ้นและวิ่งไปหาเย่เฟยหลีทันที“พี่สาม ท่านมาสักที ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”“ถวายบังคมพี่สะใภ้สาม”ตอนนี้เย่ฉงเฉิงยอมรับฉู่เนี่ยนซีแล้ว และไม่ได้ทะเลาะกับนางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปซุนจื่อซีทำความเคารพเย่ฉงเฉิง “ถวายบังคมอ๋องเฉิงเพคะ”เย่ฉงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันพูดกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม ที่นั่งของสตรีอยู่ฝั่งนู้น ท่านกับคุณหนูจื่อซีไปที่นั่นก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่สามสักเดี๋ยว และตรงนั้นยังมีแม่ทัพสองสามนายที่อยากจะคุยกับเราด้วย”เย่เฟยหลีมองฉู่เนี่ยนซีและพูดเสียงขรึม “เจ้าไปก่อนเถิด หากเบื่อก็ไปเดินเล่นรอบ ๆ ได้ แต่อย่าไปไกลเกินไปล่ะ”จากนั้นเขาก็หันไปสั่งเสี่ยวเถา “ดูแลพระชายาให้ดี”“เพคะ”ฉู่เหนียนซีเดินไปอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เย่เฟยหลีและเย่ฉงเฉิงค่อย ๆ เดินไปที่โต๊ะฝั่งบุรุษเย่ฉงเฉิงถามด้วยความสับสน “พี่สาม ช่วงนี้ข้าอยู่ที่เมืองหลวงจึงไม่ค่อยทราบข่าวใหม่ เหตุใดซุนจื่อซีถึงได้มากับพวกท่านได้? ”“ถามพี่สะใภ้สามของเจ้าดูสิ”เย่เฟยหลีเองก็อยากจะรู้ เหต
เมื่อฝั่งสตรีเห็นฉู่เนี่ยนซีและซุนจื่อซีเดินเข้ามา ทุกคนยกเว้นเจี่ยงจาวอวิ๋นก็ยืนขึ้นและทำความเคารพใบหน้าของฉู่เนี่ยนซียังคงเย็นชา นางเพียงแค่พยักหน้าให้ทุกคนเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง“คุณหนูจื่อซี ได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านไม่สบาย ไม่ทราบว่าดีขึ้นแล้วหรือไม่เพคะ?” หญิงสาวในชุดสีเหลืองอ่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณหนูเฉา ตัวข้าอาศัยอยู่ในจวนของอ๋องหลีมาหลายวันแล้ว และได้รับการดูแลจากท่านอ๋องและพระชายาทุกวัน ตอนนี้ข้าอาการดีขึ้นมากแล้ว”ซุนจื่อซีเดินไปหาคุณหนูเฉาคนนั้น ตอนอยู่ข้างกายไทเฮาเคยเห็นหน้านางอยู่หลายครั้ง จึงไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า“แม้แต่คนที่เย็นชาและเคร่งขรึมอย่างอ๋องหลีก็ดูแลท่านเป็นอย่างดี ถือเป็นพรจริง ๆ”ดูเหมือนว่าคุณหนูเฉาจะลืมฉากการปฏิเสธของเย่เฟยหลีไปโดยสิ้นเชิง นางเพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม“อย่างไรทั้งคู่ของผูกพันธ์กันมาแต่อ้อนแต่ออก ถึงแม้จะมีใครมาคั่นกลาง แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดไปได้ตลอดชีวิต ทั้งสองคนถูกไทเฮาเลี้ยงดูมาข้างกาย ดังนั้นจึงเหมาะสมกันมากกว่า”เจี่ยงจาวอวิ๋นพูดขณะแตะเตาอุ่นมือในอ้อมแขนของตัวเองไปด้วย แม้ว่าดวงตาจะดู
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่รบกวนพระชายาแล้วเพคะ หม่อมฉันขอตัวก่อน”คุณหนูเจิ้งโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี แล้วจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เสี่ยวเถาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจ “คุณหนูผู้นี้ช่างเป็นคนร่าเริงและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก นางกล้าที่จะพูดออกมาโดยไม่เกรงกลัวชายาเหลียนเลย”ฉู่เนี่ยนซีกระตุกยิ้ม แล้วเดินไปข้างหน้าต่อกลางฤดูหนาวลมพัดเบาลงมากขณะที่ฉู่เนี่ยนซีและเสี่ยวเถากำลังเดินอยู่พวกนางก็รู้สึกร้อนบนหลัง จึงรู้ตัวว่าเดินมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นจึงเดินกลับมาตามเส้นทางเดิมเมื่อกลับไปที่กระโจมของฝั่งสตรี ฉู่เนี่ยนซีก็นั่งลงโดยไม่รบกวนผู้อื่น นางเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า เห็นเพียงฉู่กุ้ยเฟยที่กำลังมองมาที่นางด้วยรอยยิ้มฉู่เนี่ยนซีมองกลับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน จากหางตาเห็นว่ากระโจมฝั่งบุรุษไม่มีใครอยู่เลย จึงรู้ว่าการล่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้วพื้นที่ล่าสัตว์มีต้นสนแดงตามธรรมชาติตั้งตระหง่าน ต้นไม้สูงทนหนาวจำนวนมากถูกปลูกเป็นวง ทำให้ป่ามีความหนาแน่นมากขึ้น ในฤดูร้อน แม้แต่แสงแดดที่ร้อนแรงที่สุดก็สามารถทะลุผ่านเข้ามาได้เพียงสี่ถึงห้าส่วนเท่านั้นกีบม้ามากมายเหยียบย่ำกิ่งก้านที่หักและใ
เย่เฟยหลีตั้งสติและมองย้อนกลับไปก็เห็นหมูป่าล้มลงกับพื้นไปแล้วเขาเดินไปหยิบชายเสื้อคลุมของเขาออกมาเช็ดกริชแล้วโยนมันกลับลงไปบนพื้นขันทีหนุ่มที่เพิ่งมาถึงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากนี้ หากเย่เฟยหลีได้รับบาดเจ็บจากสัตว์ป่า ต่อพวกเขาจะมีสิบหัวก็คงไม่พอให้ตัด“นำกลับไป”เย่เฟยหลีกระโดดขึ้นหลังม้าและออกคำสั่งกับขันทีหนุ่มเหล่านั้น“โถ่ สวรรค์ ได้โปรดช้าลงหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ บ่าวรับผิดชอบไม่ไหวนะพ่ะค่ะ”ขันทีหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและกังวล“หากมีอะไรผิดพลาดก็โทษข้าได้เลย ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”เย่เฟยหลีพูดจบก็จากไป ขันทีหนุ่มโบกมือให้คนอื่น ๆ ก่อนที่จะตามเขาไปทุกคนกังวลเรื่องเย่เฟยหลี จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนตามมาอย่างเงียบ ๆ ที่ด้านนอกป่า เจี่ยงจาวอวิ๋นมองเห็นว่าลมเปลี่ยนทิศแล้ว แม้ว่านางจะเป็นชายาเหลียน และเป็นบุตรีของเจี๋ยงเกอเหล่า แต่ผู้คนก็ไม่ได้สนใจนางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับยกย่องฉู่เนี่ยนซีมากขึ้นเรื่อย ๆนางรู้สึกหดหู่ใจจึงออกไปเดินเล่น ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดูบึกบึนในชุดขันทีที่ดูไม่เหมือนขันทีคนหนึ่งเด
“พระชายาโปรดอย่าเก็บคำพูดของพระชายาเหลียนมาใส่ใจเลยเพคะ แน่นอนว่าหม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ ณ สถานการณ์ตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไร ล้วนทำให้พระชายาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่…จื่อซีขอรินสุราดื่มอวยพรให้พระชายาเพคะ หม่อมฉันหวังว่าท่านจะหายโกรธ”ซุนจื่อซีจ้องมองอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยดวงตาสุกสกาว สองมือของนางยกแก้วขึ้นพร้อมพูดจาน่าเอ็นดูบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่อยู่รอบข้างพากันมองมา ฉู่เนี่ยนซีเองก็ไม่ได้อยากจะตำหนิในสิ่งที่นางสื่อถึง แต่นางรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติกับการที่อีกฝ่ายอยากดื่มอวยพรให้ ทว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยังไม่รู้ว่าตรงส่วนใดที่ผิดปกติฉู่กุ้ยเฟยที่ผ่านมาที่นี่พอดี มองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ซีเอ๋อร์ของข้าช่างโชคดีนักที่มีสหายนิสัยดีเช่นแม่นางจื่อซี แต่ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้แม่นางจื่อซีสุขภาพไม่ค่อยดี หากดื่มชามากเกินไปเกรงว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับ ช่วยเปลี่ยนชาของแม่นางจื่อซีเป็นชาแปดอัญมณีให้ที”“ข้าเองไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ ขอบคุณท่านป้าที่ช่วยเตือนเจ้าค่ะ” เมื่อฉู่เนี่ยนซีมองไปทางฉู่กุ้ยเฟยก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตำหนิตนผ่านทางสายตา
“ไป!”ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีขี่ม้าออกไป ฉู่กุ้ยเฟยก็รีบส่งคนตามไป “เร็ว รีบตามไป!”เลือดบนผ้ายังคงมีความเหนียวเหนอะหนะสายลมที่พัดผ่านหูทำให้แก้มของนางเย็นเยือก นางไม่เคยเชื่อในพระเจ้าเลย เชื่อเพียงว่าผู้คนบนโลกนี้พยายามคิดหาวิธีหลุดพ้นจากทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตทว่า ณ ขณะนี้ นางกลับตั้งตารอการปรากฏตัวของเทพเจ้าอย่างสุดหัวใจ ได้ยินไปถึงเสียงร้องดังสนั่นในอกของนางว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเย่เฟยหลีกลุ่มคนที่ฉู่กุ้ยเฟยส่งมาตามรอยของฉู่เนี่ยนซีไม่ทัน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่กระจุกรวมกัน สุดท้ายพวกเขาก็พลัดหลงกับนางฉู่เนี่ยนซีทำการค้นหาแบบไม่มีข้อมูล แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่ก็ไม่สามารถห้ามเหงื่อบนหน้าผากผุดออกมาได้ ในที่สุดเมื่อนางเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่นองไปด้วยเลือด ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกราวกับตนได้พุ่งกระโจนลงไปในทะเลลึก น้ำทะเลนั้นไหลเข้าเต็มหูและจมูกไปหมด จนทำให้นางหายใจไม่ออกนางลงจากม้าและเดินไปยังสระเลือด กลิ่นคาวลอยเข้าจมูกลามเข้าไปยังปอด กลิ่นนั้นฉุนปานโลกถล่มดินทลาย นางมองร่องรอยของเลือดที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง พร้อมลากเท้าห่างมาสองก้าว ราวกับขาและเท้าของนา
เขาจับมือของฉู่เนี่ยนซีที่ยกขึ้นกำแน่นจนห้อเลือด พลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “นั่นเป็นของเหย่จื้อ ไม่ใช่ของข้า คงมีคนใช้เศษผ้าชิ้นนี้ล่อเจ้ามาที่นี่”ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่เชื่อ “ท่านไม่ได้บาดเจ็บจริง ๆ หรือ?”“ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก”เมื่อได้ยินคำตอบ สติสัมปชัญญะก็คืนกลับมาหาฉู่เนี่ยนซีราวกับน้ำท่วมที่กำลังไหลทะลัก นางมองศพที่อยู่รอบ ๆ ตัว หน้าอกของนางสั่นเทาแล้วถามว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”“ข้าเจอเข้ากับกลุ่มคนที่ตามเจ้ามาจึงสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เดาได้ว่านั่นคงเป็นกับดัก ข้าเลยรีบมา”เย่เฟยหลีมองเข้าไปในดวงตาของฉู่เนี่ยนซีและพูดอย่างปวดใจ “เหตุใดเจ้าถึงบุกเข้ามาคนเดียว ไม่พาคนมาด้วยเล่า?”“ข้า…”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาขึ้นลง นั่นสิ เหตุใดนางถึงตื่นตระหนกจนไม่รู้เลยว่านี่คือกับดัก?“ข้ากลัวว่าหากกลายเป็นม่ายขึ้นมาคงจะไม่มีใครแต่งงานด้วย”เย่เฟยหลีจ้องมองนางพลางประคองนางให้ยืนขึ้น จากนั้นก็พานางขึ้นหลังม้าและออกจากดินแดนแห่งความขัดแย้งแห่งนี้ไปเมื่อองค์จักรพรรดิทราบเรื่องนี้ก็ทรงกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีรู้ดีว่าคงไม่
เย่เฟยหลีจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วและกำลังจะไปหาฉู่เนี่ยนซี ซุนจื่อซีที่กำลังรออยู่นอกประตู เมื่อนางได้ยินเสียงเปิดประตู นางก็ก้าวไปข้างหน้าพลางกลั้นน้ำตาและตะโกนเรียกพี่สามเมื่อเห็นนางแสร้งทำเป็นสงบและเข้มแข็ง เย่เฟยหลีก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอะไรออกมา เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “กลับไปพักผ่อนเถิด อย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยอีก”“พี่สาม ข้ารู้ รู้ว่าท่านไม่ชอบข้า ไม่รู้ว่าท่านยังจะนับข้าเป็นน้องสาวได้อยู่หรือไม่ ข้าไม่ได้เรียกท่านว่าพี่สามมานานแล้ว และท่านเองก็คงดูออกว่าข้าไม่ได้มองท่านเป็นพี่ชายเลยแม้แต่น้อย”เย่เฟยหลีออกไปโดยไม่ได้เดินกลับมา เขาหันหลังให้ซุนจื่อซีแต่ไม่ได้พูดอะไรราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างในที่สุดเขาก็หันกลับไปมองดวงตาใสที่เหมือนมีความผิดหวังเสียใจกระจายอยู่ในนั้นแต่ไม่กล้าเปิดเผยออกมา เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดออกมาโดยปราศจากท่าทีแข็งกระด้าง “มีหลายสิ่งที่ไม่อาจบังคับหรือร้องขอได้ มีเพียงฉู่เนี่ยนซีเท่านั้นที่จะเป็นภรรยาของข้าตลอดไป…”“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาฟังท่านบอกว่ารักนางลึกซึ้งเพียงใด ข้าแค่อยากจะบอกว่าท่านได้ฝังรากลึกลงไปในใจของข้ามาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แ