“ข้าต้องไปท้องพระโรงแล้ว ไม่เช่นนั้นจะสายเอาได้”เตาใหญ่ในความฝันพูดได้ และเสียงของเขาก็ฟังดูคุ้นเคยเป็นพิเศษฉู่เนี่ยนซียังคงสับสนว่าเหตุใดเตาผิงต้องไปท้องพระโรงด้วย แต่เมื่อคิดว่าไม่ควรรั้งเตาผิงไว้ นางจึงยอมปล่อยเตาผิงไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักจนเมื่อมีเสียงเอี๊ยดของประตูดังขึ้น ลมหนาวด้านนอกก็เริ่มพัดเข้ามา ไม่รู้ว่านางตื่นเพราะลมหนาว หรือตื่นเพราะเสียงดังรบกวนกันแน่ฉู่เนี่ยนซีลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน และทันใดนั้นนางก็ได้สติ ‘หา? เตาผิงที่กอดเมื่อคืนคือเย่เฟยหลีอย่างนั้นหรือ?’“เสี่ยวเถา” ฉู่เนี่ยนซีร้องเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง หลังจากรออยู่พักหนึ่งจึงได้เห็นเสี่ยวเถาวางเตาไฟสีแดงไว้ข้าง ๆหลังจากที่เสี่ยวเถาไล่ให้คนออกไป นางก็เข้ามาหาฉู่เนี่ยนซีด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อและถามนางว่าจะลุกเลยหรือไม่ ฉู่เนี่ยนซีจ้องไปที่แก้มแดง ๆ ของนางแล้วถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงหน้าแดงนัก?”เสี่ยวเถารู้สึกอับอายจนพูดไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าเสี่ยวเถามีคนที่นางชอบ ความอยากรู้อยากเห็นจึงถูกปลุกขึ้น และกดดันให้เสี่ยวเถาพูดออกมา“ก่อนที่ท่านอ๋องจะออกจากจวน พระองค์กำชับบ่าวให้พระชายาเสวยอาห
ฉู่เนี่ยนซีสัมผัสใบหน้าของบุคคลในภาพวาด รู้สึกปิติและซาบซึ้งมากนางมีหน้าตาเช่นนี้นี่เอง เดิมทีคิดว่าตัวเองมีโอกาสได้รูจักมารดาจากคำที่คนอื่นเล่าให้ฟังเพียงเท่านั้นเย่เฟยหลีสังเกตเห็นอารมณ์อันอ่อนไหวของฉู่เนี่ยนซี จึงยืนอยู่ข้างนาง มองดูบุคคลในภาพวาดด้วยกันกับนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตามหลักแล้ว ข้าควรเรียกนางว่าท่านแม่ยาย นางเสียชีวิตจากการคลอดบุตรในวันที่เจ้าเกิดไม่ใช่หรือ? เจ้ายังไม่เคยกราบไหว้ดวงวิญญาณของนางเลย เหตุใดวันนี้ไม่ไปกราบไหว้นางเสียหน่อยเล่า?”ฉู่เนี่ยนซีหันศีรษะไปมองเย่เฟยหลี รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยกับความใส่ใจของเขา นางพยักหน้าและออกเดินทางไปยังจวนเสนาบดีฉู่พร้อมกันกับเขาบนรถม้า เย่เฟยหลี่หยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าตรงแขนเสื้อแล้วมอบให้ฉู่เนี่ยนซี แววตาของเขาดูไม่สบายใจเล็กน้อย “นี่คือของขวัญวันเกิดจากข้า เจ้าลองเปิดดูสิว่าชอบหรือไม่”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีเปิดมันออก นางก็เห็นปิ่นหยกที่ขาวใสราวกับหิมะอยู่ภายใน ลวดลายของดอกฮวานฮวา*ถูกแกะสลักไว้อย่างประณีต เมื่อสูดดมกลิ่นพบว่ามีกลิ่นหอมจาง ๆ เจืออยู่เล็กน้อยนางดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออก พลางคลำหาจุดเพื่อสอด
เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกอย่างระมัดระวังเพื่อโอบนางไว้ในอ้อมแขน เขาหันไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วแนบศรีษะของฉู่เนี่ยนซีไว้กับแผ่นอกกว้างของตนเมื่อก้มศีรษะลง ก็มองเห็นหน้าผากอิ่มเอิบของฉู่เนี่ยนซี ขนตางอนยาวราวกับขนนกที่ค่อย ๆ ตกลงมาบนยอดหัวใจของเขา มันเงียบแต่ก็เต็มไปด้วยน้ำหนักพลบค่ำกำลังจะสิ้นสุดลง และแสงสุดท้ายก็จางหายไปจากท้องฟ้าอันไร้ขอบเขตฉู่เนี่ยนซีพลิกตัวและรู้สึกว่าภายใต้ร่างกายของตัวเองนั้นนุ่มผิดปกติจึงลืมตาขึ้นด้วยความสับสน และผ้าม่านที่ปักหลากสีเหนือศีรษะก็ปรากฏขึ้นในดวงตานางลุกขึ้นนั่ง มองหมอกที่อยู่นอกหน้าต่างพลางรู้สึกสับสนเล็กน้อย“เสี่ยวเถา”เสี่ยวเถาเปิดม่านลูกปัดและเดินเข้ามาเงียบ ๆ “พระชายาตื่นแล้วหรือเพคะ พระองค์หลับอยู่ตลอดทั้งบ่ายทีเดียว”“ข้า…ข้ากลับมาที่นี่ได้อย่างไร?”ภาพสุดท้ายในความทรงจำของฉู่เนี่ยนซีคือภาพภายในรถม้าที่ง่อนแง่น นางลองคิดถึงอย่างไรก็นึกอะไรไม่ออก“พระชายาผลอยหลับไปบนรถม้า ท่านอ๋องเป็นคนอุ้มพระชายากลับมาเพคะ หลังจากที่ท่านอ๋องสั่งไม่ให้บ่าวปลุกพระชายา พระองค์ก็เสด็จไปห้องอักษร”“ข้า…” ฉู่เนี่ยนซีเกาหลังคอแล้วกระซิบ “ข้าไม่ได้ถามเจ้าว่าเข
ในที่สุดเย่เฟยหลีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเริ่มเพลิดเพลินกับอาหารเย็นของเขาอย่างมีความสุขขณะกำลังทานอาหาร ฉู่เนี่ยนซีก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะถามเย่เฟยหลีหลังจากกลืนบะหมี่ลงคอ “ท่านใส่อะไรผิดแผกลงไปอีกหรือเปล่า?”“ไม่นะ ก็แค่ไข่กับบะหมี่”เย่เฟยหลีมองดูฉู่เนี่ยนซีด้วยความสงสัย กลัวว่าเขาจะทำทุกอย่างพัง“รสชาติมันกรุบกรอบ เหมือน...”เหมือนเปลือกไข่ทันใดนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็รู้แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีมีสีหน้ากังวล และคิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาทำบะหมี่ นางจึงกลืนคำพูดกลับลงคอไป“เหมือนกับว่าเส้นบะหมี่ถูกนวดมาเป็นเวลานานจึงมีความเหนียวนุ่มมากน่ะเจ้าค่ะ”“อาจเป็นเพราะท่านอ๋องฝึกวรยุทธตลอดทั้งปี จึงได้แข็งแกร่งกว่าพ่อครัว ดังนั้นแป้งที่นวดออกมาจึงเหนียวนุ่มกว่ากระมังเพคะ”เสี่ยวเถาที่อยู่ด้านข้างคาดเดาฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและพอใจกับการเดาของเสี่ยวเถามาก เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองอย่างยินดีของเย่เฟยหลี ฉู่เนี่ยนซีจึงทำได้เพียงต้องกินบะหมี่ชามนี้ให้หมดเท่านั้นโชคดีที่เปลือกไข่มีไม่มาก หากมองข้ามข้อบกพร่องนี้ไป รสชาติของมันก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวหลังอาหารเย็น แสงสีฟ
ความยิ่งใหญ่ของพระราชวังทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปในพระราชวังจะยังคงตื่นตาไปกับการตกแต่งอันงดงามซุนจื่อซียืนอยู่ข้างกระจกสี่เหลี่ยมและถอดปิ่นปักผมออกจากศรีษะ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังทั้งห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางยังคงดูอ่อนแรง“ซีเอ๋อร์รู้สึกว่าท่านป้าดูอ่อนเยาว์ลงอีกแล้วนะเพคะ ดูเหมือนว่าอายุจะทำอะไรท่านป้าไม่ได้เลย”เสียงที่อ่อนหวานของซุนจื่อซีทำให้ไทเฮายิ้มไม่หุบ ไทเฮามองผ่านกระจกและเฝ้าดูซุนจื่อซีที่กำลังหวีผมให้นางอย่างอ่อนโยน ความรักในหัวใจของนางก็ลึกซึ้งขึ้นไปอีกนางเอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ “ซีเอ๋อร์ ข้าจะหาผู้ชายดี ๆ ในท้องพระโรงให้เจ้าเอง ในโลกนี้ใช่ว่าจะมีอย่างหลีเอ๋อร์แค่ผู้เดียว”รอยยิ้มบนใบหน้าของซุนจื่อซีจางลง เมื่อนึกถึงการถูกปฏิเสธในวันนั้นนางยังคงรู้สึกเสียใจ แต่นางก็ระงับอารมณ์ไว้ไม่แสดงออกมา“ซีเอ๋อร์รู้ว่าท่านป้ารักและเอ็นดูซีเอ๋อร์เพียงใด และซีเอ๋อร์ก็เคยคิดด้วยว่าหากไม่ได้ท่านป้า ป่านนี้ซีเอ๋อร์อาจกลายเป็นคนเร่ร่อนอยู่ที่ใดสักแห่งก็ได้เพคะ”“ซีเอ๋อร์อยู่ดูแลท่านป้ามานานหลายปี จึงมีนิสัยและความคิดคล้
ซุนจื่อซีกำลังจะไปป้อนยาให้ไทเฮา เมื่อนางเปิดม่าน นางก็เห็นเย่เฟยหลียืนโอบฉู่เนี่ยนซีอยู่ที่ทางเข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติในทันที นางทำความเคารพเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีอย่างสุภาพนอบน้อม “ถวายบังคมท่านอ๋องเหลียนและพระชายาหลี ข้างนอกอากาศหนาวมาก เข้ามาอบอุ่นร่างกายก่อนเถอะเพคะ”ไทเฮาที่นอนอยู่บนเตียงก็มีสีหน้าไม่ดีเมื่อได้ยินว่าฉู่เนี่ยนซีมา แต่คนดูแลตำหนักไม่สามารถไล่ฉู่เนี่ยนซีออกไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่แสร้งทำเป็นไม่เห็นนางตรงทางเข้า ฉู่เนี่ยนซีให้เสี่ยวเถาถอดเสื้อคลุมของนางออกแล้วเดินเข้าไปในพระตำหนักกับเย่เฟยหลีเพื่อทำความเคารพไทเฮา“หลานขอทำความเคารพเสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”“ถวายบังคมไทเฮาเพคะ”“หลีเอ๋อร์มาแล้วหรือ รีบลุกขึ้นเถิด”ไทเฮามองแค่เย่เฟยหลีเท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงตอนที่เย่เฟยหลีต่อต้านนางอย่างเปิดเผยในวันนั้น นางก็ยังคงโกรธอยู่เล็กน้อย อีกทั้งสายตาของนางก็ไม่ได้แสดงความรักและเอ็นดูเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้วเย่เฟยหลีพยุงฉู่เนี่ยนซีให้ยืนขึ้นพร้อมกัน นางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงนำตั่งม้านั่งมาให้พวกเขาและนำชาร้อนสองถ้วยมาให้ด้วย
บรรยากาศในหอนอนเริ่มเยือกเย็นเล็กน้อย แม้แต่นางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นซุนจื่อซีมาพร้อมกับถาดเคลือบเงานางก็รู้สึกโล่งใจ“เสด็จย่า ซีเอ๋อร์เตรียมขนมฝูหรงกรอบไว้ให้ท่านด้วย ยังร้อนอยู่เลยเพคะ หากเสวยโอสถแล้วรู้สึกขม ท่านสามารถใช้ความหวานของขนมฝูหรงกรอบเพื่อลดความขมได้เพคะ”เสียงที่สดใสของซุนจื่อซีคืนความอบอุ่นและความมีชีวิตชีวาราวกับฤดูใบไม้ผลิให้ทั่วทั้งหอนอนนางจะไม่รับรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น ซุนจื่อซีส่ายหน้าให้เย่เฟยหลีอย่างเงียบ ๆ เป็นการบอกเขาว่าอย่าได้ใส่ใจพลางพูดอย่างอ่อนโยนอีกครั้งซุนจื่อซีวางจานเคลือบไว้บนโต๊ะอาหารและนั่งลงบนเตียงพร้อมชามยา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางช่างอ่อนหวานและละเอียดอ่อนราวกับดอกกุหลาบ นางเกลี้ยกล่อมไทเฮาว่า “ยานี้กำลังอุ่น ๆ เสด็จย่าเสวยได้เลยนะเพคะ”ไทเฮาผลักยาออกไปอย่างไม่พอใจพลางเอียงศีรษะมองเย่เฟยหลี แม้นางจะดูเหมือนเด็กที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ในดวงตาของนางก็มีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้ “หลีเอ๋อร์ หากเจ้ารู้สึกเห็นใจย่าจริง ๆ ก็แต่งงานกับซีเอ๋อร์สิ”ท่าทางของเย่
ไทเฮาจ้องมองด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองและความไม่พอใจในอกของนางก็พลุ่งพล่านออกมาจากลำคอ นางหวังว่านางจะกลายเป็นเชือกฟางผูกมัดเย่เฟยหลี เพื่อให้เขาและซุนจื่อซีได้เข้าหอลงโลง“สิ่งที่หลานต้องการให้เสด็จย่าทำไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นการยอมแพ้ ตอนนั้นซ่างกวานเยียนเอาตัวมารับดาบแทนหลาน หลานไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรจึงให้นางแต่งเข้ามาเป็นชายารองตามที่นางปรารถนา แต่ตอนนี้แม้จื่อซีจะมารับดาบแทนหลานอีก หลานก็จะไม่ยอมรับนางเป็นชายารองหรือชายาเอกอีกคน” “หากเสด็จย่ายืนกรานที่จะไม่เสวยยา แล้วเกิดอะไรขึ้น หลานก็จะขอติดตามเสด็จย่าไปยังปรภพ และจะไปขอการอภัยต่อเจ้าแห่งนรก หลานกับซีเอ๋อร์ต้องขอตัวก่อน ขอเสด็จย่าทรงรักษาพระพลานามัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อพูดจบ เย่เฟยหลีก็คำนับไทเฮา พลางจับมือของฉู่เนี่ยนซีอีกครั้งแล้วออกจากพระตำหนักไป“หลีเอ๋อร์ เจ้า!”ไทเฮานั่งตัวตรงด้วยความโกรธ พลางมองตามร่างที่หายไปหลังประตูอย่างไม่พอใจ นางไม่สามารถระบายความหดหู่ในอกได้ ซุนจื่อซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระงับสีหน้าโศกเศร้าของตัวเอง และลูบหลังของไทเฮาเพื่อทำให้นางสงบลงหลังออกจากพระตำหนักอันชิ่งแล้ว เย่เฟยหลีจึงสงบลงได้