มุมปากของเย่เฟยหลียิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเมฆดำที่ลอยอยู่เต็มในหัวใจของเขาก็สลายไปในทันทีทำให้ท้องฟ้าแจ่มใส เขาวางพู่กันในมือลงแล้วเดินไปหาฉู่เนี่ยนซีพลางพูดเบา ๆ “ขอบใจซีเอ๋อร์มาก”ฉู่เนี่ยนซียิ้มเจื่อนและแอบเสียใจ หากนางรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางคงไม่ทำอาหารมาให้ อีกทั้งก็คงไม่ต้องมายืนนิ่งพูดไม่ออกต่อหน้าเย่เฟยหลีเช่นในตอนนี้“ข้านึกว่าซีเอ๋อร์จะไม่สนใจแล้วจริง ๆ เสียอีก”ดวงตาของเย่เฟยหลีเต็มไปด้วยความสุข เขาเช็ดมือและนั่งข้าง ๆ พลางเชิญฉู่เนี่ยนซีให้นั่งด้วยกันฉู่เนี่ยนซีไม่ได้สนใจจริง ๆ แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว นางก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร นางเพียงยิ้มต่อไปพลางคิดว่าหลังจากกลับไปจะลงโทษเสี่ยวเถาเสียหน่อยในจวนอ๋องเหลียนไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันและความรื่นเริงเช่นนี้ อีกทั้งบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด เย่เหลียนได้ยินข่าวจากพระราชวังว่าฉู่กุ้ยเฟยและพระชายาฉิงถูกวางยา เขาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหลุบตาลงในขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิด พลางใช้มือขวาหมุนแหวนที่นิ้วโป้งมือซ้ายโดยไม่รู้ตัวเสด็จแม่ของเขาก็ประชวรด้วยโรคเช่นนี้ก่อนที่จะสวรรคตเช่นกัน หมอหลวงหลายคนต่างพากันมาวินิจฉัย อีกทั้
ในขณะที่ควันสีเทาเหนือกระถางธูปค่อย ๆ เบาบางลง ความตึงเครียดในหัวใจของซุนจื่อซีกลับค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ปลายนิ้วของนางสัมผัสได้ถึงความเย็นของถ้วยชา ทำให้แทบจะไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้เมื่อได้ยินเสียงของสี่เชว่ที่กำลังต้อนรับให้เย่เฟยหลีเข้ามาจากด้านนอก ซุนจื่อซีก็ลูบผมของตัวเองและตรวจดูความเรียบร้อย จากนั้นจึงยืนขึ้นทำความเคารพเย่เฟยหลีที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง “ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”นางสวมชุดกระโปรงสีแดงบาง ๆ ใบหน้าของนางเหมือนดอกท้อ และแววตาที่เต็มไปด้วยสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากสีชาด ขนตายาวหนาเป็นแพ ประกอบกับกระดูกไหปลาร้าที่เผยให้เห็นรูปร่างที่เพรียวบางของนาง“มีอะไร?” เย่เฟยหลีรีบนั่งโดยไม่หยุดสอดส่ายสายตา“จื่อซีกำลังคิดว่าวันส่งท้ายปีเก่าที่กำลังใกล้เข้ามานี้อยากจะร่ายรำให้เสด็จย่าได้รับชมอย่างเพลิดเพลิน แต่หม่อมฉันร่ายรำไม่เป็น อีกทั้งท่านอ๋องก็ทรงอยู่กับเสด็จย่ามานาน ท่านคงจะทราบว่าเสด็จย่าชอบการร่ายรำเช่นไร หม่อมฉันจึงมาขอคำแนะนำจากท่านอ๋องเพคะ”“เช่นนั้นข้าจะเชิญอาจารย์ผู้สอนมาให้ เขามีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการที่ค่ายทหาร คงจะไม่ได้อยู
ฉู่เนี่ยนซีแสร้งทำเป็นโกรธพลางเหลือบมองเหยียนจือซิน ตัวนางได้พูดสิ่งที่ไม่สมควรพูดไปเสียแล้วหลังจากพูดคุยกันสักพัก ฉู่เนี่ยนซียังคงไม่สามารถหาคำตอบจากเหยียนจือซินว่าความรักคืออะไร นางจึงหยุดพูดถึง“ไปกันเพคะ หม่อมฉันจะพาไปดูดอกไม้ที่หม่อมฉันเพิ่งปลูก แต่ตอนนี้มันยังไม่บาน เอาไว้ดอกไม้บานเมื่อไหร่หม่อมฉันจะเชิญพระนางมาดื่มชานะเพคะ”พูดจบ เหยียนจือซินก็ลากฉู่เนี่ยนซีเดินออกจากห้องด้วยความกระตือรือร้นที่จะแสดงสิ่งที่อยากอวด“ถึงตอนนั้นข้าคงไม่ได้มาที่บ้านตระกูลเหยียนหรอก คงจะไปที่บ้านสามีของเจ้านู่น” ฉู่เนี่ยนซีล้อเลียนเหยียนจือซิน ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะระหว่างที่ออกนอกห้องไปด้วยกันหมากบนกระดานในพระตำหนักหย่างซินอัดกันแน่น คนสองคนที่นั่งขัดสมาธิกันอยู่คนละฝั่งของกระดานหมากรุกก็มีรัศมีเปล่งประกายออกมาที่แตกต่างกันองค์จักรพรรดิขัดเกลาความทะเยอทะยานของตัวเองจนเฉิดฉายมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พระองค์ก็ทรงเก็บมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจ และห่อหุ้มไว้ด้วยความเคลือบแคลงอันบางเบาท่าทางของเย่เฟยหลีที่สง่างามและมั่นคง ผสานกับความเย่อหยิ่งของบุรุษ ทำให้เขาดูหยิ่งผยองราวกับน้ำค้างแข็งและหิมะ
เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินคำรายงาน นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินทางไปยังจวนมหาเสนาบดี นางอยู่ในวังมาหลายวันแล้ว และท่านพ่อท่านแม่ก็คงจะรู้สึกเป็นห่วงนาง หลังจากทานอาหารเย็นที่จวนมหาเสนาบดีแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็ตรวจดูครรภ์ของจ้าวม่อเหยียน ทุกอย่างเรียบร้อยดี จากนั้นนางจึงอยู่พูดคุยกับฮูหยินฉู่สักพักหนึ่ง หลังจากตื่นจากการงีบหลับกลางวันแล้วจึงกลับจวนของอ๋องหลีจนกระทั่งช่วงเย็น เย่เฟยหลีก็ขี่ม้ากลับมา หลังจากทานอาหารกับฉู่เนี่ยนซีเรียบร้อยแล้วเขาจึงไปอาบน้ำ ซุนจื่อซีสั่งให้สี่เชว่ไม่ต้องเตรียมสำรับอาหารเย็น นางหันหลังเดินไปหยิบดินสอเขียนคิ้วแล้วบรรจงแต่งหน้าที่หน้ากระจก “คุณหนู วันนี้คุณหนูไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวัน หากป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไรเพคะ?” สี่เชว่เอ่ยอย่างเป็นกังวล“ข้ามีแผน เจ้าไปนำชุดที่ข้าเตรียมไว้ออกมาเสีย”“เพคะ”เย่เฟยหลีเข้ามาในห้องนอนของฉู่เนี่ยนซีพร้อมกับผมที่ยังเปียกชื้น เขาเห็นนางนั่งขัดสมาธิอย่างงดงามกำลังถือตำราแพทย์และอ่านมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เขายกมุมปากขึ้นก่อนจะเดินไปตรงหน้าแล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้กับนาง“อะไรหรือเจ้าคะ?” ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงง“ผม
สี่เชว่ช่วยซุนจื่อซีถอดเสื้อคลุมออก ด้านในนางสวมเพียงชุดสีแดงบาง ๆ เท่านั้น ใบหน้าของนางดูเหมือนดอกท้อ และนัยน์ตาก็เหมือนน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากสีแดง ขนตายาวหนา และกระดูกไหปลาร้าที่เผยให้เห็นรูปร่างที่เพรียวบางเย่เฟยหลีมองไปที่ดวงตาที่ชื่นชมของฉู่เนี่ยนซี และรู้สึกว่านางไม่ระวังตัวเลยมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ นี่ก็ดึกมากแล้ว และทางกลับอากาศหนาวเย็น อย่าทำให้ตัวเองหนาวจนป่วยขึ้นมาอีก สี่เชว่ส่งคุณหนูกลับเรือน”ฉู่เนี่ยนซีตบเย่เฟยหลีเบา ๆ พลางลุกขึ้นแล้วกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจเขา แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง ที่โรงเต้นรำมีอาจารย์ที่มีทักษะการร่ายรำที่ยอดเยี่ยม พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปเชิญมาให้”ซุนจื่อซีพยายามระงับความเย็นชาในใจอย่างดีที่สุด นางกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนบนริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ดีเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่กลัวว่าจะเป็นการลำบากพระชายามากเกินไป”“ไม่ลำบากหรอก แต่ท่านร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นจงอย่าฝืนมากเกินไป วันนี้สีหน้าของท่านก็ดูไม่ค่อยดีนัก ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”ฉู่เนี่ยน
“ไม่ใช่เลยเจ้าค่ะ ข้าแค่คิดว่าท่านควรไปส่งนางก็เท่านั้น”“เจ้าคิดว่าข้าควรไปส่งนาง ข้าก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างงั้นรึ? เช่นนั้นหากข้าคิดว่าเราไม่ควรนอนแยกเตียงกัน เจ้าก็จะไม่นอนแยกเตียงใช่หรือไม่?”ฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วและมองเขา “เหตุใดท่านถึงได้วกกลับมาเรื่องนี้อีกแล้วเล่า?”“เจ้ามองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถี่ถ้วน แล้วเหตุใดเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ?”เย่เฟยหลีดึงฉู่เนี่ยนซีเข้าไปในห้องโถงด้านในแล้วนั่งลงบนเตียง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจะถือว่านางเป็นสหายก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงมิตรภาพในอดีตระหว่างข้ากับนาง หากมีเรื่องอะไรที่ข้าควรช่วย ข้าก็จะช่วย แต่หากเจ้ายังผลักไสข้าใส่นางเช่นนี้ ระวังว่าข้าจะชอบนางแล้วแต่งนางเข้าจวน ให้นางเป็นชายาของจวนอ๋องหลีไปอีกคน”“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าต้องการภรรยาเพียงคนเดียว และจะไม่มีการรับสตรีอื่นเข้ามา หากข้าชอบซุนจื่อซีขึ้นมาจริง ๆ เช่นนั้นในชีวิตนี้ เราก็จะไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก”เย่เฟยหลีนอนอยู่บนเตียงและจงใจพูดอย่างจริงจัง โดยเหลือบมองสีหน้าของฉู่เนี่ยนซีผ่านทางหางตา“ท่าน! บุรุษนี่ไว้ใจไม่ได้จริง ๆ ก่อนหน้านี้ปากก็บอกว่ารัก อีกเดี๋ย
เย่ฉงเฉิงกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งของเขาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นเย่เฟยหลีกำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล เขาก็กระโดดขึ้นและวิ่งไปหาเย่เฟยหลีทันที“พี่สาม ท่านมาสักที ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”“ถวายบังคมพี่สะใภ้สาม”ตอนนี้เย่ฉงเฉิงยอมรับฉู่เนี่ยนซีแล้ว และไม่ได้ทะเลาะกับนางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปซุนจื่อซีทำความเคารพเย่ฉงเฉิง “ถวายบังคมอ๋องเฉิงเพคะ”เย่ฉงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหันพูดกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม ที่นั่งของสตรีอยู่ฝั่งนู้น ท่านกับคุณหนูจื่อซีไปที่นั่นก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่สามสักเดี๋ยว และตรงนั้นยังมีแม่ทัพสองสามนายที่อยากจะคุยกับเราด้วย”เย่เฟยหลีมองฉู่เนี่ยนซีและพูดเสียงขรึม “เจ้าไปก่อนเถิด หากเบื่อก็ไปเดินเล่นรอบ ๆ ได้ แต่อย่าไปไกลเกินไปล่ะ”จากนั้นเขาก็หันไปสั่งเสี่ยวเถา “ดูแลพระชายาให้ดี”“เพคะ”ฉู่เหนียนซีเดินไปอีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เย่เฟยหลีและเย่ฉงเฉิงค่อย ๆ เดินไปที่โต๊ะฝั่งบุรุษเย่ฉงเฉิงถามด้วยความสับสน “พี่สาม ช่วงนี้ข้าอยู่ที่เมืองหลวงจึงไม่ค่อยทราบข่าวใหม่ เหตุใดซุนจื่อซีถึงได้มากับพวกท่านได้? ”“ถามพี่สะใภ้สามของเจ้าดูสิ”เย่เฟยหลีเองก็อยากจะรู้ เหต
เมื่อฝั่งสตรีเห็นฉู่เนี่ยนซีและซุนจื่อซีเดินเข้ามา ทุกคนยกเว้นเจี่ยงจาวอวิ๋นก็ยืนขึ้นและทำความเคารพใบหน้าของฉู่เนี่ยนซียังคงเย็นชา นางเพียงแค่พยักหน้าให้ทุกคนเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง“คุณหนูจื่อซี ได้ยินมาว่าช่วงนี้ท่านไม่สบาย ไม่ทราบว่าดีขึ้นแล้วหรือไม่เพคะ?” หญิงสาวในชุดสีเหลืองอ่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของคุณหนูเฉา ตัวข้าอาศัยอยู่ในจวนของอ๋องหลีมาหลายวันแล้ว และได้รับการดูแลจากท่านอ๋องและพระชายาทุกวัน ตอนนี้ข้าอาการดีขึ้นมากแล้ว”ซุนจื่อซีเดินไปหาคุณหนูเฉาคนนั้น ตอนอยู่ข้างกายไทเฮาเคยเห็นหน้านางอยู่หลายครั้ง จึงไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า“แม้แต่คนที่เย็นชาและเคร่งขรึมอย่างอ๋องหลีก็ดูแลท่านเป็นอย่างดี ถือเป็นพรจริง ๆ”ดูเหมือนว่าคุณหนูเฉาจะลืมฉากการปฏิเสธของเย่เฟยหลีไปโดยสิ้นเชิง นางเพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างชื่นชม“อย่างไรทั้งคู่ของผูกพันธ์กันมาแต่อ้อนแต่ออก ถึงแม้จะมีใครมาคั่นกลาง แต่ก็ใช่ว่าจะหยุดไปได้ตลอดชีวิต ทั้งสองคนถูกไทเฮาเลี้ยงดูมาข้างกาย ดังนั้นจึงเหมาะสมกันมากกว่า”เจี่ยงจาวอวิ๋นพูดขณะแตะเตาอุ่นมือในอ้อมแขนของตัวเองไปด้วย แม้ว่าดวงตาจะดู