พวกเขาทั้งสามเดินทางจากจวนอ๋องหลีไปยังจวนตระกูลเหยียน ระหว่างทางฉู่เนี่ยนซีได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเหยียนจือซินอย่างระมัดระวัง นางคิดได้อย่างรวดเร็วว่ายาชนิดใดที่ทำให้เกิดบาดแผลดังกล่าว อีกทั้งนางยังถามเหยียนจือซินว่าเจ็บหรือมีอาการคันรวมไปถึงมีอาการอย่างอื่นหรือไม่หลังจากสอบถามอย่างชัดเจนแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็แน่ใจ“มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง?” ฉู่เนี่ยนซีถามอย่างสงบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“เรื่องรูปลักษณ์ของลูกสาวข้าจะแพร่กระจายไปยังภายนอกได้อย่างไร ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากสาวใช้ที่คอยดูแลนางอย่างใกล้ชิด และเราสองคน” ฮูหยินเหยียนตอบด้วยความโกรธ“หวังว่าจะยังไม่สายเกินไป” ฉู่เนี่ยนซีพึมพำแล้วพูดกับฮูหยินเหยียนและเหยียนจือซิน “เมื่อกลับถึงจวน ให้เรียกทุกคนที่ได้สัมผัสกับวัตถุดิบยามารวมตัวกัน อย่าให้ใครเล็ดลอดไปได้เด็ดขาด”“ท่านสงสัยว่ามีคนปลอมแปลงยาหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? คนเหล่านั้นคือสาวใช้ที่รับใช้ซินเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”ฮูหยินเหยียนมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความเหลือเชื่อ รู้สึกว่านางกำลังพยายามแก้ตัวอย่างชัดเจน“ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง ไหนจะเรื่องท
เมื่อฉู่เนี่ยนซีและเป่าจูกลับไปยังหอนอนของเหยียนจือซิน ก็เห็นสาวใช้ห้าคนและสตรีมีอายุอีกสองคนยืนอยู่ในห้องโถงฮูหยินเหยียนโบกผ้าไหมให้คนเหล่านั้นไปหาฉู่เนี่ยนซี พลางพูดอย่างเย็นชา “ทุกคนที่ทำงานรับใช้ในเรือนของซินเอ๋อร์อยู่นี่แล้วเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเป่าจู ส่งสัญญาณให้นางกลับไปรวมกลุ่มฉู่เนี่ยนซีสังเกตสีหน้าของทุกคน บนใบหน้าของพวกเขามีความสงสัยมากกว่าความตื่นตระหนกหรือความกลัวใดใดฉู่เนี่ยนซีมีความสงสัยที่คลุมเครืออยู่ในใจ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นนางก็ยังคงถามอย่างสง่าผ่าเผย “ใครที่เป็นคนทำให้รีบก้าวออกมาจะดีกว่า หากข้าสืบเจอเอง ข้าจะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไปง่าย ๆ แน่”สาวใช้สูงอายุคนหนึ่งก้าวออกมาตอบด้วยความเคารพว่า “ทูลพระชายา คนรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับคุณหนูมามากกว่าสิบปี พวกเขาจะทำสิ่งที่เป็นการทรยศเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ?”“ยื่นมือออกมา”เดาว่าสมุนไพรคงจะเพิ่งถูกโยนทิ้งไปเมื่อเช้านี้เองเนื่องจากถูกเรียกมาที่นี่อย่างกะทันหันจึงไม่มีเวลาล้างมือ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีประสาทรับกลิ่นที่เฉียบคม นางสามารถบอกได้ว่าพวกนางคนใดได้สัมผัสสมุนไพรอะไรมาบ้างหรือไม่หลังจ
เหยียนจือซินก็พูดตำหนิฮูหยินเหยียนเช่นกัน“ท่านแม่ใจร้อนเกินไป ข้าเพิ่งจะออกมาได้ไม่นานท่านก็รีบรุดไปที่จวนอ๋องหลีเพื่อกล่าวหาผู้อื่นเกินจริงเช่นนั้น”เหยียนจือซินเดินมาหาฉู่เนี่ยนซีพลางคำนับและกล่าวอย่างรู้สึกผิด “พระชายาหลี แม้ท่านแม่ของหม่อมฉันจะใจร้อน แต่จริง ๆ แล้วนางไม่มีเจตนาไม่ดีใดใด นางแค่รักหม่อมฉันมาก ในเมื่อตอนนี้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้แล้ว พระชายาหลีก็ทรงอย่าถือโทษโกรธนางเลยนะเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไปเมื่อนางได้ยินเสียงอันนุ่มนวลคล้ายขี้ผึ้งของเหยียนจือซิน ขณะที่กำลังจะพูดตอบ หูของนางก็กระตุก ทำเอานางหันหน้าไปมองที่ประตู ซึ่งนางจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของเสี่ยวเถาที่กำลังอยู่ข้างนอก“นั่นใคร?!”มีเสียงตะโกนวุ่นวายอยู่ข้างนอกจากเสี่ยวเถากับสาวใช้คนหนึ่งผสมปนเปกัน “อย่าวิ่ง จับนางไว้!”0 และเสียงของเด็กสาว “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า” เมื่อทุกคนเปิดประตูมองออกไปข้างนอก ก็พบว่าเสี่ยวเถาและสาวใช้กำลังจับเด็กสาวเอาไว้หลังจากที่เห็นฉู่เนี่ยนซี เสี่ยวเถาก็พูดอย่างเคร่งขรึม “พระชายา นางยืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ที่ประตูไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรเพคะ”ในหัวใจของฮูหยินเหยียนเต็มไปด้วยไ
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร?!”เสี่ยวเถากดดันอิ๋นหลิงมากขึ้นอีกเล็กน้อยแล้วตะโกนใส่นางด้วยความตกใจ“ท่านไม่จำเป็นต้องมาบอกใบ้ว่าข้าไม่ควรพูดความจริง เพียงแต่ข้าคาดไม่ถึงว่าพระชายาหลีจะเหยียบศพของข้าเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินเหยียน ตอนนี้เรื่องต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องปกปิดมันแทนพระชายาหลีอีกต่อไป!”อิ๋นหลิงหันไปมองฮูหยินเหยียนด้วยสีหน้าขุ่นเคือง“ฮูหยิน พระชายาหลีทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดีกว่านาง นางจึงสั่งให้ข้าวางยาคุณหนูด้วยเจตนาร้าย และจงใจส่งคนออกไปพูดอะไรบางอย่างกับป้าฟางเพื่อคลายข้อสงสัยที่มีต่อนาง“ฮูหยิน ข้าไม่เคยทำสิ่งที่เป็นอันตรายเช่นนี้มาก่อน ข้าเลยกลัวมาก จึงไปที่ประตูเพื่อแอบฟัง คาดไม่ถึงว่า… คาดไม่ถึงว่าพระชายาจะใช้ข้าตัดปัญหา ฮูหยิน อิ๋นหลิงไม่มีทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้จริง ๆ ดังนั้น…”ก่อนที่อิ๋นหลิงจะพูดจบนางไม่รู้ว่ามีพลังจากไหนปะทุออกมาจากทั่วทั้งร่างกายของนางจนหลุดจากการจับกุมของเสี่ยวเถา พาร่างของนางไปกระแทกกับเสาสีแดงหนาที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเต็มแรง อิ๋นหลิงล้มลงกับพื้นแล้วหมดลมหายใจทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหวาดกลัวและตกตะ
หลังจากแจ้งทุกอย่างแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็มาหยุดอยู่ตรงประตูมองคราบเลือดที่ชัดเจนบนเสา ในใจของนางมีร่องรอยของความโกรธ อีกทั้งยังมีสายตาที่น่ากลัวอย่างสุดซึ้งฉายแววออกมา“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเรื่องนี้เพื่ออ๋องเหลียนด้วยนะ คนเช่นนั้นพูดอะไรเชื่อถือได้เสียที่ไหน”นางมองฮูหยินเหยียน น้ำเสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็งสูงเก้าศอก “ฮูหยินเหยียน หากข้าอยากจะทำร้ายใครสักคนจริง ๆ ข้าก็สามารถทำให้พวกเขาทรมานได้โดยใช้เพียงเข็มเงิน ข้าจะคิดการใหญ่อ้อมโลกขนาดนี้ เพียงเพื่อทำร้ายใบหน้าของจือซินน่ะหรือ? ข้าเป็นพระชายาผู้ซื่อตรงและเที่ยงธรรม คงไม่สามารถใช้วิธีการที่น่ารังเกียจและซับซ้อนเช่นนี้ได้หรอก”“วันนี้ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้ว่าข้าไม่สนใจหมาบ้าอย่างอ๋องเหลียนอะไรนั่นแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้าข้าในตอนนี้ ข้าก็กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา ฮูหยินเหยียน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องการสร้างความร้าวฉานระหว่างตระกูลเหยียน จวนอ๋องหลีและตระกูลฉู่ ข้าหวังว่าท่านจะคิดอย่างรอบคอบ”ฉู่เนี่ยนซีทิ้งคำพูดทั้งหมดไว้แล้วให้เสี่ยวเถากลับไปตามอวี๋หนานที่จวนอ๋องหลี ส่วนนางและฮูหยินเหยียนก็ไปห้องหนังสือของตระกูลเหยียนใต้
“เจ้ายังจำเด็กหนุ่มที่มาจวนของเราเมื่อเดือนที่แล้วได้หรือไม่ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และมีแรงบันดาลใจ พรสวรรค์ของเขาก็อยู่ในลำดับต้น ๆ เขาเคยพบซินเอ๋อร์สองครั้ง ข้ารู้สึกว่าว่าซีเอ๋อร์ดูเหมือนจะมีใจให้เขาอยู่บ้าง ข้าจึงไปถามเด็กนั่นเป็นการส่วนตัว และดูเหมือนว่าเขาเองก็สนใจซินเอ๋อร์ เหตุใดเราไม่ลองแยกกันไปถามเด็กทั้งสองดูล่ะ…?”“นายท่าน ท่านอ๋องหลีเสด็จมาขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งประกาศขึ้นที่ประตูเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินคำว่าท่านอ๋องหลีก็ลุกขึ้นยืนทันที ฮูหยินเหยียนก็เปิดประตูและกล่าวกับชายหนุ่มคนนั้นว่า “รีบเชิญท่านอ๋องหลีไปที่ห้องโถงใหญ่ แล้วนำชาดี ๆ ไปถวายให้พระองค์”“ขอรับ”ฮูหยินเหยียนมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีและทำท่าทางเชิญ “ชายาหลี ในเมื่อท่านอ๋องหลีมาที่นี่แล้วงั้นเราก็ไปด้วยกันเถิด”“ตกลง” ฉู่เนี่ยนซีรู้ว่าเย่เฟยหลีมาที่นี่เพราะนาง ดังนั้นนางจึงคิดที่จะไปพบเขาพร้อมกันฮูหยินเหยียนและฉู่เนี่ยนซีกำลังจะออกไปห้องโถงใหญ่ เหยียนจือซินยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ที่หน้าประตูและเกือบจะชนเข้ากับทั้งสอง นางคุกเข่าลงและมองใต้เท้าเหยียนอย่างอ้อนวอนพลางร้องไห้ “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากแต่งกับท่านอ๋องเหลียน ได้โปรด
หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว อวี๋หนานก็รีบกลับจากบ้านพ่อแม่ของอิ๋นหลิง และรายงานกับฉู่เนี่ยนซีว่า “นายหญิง กระหม่อมกำลังจับตาดูทั้งคู่อยู่ แม้ว่าจะไม่เห็นพวกเขาติดต่อกับใคร แต่ได้ยินมาว่าพวกเขาได้รับเงินจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ และมีการคุยกันเรื่องการซื้อเรือนและข้าทาส กระหม่อมคิดว่าพวกเขาคงพบกันก่อนที่กระหม่อมจะไปถึงพ่ะย่ะค่ะ”ดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ใช้ชีวิตลูกสาวเข้าแลกกับความมั่งคั่งของพ่อแม่ฉู่เนี่ยนซีสาปแช่งในใจ ‘ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขาถูกสุนัขกินไปแล้วงั้นหรือ?’วันรุ่งขึ้น เย่เฟยหลีออกจากท้องพระโรง กลับมายังจวนของอ๋องหลีเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีกำลังคัดแยกวัตถุดิบยา เขาจึงถามถึงสรรพคุณทางยาดังกล่าว เมื่อได้ยินว่ายาเหล่านี้เตรียมไว้สำหรับเหยียนจือซิน เขาก็นั่งข้างฉู่เนี่ยนซีและทัดผมของนางที่ตกลงมาขึ้นไว้ข้างหูเย่เฟยหลีกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน “มีสองเรื่อง หนึ่งคือใต้เท้าเหยียนไปหาเสด็จพ่อ เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาได้หมั้นหมายไว้กับบุรุษอื่นแล้ว แต่เขายังลังเลเรื่องที่จะให้บุตรสาวออกเรือน ดังนั้นจึงขอเวลาก่อน เมื่อถึงเวลา เขาจะส่งจอกสุรามงคลให้กับเสด็จพ่อด้วยตั
“ข้าต้องไปท้องพระโรงแล้ว ไม่เช่นนั้นจะสายเอาได้”เตาใหญ่ในความฝันพูดได้ และเสียงของเขาก็ฟังดูคุ้นเคยเป็นพิเศษฉู่เนี่ยนซียังคงสับสนว่าเหตุใดเตาผิงต้องไปท้องพระโรงด้วย แต่เมื่อคิดว่าไม่ควรรั้งเตาผิงไว้ นางจึงยอมปล่อยเตาผิงไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักจนเมื่อมีเสียงเอี๊ยดของประตูดังขึ้น ลมหนาวด้านนอกก็เริ่มพัดเข้ามา ไม่รู้ว่านางตื่นเพราะลมหนาว หรือตื่นเพราะเสียงดังรบกวนกันแน่ฉู่เนี่ยนซีลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน และทันใดนั้นนางก็ได้สติ ‘หา? เตาผิงที่กอดเมื่อคืนคือเย่เฟยหลีอย่างนั้นหรือ?’“เสี่ยวเถา” ฉู่เนี่ยนซีร้องเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง หลังจากรออยู่พักหนึ่งจึงได้เห็นเสี่ยวเถาวางเตาไฟสีแดงไว้ข้าง ๆหลังจากที่เสี่ยวเถาไล่ให้คนออกไป นางก็เข้ามาหาฉู่เนี่ยนซีด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อและถามนางว่าจะลุกเลยหรือไม่ ฉู่เนี่ยนซีจ้องไปที่แก้มแดง ๆ ของนางแล้วถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงหน้าแดงนัก?”เสี่ยวเถารู้สึกอับอายจนพูดไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าเสี่ยวเถามีคนที่นางชอบ ความอยากรู้อยากเห็นจึงถูกปลุกขึ้น และกดดันให้เสี่ยวเถาพูดออกมา“ก่อนที่ท่านอ๋องจะออกจากจวน พระองค์กำชับบ่าวให้พระชายาเสวยอาห
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย