“ไม่ใช่เลยเจ้าค่ะ ข้าแค่คิดว่าท่านควรไปส่งนางก็เท่านั้น”“เจ้าคิดว่าข้าควรไปส่งนาง ข้าก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างงั้นรึ? เช่นนั้นหากข้าคิดว่าเราไม่ควรนอนแยกเตียงกัน เจ้าก็จะไม่นอนแยกเตียงใช่หรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วและมองเขา “เหตุใดท่านถึงได้วกกลับมาเรื่องนี้อีกแล้วเล่า?”“เจ้ามองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถี่ถ้วน แล้วเหตุใดเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ?”เย่เฟยหลีดึงฉู่เนี่ยนซีเข้าไปในห้องโถงด้านในแล้วนั่งลงบนเตียง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจะถือว่านางเป็นสหายก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงมิตรภาพในอดีตระหว่างข้ากับนาง หากมีเรื่องอะไรที่ข้าควรช่วย ข้าก็จะช่วย แต่หากเจ้ายังผลักไสข้าใส่นางเช่นนี้ ระวังว่าข้าจะชอบนางแล้วแต่งนางเข้าจวน ให้นางเป็นชายาของจวนอ๋องหลีไปอีกคน”“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าต้องการภรรยาเพียงคนเดียว และจะไม่มีการรับสตรีอื่นเข้ามา หากข้าชอบซุนจื่อซีขึ้นมาจริง ๆ เช่นนั้นในชีวิตนี้ เราก็จะไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก”เย่เฟยหลีนอนอยู่บนเตียงและจงใจพูดอย่างจริงจัง โดยเหลือบมองสีหน้าของฉู่เนี่ยนซีผ่านทางหางตา“ท่าน! บุรุษนี่ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้ปากก็บอกว่ารัก อีกเดี๋ย
เย่ฉงเฉิงกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของเขาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นเย่เฟยหลีกำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล เขาก็กระโดดขึ้นและวิ่งไปหาเย่เฟยหลีทันที“พี่สาม ท่านมาสักที ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”“ถวายบังคมพี่สะใภ้สาม”ตอนนี้เย่ฉงเฉิงยอมรับฉู่เนี่ยนซีแล้ว และไม่ได้ทะเลาะกับนางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปซุนจื่อซีทำความเคารพเย่ฉงเฉิง “ถวายบังคมอ๋องเฉิงเพคะ”เย่ฉงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันพูดกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม ที่นั่งของสตรีอยู่ฝั่งนู้น ท่านกับคุณหนูจื่อซีไปที่นั่นก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่สามสักเดี๋ยว และตรงนั้นยังมีแม่ทัพสองสามนายที่อยากจะคุยกับเราด้วย”เย่เฟยหลีมองฉู่เนี่ยนซีและพูดเสียงขรึม “เจ้าไปก่อนเถิด หากเบื่อก็ไปเดินเล่นรอบ ๆ ได้ แต่อย่าไปไกลเกินไปล่ะ”จากนั้นเขาก็หันไปสั่งเสี่ยวเถา “ดูแลพระชายาให้ดี”“เพคะ”ฉู่เหนียนซีเดินไปอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เย่เฟยหลีและเย่ฉงเฉิงค่อย ๆ เดินไปที่โต๊ะฝั่งบุรุษเย่ฉงเฉิงถามด้วยความสับสน “พี่สาม ช่วงนี้ข้าอยู่ที่เมืองหลวงจึงไม่ค่อยทราบข่าวใหม่ เหตุใดซุนจื่อซีถึงได้มากับพวกท่านได้? ”“ถามพี่สะใภ้สามของเจ้าดูสิ”เย่เฟยหลีเองก็อยากจะรู้ เหต
เมื่อฝั่งสตรีเห็นฉู่เนี่ยนซีและซุนจื่อซีเดินเข้ามา ทุกคนยกเว้นเจี่ยงจาวอวิ๋นก็ยืนขึ้นและทำความเคารพใบหน้าของฉู่เนี่ยนซียังคงเย็นชา นางเพียงแค่พยักหน้าให้ทุกคนเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง“คุณหนูจื่อซี ได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านไม่สบาย ไม่ทราบว่าดีขึ้นแล้วหรือไม่เพคะ?” หญิงสาวในชุดสีเหลืองอ่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณหนูเฉา ตัวข้าอาศัยอยู่ในจวนของอ๋องหลีมาหลายวันแล้ว และได้รับการดูแลจากท่านอ๋องและพระชายาทุกวัน ตอนนี้ข้าอาการดีขึ้นมากแล้ว”ซุนจื่อซีเดินไปหาคุณหนูเฉาคนนั้น ตอนอยู่ข้างกายไทเฮาเคยเห็นหน้านางอยู่หลายครั้ง จึงไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า“แม้แต่คนที่เย็นชาและเคร่งขรึมอย่างอ๋องหลีก็ดูแลท่านเป็นอย่างดี ถือเป็นพรจริง ๆ”ดูเหมือนว่าคุณหนูเฉาจะลืมฉากการปฏิเสธของเย่เฟยหลีไปโดยสิ้นเชิง นางเพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม“อย่างไรทั้งคู่ของผูกพันธ์กันมาแต่อ้อนแต่ออก ถึงแม้จะมีใครมาคั่นกลาง แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดไปได้ตลอดชีวิต ทั้งสองคนถูกไทเฮาเลี้ยงดูมาข้างกาย ดังนั้นจึงเหมาะสมกันมากกว่า”เจี่ยงจาวอวิ๋นพูดขณะแตะเตาอุ่นมือในอ้อมแขนของตัวเองไปด้วย แม้ว่าดวงตาจะดู
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็ไม่รบกวนพระชายาแล้วเพคะ หม่อมฉันขอตัวก่อน”คุณหนูเจิ้งโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซี แล้วจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก เสี่ยวเถาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจ “คุณหนูผู้นี้ช่างเป็นคนร่าเริงและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก นางกล้าที่จะพูดออกมาโดยไม่เกรงกลัวชายาเหลียนเลย”ฉู่เนี่ยนซีกระตุกยิ้ม แล้วเดินไปข้างหน้าต่อกลางฤดูหนาวลมพัดเบาลงมากขณะที่ฉู่เนี่ยนซีและเสี่ยวเถากำลังเดินอยู่พวกนางก็รู้สึกร้อนบนหลัง จึงรู้ตัวว่าเดินมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นจึงเดินกลับมาตามเส้นทางเดิมเมื่อกลับไปที่กระโจมของฝั่งสตรี ฉู่เนี่ยนซีก็นั่งลงโดยไม่รบกวนผู้อื่น นางเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า เห็นเพียงฉู่กุ้ยเฟยที่กำลังมองมาที่นางด้วยรอยยิ้มฉู่เนี่ยนซีมองกลับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน จากหางตาเห็นว่ากระโจมฝั่งบุรุษไม่มีใครอยู่เลย จึงรู้ว่าการล่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้วพื้นที่ล่าสัตว์มีต้นสนแดงตามธรรมชาติตั้งตระหง่าน ต้นไม้สูงทนหนาวจำนวนมากถูกปลูกเป็นวง ทำให้ป่ามีความหนาแน่นมากขึ้น ในฤดูร้อน แม้แต่แสงแดดที่ร้อนแรงที่สุดก็สามารถทะลุผ่านเข้ามาได้เพียงสี่ถึงห้าส่วนเท่านั้นกีบม้ามากมายเหยียบย่ำกิ่งก้านที่หักและใ
เย่เฟยหลีตั้งสติและมองย้อนกลับไปก็เห็นหมูป่าล้มลงกับพื้นไปแล้วเขาเดินไปหยิบชายเสื้อคลุมของเขาออกมาเช็ดกริชแล้วโยนมันกลับลงไปบนพื้นขันทีหนุ่มที่เพิ่งมาถึงตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากนี้ หากเย่เฟยหลีได้รับบาดเจ็บจากสัตว์ป่า ต่อพวกเขาจะมีสิบหัวก็คงไม่พอให้ตัด“นำกลับไป”เย่เฟยหลีกระโดดขึ้นหลังม้าและออกคำสั่งกับขันทีหนุ่มเหล่านั้น“โถ่ สวรรค์ ได้โปรดช้าลงหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ บ่าวรับผิดชอบไม่ไหวนะพ่ะค่ะ”ขันทีหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและกังวล“หากมีอะไรผิดพลาดก็โทษข้าได้เลย ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”เย่เฟยหลีพูดจบก็จากไป ขันทีหนุ่มโบกมือให้คนอื่น ๆ ก่อนที่จะตามเขาไปทุกคนกังวลเรื่องเย่เฟยหลี จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครบางคนตามมาอย่างเงียบ ๆ ที่ด้านนอกป่า เจี่ยงจาวอวิ๋นมองเห็นว่าลมเปลี่ยนทิศแล้ว แม้ว่านางจะเป็นชายาเหลียน และเป็นบุตรีของเจี๋ยงเกอเหล่า แต่ผู้คนก็ไม่ได้สนใจนางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับยกย่องฉู่เนี่ยนซีมากขึ้นเรื่อย ๆนางรู้สึกหดหู่ใจจึงออกไปเดินเล่น ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดูบึกบึนในชุดขันทีที่ดูไม่เหมือนขันทีคนหนึ่งเด
“พระชายาโปรดอย่าเก็บคำพูดของพระชายาเหลียนมาใส่ใจเลยเพคะ แน่นอนว่าหม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ ณ สถานการณ์ตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไร ล้วนทำให้พระชายาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่…จื่อซีขอรินสุราดื่มอวยพรให้พระชายาเพคะ หม่อมฉันหวังว่าท่านจะหายโกรธ”ซุนจื่อซีจ้องมองอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยดวงตาสุกสกาว สองมือของนางยกแก้วขึ้นพร้อมพูดจาน่าเอ็นดูบรรดาฮูหยินและคุณหนูที่อยู่รอบข้างพากันมองมา ฉู่เนี่ยนซีเองก็ไม่ได้อยากจะตำหนิในสิ่งที่นางสื่อถึง แต่นางรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติกับการที่อีกฝ่ายอยากดื่มอวยพรให้ ทว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยังไม่รู้ว่าตรงส่วนใดที่ผิดปกติฉู่กุ้ยเฟยที่ผ่านมาที่นี่พอดี มองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “ซีเอ๋อร์ของข้าช่างโชคดีนักที่มีสหายนิสัยดีเช่นแม่นางจื่อซี แต่ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้แม่นางจื่อซีสุขภาพไม่ค่อยดี หากดื่มชามากเกินไปเกรงว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับ ช่วยเปลี่ยนชาของแม่นางจื่อซีเป็นชาแปดอัญมณีให้ที”“ข้าเองไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ ขอบคุณท่านป้าที่ช่วยเตือนเจ้าค่ะ” เมื่อฉู่เนี่ยนซีมองไปทางฉู่กุ้ยเฟยก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังตำหนิตนผ่านทางสายตา
“ไป!”ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีขี่ม้าออกไป ฉู่กุ้ยเฟยก็รีบส่งคนตามไป “เร็ว รีบตามไป!”เลือดบนผ้ายังคงมีความเหนียวเหนอะหนะสายลมที่พัดผ่านหูทำให้แก้มของนางเย็นเยือก นางไม่เคยเชื่อในพระเจ้าเลย เชื่อเพียงว่าผู้คนบนโลกนี้พยายามคิดหาวิธีหลุดพ้นจากทุกอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตทว่า ณ ขณะนี้ นางกลับตั้งตารอการปรากฏตัวของเทพเจ้าอย่างสุดหัวใจ ได้ยินไปถึงเสียงร้องดังสนั่นในอกของนางว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเย่เฟยหลีกลุ่มคนที่ฉู่กุ้ยเฟยส่งมาตามรอยของฉู่เนี่ยนซีไม่ทัน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่กระจุกรวมกัน สุดท้ายพวกเขาก็พลัดหลงกับนางฉู่เนี่ยนซีทำการค้นหาแบบไม่มีข้อมูล แม้จะเป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่ก็ไม่สามารถห้ามเหงื่อบนหน้าผากผุดออกมาได้ ในที่สุดเมื่อนางเห็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่นองไปด้วยเลือด ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกราวกับตนได้พุ่งกระโจนลงไปในทะเลลึก น้ำทะเลนั้นไหลเข้าเต็มหูและจมูกไปหมด จนทำให้นางหายใจไม่ออกนางลงจากม้าและเดินไปยังสระเลือด กลิ่นคาวลอยเข้าจมูกลามเข้าไปยังปอด กลิ่นนั้นฉุนปานโลกถล่มดินทลาย นางมองร่องรอยของเลือดที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง พร้อมลากเท้าห่างมาสองก้าว ราวกับขาและเท้าของนา
เขาจับมือของฉู่เนี่ยนซีที่ยกขึ้นกำแน่นจนห้อเลือด พลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “นั่นเป็นของเหย่จื้อ ไม่ใช่ของข้า คงมีคนใช้เศษผ้าชิ้นนี้ล่อเจ้ามาที่นี่”ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่เชื่อ “ท่านไม่ได้บาดเจ็บจริง ๆ หรือ?”“ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก”เมื่อได้ยินคำตอบ สติสัมปชัญญะก็คืนกลับมาหาฉู่เนี่ยนซีราวกับน้ำท่วมที่กำลังไหลทะลัก นางมองศพที่อยู่รอบ ๆ ตัว หน้าอกของนางสั่นเทาแล้วถามว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”“ข้าเจอเข้ากับกลุ่มคนที่ตามเจ้ามาจึงสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เดาได้ว่านั่นคงเป็นกับดัก ข้าเลยรีบมา”เย่เฟยหลีมองเข้าไปในดวงตาของฉู่เนี่ยนซีและพูดอย่างปวดใจ “เหตุใดเจ้าถึงบุกเข้ามาคนเดียว ไม่พาคนมาด้วยเล่า?”“ข้า…”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาขึ้นลง นั่นสิ เหตุใดนางถึงตื่นตระหนกจนไม่รู้เลยว่านี่คือกับดัก?“ข้ากลัวว่าหากกลายเป็นม่ายขึ้นมาคงจะไม่มีใครแต่งงานด้วย”เย่เฟยหลีจ้องมองนางพลางประคองนางให้ยืนขึ้น จากนั้นก็พานางขึ้นหลังม้าและออกจากดินแดนแห่งความขัดแย้งแห่งนี้ไปเมื่อองค์จักรพรรดิทราบเรื่องนี้ก็ทรงกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนฉู่เนี่ยนซีและเย่เฟยหลีรู้ดีว่าคงไม่
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย