เย่เฟยหลีครุ่นคิดก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “มันยากที่จะบอกได้ชัด น้องห้ามีนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เด็กไม่ว่านางอยากจะได้อะไร ฮองเฮาก็จะหามาให้นางทันที แต่หากเจ้าสงสัย ข้าก็จะส่งคนไปตรวจสอบดู”“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าพี่รองต้องการลงทุนในหอการแพทย์ และช่วงนี้เขาก็ส่งเงินและสมุนไพรหายากมากมายไปที่นั่น ดูเหมือนว่าพี่รองกำลังวางแผนที่จะเปิดทางให้ตัวเองสินะ”แม้ว่าเย่เฟยหลีไม่มีเจตนาที่จะยึดครองบัลลังก์ แต่ถ้าหากเย่เหลียนมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่เหลียนจะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดอย่างแน่นอน“หอการแพทย์มิได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของราชวงศ์ แต่ก็ใช่ว่าคล้อยตามคนผู้อื่นได้ง่าย ๆ”ฉู่เนี่ยนซีระงับสายตาที่ไม่สบายใจ และตอบออกไปอย่างใจเย็น“ในตอนแรกหอการแพทย์ยอมรับของขวัญเหล่านั้นไว้ แต่เมื่อเข้าใจความหมายของพี่รอง ก็เริ่มที่จะส่งของขวัญเหล่านั้นคืนกลับไปมากมาย โดยบอกว่าไม่รู้ราคาของสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่พอรู้แล้วจึงลำบากใจที่จะยอมรับเอาไว้เจ้าค่ะ”ท่าทางของฉู่เนี่ยนซีทำให้เย่เฟยหลีรู้ว่าหอการแพทย์จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกอ
เย่เฟยหลียืนกอดออกอยู่นอกหน้าต่าง มองดูผมที่ปลิวตามลมบนหน้าผากของฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินเสียงดุจเดือนอันสุกใสของเขาก็ทำให้นางฉุกนึกถึงคำพูดของจักรพรรดิตอนที่อยู่สระอวี้ฮวาขึ้นมาได้ทันใดนางต่อต้านความอ้างว้างที่เติมเต็มหัวใจของนางอีกครั้ง โดยรู้ว่าตอนนี้หากถามเขาออกไปว่าวันหนึ่งความกระตือรือร้นทั้งหมดนี้จะหายไปหรือไม่ เย่เฟยหลีก็คงจะต้องตอบว่า "ไม่" อย่างแน่นอนถึงตอนนี้จะไม่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะไม่หายไปนางไม่ได้ถามอะไร เพียงแต่ตอบกลับไปเสียงเรียบว่า “ในเรือนอากาศอุดอู้ เลยออกมาสูดอากาศน่ะเจ้าค่ะ”คืนนั้น ฉู่เนี่ยนซีนอนไม่หลับ นางพลิกตัวปรับท่านอนไปมาทันใดนั้นในคืนที่มืดมิดก็มีเสียงเย่เฟยหลีลุกจากเตียง เขาเดินมาถึงข้างเตียงของฉู่เนี่ยนซีก่อนจะวางผ้าห่มลงแล้วนอนลงข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีและกอดนางไว้อย่างอ่อนโยน“รีบนอนเถิด”เดิมทีฉู่เนี่ยนซีคิดว่านางคงนอนไม่หลับแน่ ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากนอนเงียบ ๆ สักพักนางก็ผล็อยหลับไปในที่สุดวันรุ่งขึ้น ฮูหยินฉู่ก็เข้าไปในวังพร้อมผ้าที่หาจนทั่วเมืองหลวงกว่าจะหาซื้อมาได้ หลังจากมาถึงพระตำหนักอั
หลังจากที่ตรวจชีพจรของนางแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็กล่าวกับทุกคนว่า “คุณหนูจื่อซีไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่ร่างกายยังไม่หายดีจึงเป็นลมไปก็เท่านั้นเพคะ”จากนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนใบสั่งยาของหมอหลวงเล็กน้อย นางตัดส่วนผสมยาออกสองรายการ และเพิ่มตัวยาอื่น ๆ อีกบางรายการ ก่อนจะส่งคนไปรับยาที่สำนักหมอหลวง ฮูหยินฉู่ปลอบไทเฮาว่า “ซีเอ๋อร์อยู่ที่นี่แล้ว ไทเฮาเองก็ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองด้วย พวกเรากลับไปรอฟังข่าวเถิดเพคะ หากคุณหนูจื่นซีฟื้นแล้วจะส่งคนไปรายงานให้ท่านทราบทันที”หลังจากที่ฮูหยินฉู่และไทเฮาจากไปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็มาที่ห้องโถงใหญ่และกล่าวกับเย่เฟยลี่ที่รออยู่ที่นั่นว่า “ไม่สะดวกที่ท่านจะรออยู่ที่ห้องส่วนตัวของหญิงสาวเช่นนี้ ท่านไปรอที่ห้องโถงใหญ่กับไทเฮาเถิดเพคะ”เย่เฟยหลีพยักหน้าและจากไปทันใดนั้นทั้งห้องก็โล่งขึ้นมาก หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีรอให้คนรับใช้นำยาต้มมาให้ นางก็ป้อนมันให้กับซุนจื่อซี หลังจากผ่านไปสักครู่ ซุนจื่อซีก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา หลังจากเห็นคนที่อยู่ข้างเตียงอย่างชัดเจน นางจึงถามด้วยความสงสัย “หม่อมฉันเป็นอะไรไปหรือเพคะ?”ฉู่เนี่ยนซีเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของซุนจ
“จื่อซีไม่สบาย ให้ชายาหลีรักษานางจะเป็นอะไรไป นางก็เหมือนกับน้องสาวของเจ้าคนหนึ่ง เจ้าจะใจร้ายเมินนางได้ลงคอนั้นรึ? ข้าแค่อยากให้นางได้พักฟื้นในจวนอ๋องหลีเพราะนางกำลังป่วย มันจะส่งผลเสียแค่ไหนกันเชียว?”ไทเฮาแสดงความโกรธเล็กน้อย เห็นแก่ฮูหยินฉู่ที่อยู่ข้าง ๆ จึงไม่ได้บีบบังคับมากนัก แต่นางก็ยังดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ฮูหยินฉู่พูดอะไรไม่ได้เพราะนางเป็นแม่ยายของเย่เฟยหลี จึงยากที่จะเปิดปากหากยอมตกลงก็จะสร้างปัญหาให้แก่ลูกสาวของตน แต่หากไม่เห็นด้วยก็จะกลายเป็นคนใจแคบที่ช่วยเหลือแค่ญาติตัวเองเท่านั้น นางถูกหนีบอยู่ตรงกลางไม่รู้จะทำเช่นไรดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะเงียบแทนเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ ก็รู้คร่าว ๆ ว่ากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไรเมื่อนึกถึงสิ่งที่ซุนจื่อซีพูดกับนางเมื่อครู่ ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ซุนจื่อซีและตัวเองได้เข้าใจ “เช่นนั้นก็ให้คุณหนูจื่อซีพักรักษาตัวอยู่ที่จวนของท่านอ๋องหลี หายดีแล้วค่อยกลับพระตำหนักอันชิ่งเถิดเพคะ”เสียงเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีทำให้บรรยากาศการพูดคุยในห้องโถงดูอ่อนลง“ซีเอ๋อร์ นี่เจ้า...”เย่เฟยหลีมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วย
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมอง มุมปากของนางยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนดอกตูมในฤดูใบไม้ผลิ“ชายายังคงมีความสุขได้อีกหรือเพคะ บ่าวเป็นกังวลจนแทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว”“กังวลเรื่องอะไร?” ฉู่เนี่ยนซียังคงดูสมุดบัญชีต่อพลางถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น“ก็คุณหนูจื่อซี… บ่าวได้ยินมาจากเหลียงหยวนว่าตั้งแต่กลับมาถึงจวน ท่านอ๋องก็อารมณ์ไม่ดี เมื่อครู่พระองค์ยังเสด็จไปที่เรือนของคุณหนูจื่อซีอีกด้วยนะเพคะ แต่พระชายากลับยังมีอารมณ์มานั่งตรวจบัญชีที่นี่อยู่อีก”ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ตอบอะไรเสี่ยวเถา นางเข้าใจว่าเหตุใดสมุดบัญชีถึงได้ถูกส่งมาเป็นจำนวนมากในเวลานี้ นี่เป็นวิธีการของเย่เฟยหลีที่กำลังบอกผู้คนในจวนว่านางคือพระชายาแห่งจวนอ๋องหลี และเป็นนายของพวกเขา และบอกให้คนใช้หยุดคาดเดากันมั่ว ๆ ซุนจื่อซีถูกจัดเตรียมให้อาศัยในเรือนที่เคยเป็นของซ่างกวานเยียน นางเพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จเย่เฟยหลีก็เสด็จมา นางรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย และรู้สึกว่าเขายังห่วงใยตนอยู่“พี่สาม”ซุนจื่อซีงงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยขึ้น นี่คือชื่อเรียกเดิม แต่นางไม่ได้เรียกเขาเช่นนี้มานานแล้ว‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’ นางเองก็จำไม่ได้แล้วนางรู้ว่าตัวเองไม
“กระหม่อมไปรายงานแล้วขอรับ บางทีพระชายาอาจเหนื่อยจากการตรวจบัญชี ดังนั้นจึงไม่...” เหลียงหยวนตอบตะกุกตะกัก“เหอะ! นางช่างมีจิตใจที่กว้างใหญ่เสียจริง”เย่เฟยหลียิ่งไม่พอใจมากขึ้น สตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่รับสตรีนางอื่นมาตามอำเภอใจเท่านั้น แต่แม้แต่เขาไปที่เรือนของสตรีอื่น นางก็ยังไม่แม้แต่จะส่งคนมาดูเมื่อเห็นเย่เฟยหลีจากไปแล้ว สี่เชว่ก็เข้าไปในห้อง แล้วเดินเข้าไปหาซุนจื่อซีก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “คุณหนู ท่านอ๋องพูดอะไรหรือไม่เพคะ?”“ไม่ เขาจะพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป” ซุนจื่อซีเบนสายตา แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไปเก็บใบชามาแล้วตามข้าไปที่เรือนของชายาหลี”“ทำไมล่ะเพคะ? คุณหนู บ่าวอยากถามมานานแล้ว บ่าวไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดกับชายาหลีเรื่องการแข่งขันที่ยุติธรรมในวันนั้นเลย รูปร่างหน้าตาและพรสวรรค์ของท่านนั้นยอดเยี่ยมมาก บ่าวไม่คิดว่าท่านจะด้อยไปกว่าชายาหลีตรงใดเลย”“เย่เซวียนเล่อและฉู่เนี่ยนซีนั้นแตกต่างกัน เย่เซวียนเล่อนั้นสามารถยั่วยุได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ด้วยนิสัยของฉู่เนี่ยนซี ยิ่งข้าพูดตรงมากเท่าไร นางก็ยิ่งระวังตัวน้อยลงเท่านั้น”สี่เชว่พยักหน้าด้วยความเข้าใจ และออกไปเตรียมตัว
ซุนจื่อซีตอบอย่างเกรงใจ “ไม่ดีกว่าเพคะ ถึงซีเอ๋อร์จะโง่เขลาเพียงใดก็เข้าใจมารยาท ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ”หลังจากที่ซุนจื่อซีจากไปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างครุ่นคิดและเอ่ยถามเย่เฟยหลี “ซุนจื่อซีเป็นคนใจกว้างและอ่อนโยนมากเช่นนี้ เหตุใดตอนนั้นท่านถึงไม่อถิเษกกับนางล่ะเจ้าคะ?”“เพราะว่าตอนนั้นมีบางคนที่ไม่ว่าอย่างไรก็อยากจะแต่งงานกับข้าเสียให้ได้น่ะสิ”เย่เฟยหลีดูไม่แยแสและวางเต้าหู้ชิ้นหนึ่งลงบนจานของฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีพูดไม่ออก เดิมทีคิดจะแหย่เย่เฟยหลีเล่น แต่สุดท้ายกลับทำตัวเองกลับขายหน้าเสียเอง “นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันยังเด็กและไม่รู้ความต่างหากเจ้าค่ะ”ฉู่เนี่ยนซีกำลังจะใส่เต้าหู้เข้าไปในปาก แต่ก็ต้องสั่นสะเทือนกับสายตาที่เย่เฟยหลีส่งมา ซึ่งทำให้เต้าหู้ในตะเกียบสั่นเล็กน้อย“แล้วตอนนี้รู้ความแล้วหรือยัง?”ตอนนั้นไม่รู้ความจึงอยากแต่งเข้าจวนอ๋องหลี ตอนนี้รู้ความแล้วจึงไม่อยากแต่งแล้วและรู้สึกเสียใจที่แต่งงานกับเขา?ฉู่เนี่ยนซียิ้มแล้วพูดว่า “เต้าหู้นี้รสชาติดีจริง ๆ ท่านอ๋องก็ลองทานดูเถิดเจ้าค่ะ”เย่เฟยหลีสถบเสียงเย็น และไม่ได้สนใจนางอีก แต่เขาก็คีบเต้าหู้เข้
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”เย่เฟยหลีลืมตาสีดำขลับมองใบหน้าที่อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่คืบพลางพูดหยอกล้อเมื่อลมหายใจอุ่นกระทบแก้มของฉู่เนี่ยนซีปรากฏรอยสีแดงจาง ๆ รูปร่างคล้ายก้อนเมฆ ขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง นางพูดตะกุกตะกักแต่ก็มีท่าทีดื้อรั้น “คะ คิดอะไรที่ไหน คือ ท่านนอนข้างข้าเช่นนี้ข้าไม่ค่อยชินเท่าไหร่”“ถ้าเช่นนั้นก็ทำตัวให้ชินเสียสิ”พูดจบ เย่เฟยหลีก็ดีดนิ้ว ทำให้เรือนทั้งหลังเข้าสู่ความมืดมิดท่ามกลางความเงียบงันในห้อง ฉู่เนี่ยนซีได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัว อีกทั้งเหมือนจะได้ยินเย่เฟยหลีขำเบา ๆ นางจึงเอื้อมมือออกไปหยิกเนื้อที่เอวของเขาด้วยความโกรธแต่เย่เฟยหลีที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาหลายปีแล้ว เอวของเขาแน่นและไม่มีไขมันเลย ฉู่เนี่ยนซีจ้องมองเขาในความมืด จากนั้นก็นอนหันไปอีกทางจนหลังของนางชิดกับหน้าอกของเขา เย่เฟยหลีเอื้อมมือไปโอบนางไว้ในอ้อมแขนพลางถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เหตุใดเจ้าถึงเห็นด้วย?”“เรื่องอะไร?”“ซุนจื่อซี”ฉู่เนี่ยนซีหยุดชะงัก ขณะนั้นลมหายใจของเย่เฟยหลีกำลังเป่ารดศีรษะของนางอยู่“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะยอมรับคำขอของเสด็จย่าและแต่งงานกับนางจริง ๆ หรือ?”เย่เ