ไทเฮาจ้องมองด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองและความไม่พอใจในอกของนางก็พลุ่งพล่านออกมาจากลำคอ นางหวังว่านางจะกลายเป็นเชือกฟางผูกมัดเย่เฟยหลี เพื่อให้เขาและซุนจื่อซีได้เข้าหอลงโลง“สิ่งที่หลานต้องการให้เสด็จย่าทำไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นการยอมแพ้ ตอนนั้นซ่างกวานเยียนเอาตัวมารับดาบแทนหลาน หลานไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรจึงให้นางแต่งเข้ามาเป็นชายารองตามที่นางปรารถนา แต่ตอนนี้แม้จื่อซีจะมารับดาบแทนหลานอีก หลานก็จะไม่ยอมรับนางเป็นชายารองหรือชายาเอกอีกคน” “หากเสด็จย่ายืนกรานที่จะไม่เสวยยา แล้วเกิดอะไรขึ้น หลานก็จะขอติดตามเสด็จย่าไปยังปรภพ และจะไปขอการอภัยต่อเจ้าแห่งนรก หลานกับซีเอ๋อร์ต้องขอตัวก่อน ขอเสด็จย่าทรงรักษาพระพลานามัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อพูดจบ เย่เฟยหลีก็คำนับไทเฮา พลางจับมือของฉู่เนี่ยนซีอีกครั้งแล้วออกจากพระตำหนักไป“หลีเอ๋อร์ เจ้า!”ไทเฮานั่งตัวตรงด้วยความโกรธ พลางมองตามร่างที่หายไปหลังประตูอย่างไม่พอใจ นางไม่สามารถระบายความหดหู่ในอกได้ ซุนจื่อซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระงับสีหน้าโศกเศร้าของตัวเอง และลูบหลังของไทเฮาเพื่อทำให้นางสงบลงหลังออกจากพระตำหนักอันชิ่งแล้ว เย่เฟยหลีจึงสงบลงได้
“แม้อุทยานของวังหลวงในฤดูร้อนจะดูสดชื่นไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่ง แต่ทิวทัศน์ก็แตกต่างไปจากช่วงฤดูหนาว เจ้าไปเดินเล่นดูก่อนสิ หากรู้สึกหนาวก็ค่อยมาหาข้า”เย่เฟยหลีแนะนำฉู่เนี่ยนซี เมื่อนางพยักหน้าตกลง เขาก็จากไปพร้อมกับขันทีเฉินเสี่ยวเถาที่รออยู่ข้าง ๆ มาหาฉู่เนี่ยนซีและสวมเสื้อคลุมให้นาง ในขณะที่มัดเชือกอย่างระมัดระวัง นางก็พูดอย่างมีความสุข “พระชายา บ่าวเองก็เห็นว่าท่านอ๋องทรงห่วงใยท่านอย่างแท้จริงนะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีทำเพียงพยักหน้า ไม่ตอบสนองต่อคำพูดของเสี่ยวเถาณ ตอนนี้มีแต่ความอ่อนโยนและความวาบหวาม แล้วต่อไปเล่า? คนเราเวลาที่ใช้ชีวิตไม่ควรมองอะไรเพียงผิวเผิน ชีวิตนั้นยังอีกยาวไกล ใครจะคาดเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อุทยานวังหลวงละลานตาไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์และดอกเหมยสีแดงที่ลอดผ่านหิมะ ซึ่งเผยกลิ่นหอมออกมา สีแดงและสีขาวตัดกันได้สวยงามยิ่งแทบไม่มีใครเดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยหิมะนี้ ทำให้ผืนหิมะราบเรียบจนรู้สึกราวกับอยู่ในแดนสวรรค์ฉู่เนี่ยนซีมีบางอย่างอยู่ในใจ ดังนั้นนางจึงเดินชมดอกเหมยอย่างหลงลืมเวลา นางได้ยินเพียงเสียงหิมะบนกิ่งก้านที่ถูกลมพัดตกลงสู
พูดจบ ท่าทางของฉู่เนี่ยนซีก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที ประกายที่เล็ดลอดออกมาจากดวงตาของนางทั้งเฉียบคมและน่าเกรงขาม“ท่านอ๋องระวังตนไว้ดีกว่า หากมากล่าววาจาไม่รื่นหูต่อหน้าหม่อมฉันอีก หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปบ้าง”ฉู่เนี่ยนซีเดินไปหาเย่เหลียนพลางมองดูกิ่งก้านเปลือยเปล่าที่ทอดยาวอยู่รอบ ๆ เสียงของนางแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความสมเพช “ท่านไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้คิดว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าท่านอ๋องหลี? เกรงว่าคงจะมีท่านคนเดียวที่คิดเช่นนั้น”เสี่ยวเถาเดินตามรอยเท้าของฉู่เนี่ยนซีออกจากอุทยานวังหลวง ระหว่างทางเสี่ยวเถาก็พูดกับฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ “ทูลให้ท่านอ๋องทราบเรื่องดีกว่าเพคะ จากนั้น…”ฉู่เนี่ยนซีมองเสี่ยวเถาอย่างจนใจ พลางบีบแก้มนางแล้วถามว่า “เจ้าเป็นคนของข้าหรือของเขา?”“แต่ว่าท่านอ๋อง...”“เอาเป็นว่าแก้ปัญหาเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร เรื่องแบบนี้ไม่ควรค่าแก่การจดจำแม้แต่น้อย เหตุใดจึงต้องกังวลอีก?”เสี่ยวเถาคิดว่าสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นสมเหตุสมผลมาก จากนั้นเสี่ยวเถาก็เดินตามนางไปที่พระตำหนักหย่างซิน เมื่อขันทีเฉินเห็นพวกนางทั้งสองมาเขาก็เชิญไปที่
รถม้าเคลื่อนช้า ๆ ไปยังประตูจวนตระกูลเหยียน เสี่ยวเถาที่อยู่ในรถม้ายกม่านขึ้นพลางพูดกับฉู่เนี่ยนซี่ “พวกเรามาถึงแล้วเพคะ พระชายา”เป่าจูซึ่งรออยู่ที่ประตูมาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นรถม้าที่เข้ามาใกล้เป็นรถม้าของจวนอ๋องหลี นางจึงรีบลงบันไดไปทักทายทันทีคนขับรถม้าจัดแท่นรอง เสี่ยวเถาลงจากรถก่อนแล้วจึงช่วยฉู่เนี่ยนซีลงจากรถม้าตามลงมา“ถวายความเคารพพระชายาเพคะ” เป่าจูมาหาฉู่เนี่ยนซีพร้อมทำความเคารพนาง “คุณหนูให้หม่อมฉันออกมาดูหลายครั้ง เพื่อรอพระชายาเพคะ”เมื่อเห็นว่าไม่มีความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเป่าจู ฉู่เนี่ยนซีก็สงสัย “ใบหน้าคุณหนูของเจ้ามีอะไรผิดปกติอีกแล้วหรือ?”เป่าจูเชิญฉู่เนี่ยนซี่เข้าไปข้างใน พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ร่วงหล่นและเถาวัลย์ที่ตายแล้ว จากนั้นนางก็พูดด้วยความเคารพและอ่อนโยน “คุณหนูสบายดีเพคะ เพียงแต่นางมีเรื่องส่วนตัวจะพูดกับพระชายาเท่านั้น”หลังจากมาถึงห้องส่วนตัวของเหยียนจือซิน เสี่ยวเถาและเป่าจูก็ถอยออกไปทันทีที่เหยียนจือซินเห็นฉู่เนี่ยนซี่ นางก็วิ่งไปทันทีและดึงฉู่เนี่ยนซี่ให้นั่งข้าง ๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ก็มีความกังวลและค
หน้าผากของฉู่เนี่ยนซีกระตุก เมื่อเห็นว่าเหยียนจือซินกำลังจะเพ้อฝันต่อ นางจึงรีบขัดจังหวะ “สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องเตรียมตอนนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องใช้ในวันแต่งงาน อากาศข้างนอกช่างดีเหลือเกิน เหตุใดเราไม่ลองออกไปดูกันเสียหน่อย”“ได้เพคะ” เหยียนจือซินเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว แล้วนางกับฉู่เนี่ยนซีก็ออกไปขึ้นรถม้าหิมะสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์สีซีดทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว คนสองคนในรถม้านั่งด้วยกันพลางพูดคุยกันเรื่องร้านขายเครื่องประดับแห่งใหม่ที่เปิดในถนนทางใต้ หากร้านนั้นมีการออกแบบที่หลากหลายก็สามารถเลือกเพิ่มอีกสักสองสามชิ้นได้สองสาวเสี่ยวเถาและเป่าจูกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว พวกนางพูดคุยกันข้างรถม้าราวกับนกกระจอกตัวน้อยกำลังสนทนากันรถม้าแล่นผ่านหอจุ้ยเยว่ที่มีความพลุกพล่าน ที่ประตูจะได้ยินคนข้างในพูดภาษาต่าง ๆ เสี่ยวเถาที่ได้กลิ่นหอมมาจากข้างในก็พูดขึ้น “พระชายา หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่หอจุ้ยเยว่มีขนมใหม่ ๆ หลายอย่างเลยเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีและเหยียนจือซินยิ้มหลังจากได้ยินดังนั้น สั่งให้คนขับม้าหยุดรถพาสาว ๆ ไปชิมขนมของหอจุ้ยเยว่“หากรสชาติดีก็ซื้อมาไว้บนโต๊ะจัดเลี้ยงแขกได้”ฉู่เนี่ยนซีหัน
หน้าต่างบนชั้นสองของหอจุ้ยเยว่เผยให้เห็นสตรีที่สง่างาม แต่นางสวมหมวกม่านยาวจนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของนางได้ นางยื่นมือเรียวยาวออกเพื่อเปิดช่องเผยให้เห็นดวงตาที่ดุร้ายและงดงาม นางดูโกรธเล็กน้อยเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างนอกจากนี้ยังมีบุรุษผู้แข็งแกร่งอยู่ข้าง ๆ ห้องนี้ และกำลังจ้องมองการเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างเช่นกัน แต่ต่างจากสตรีตรงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสนอกสนใจอย่างมาก พระอาทิตย์ส่องแสงตรงเข้ามา ทำให้เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างชัดเจน บุรุษผู้นี้คือเย่เหลียน“องค์ชาย เหตุใดพระองค์ถึงไม่ทรงช่วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นเวลาที่ดีที่จะได้แสดงทักษะของพระองค์ไม่ใช่หรือ?”บุรุษที่อยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นด้วยความเคารพและสับสน “ชายสวมหน้ากากเหล่านี้ล้วนแต่มีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลัง เดิมทีข้าต้องการเข้าไปช่วยฉู่เนี่ยนซีก็จริง แต่เมื่อเห็นว่านางสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แถมยังเปลี่ยนศัตรูให้เป็นพวกของตัวเอง ข้าจึงคิดว่าควรรออีกหน่อย มาดูกันว่านางมีความสามารถอะไรอีก”เย่เหลียนอธิบายให้คนที่อยู่ข้าง ๆ ฟังด้วยท่าทางขี้เล่นและประทับใจ จากนั้นก็สั่งการกับพวกเขาว่า “เฝ้าดูให้ด
ในขณะที่ดาบเย็นกำลังโจมตี ฉู่เนี่ยนซีใช้แขนปกป้องร่างกายของเหยียนจือซิน นางจึงโดนโจมตีแทนนางกอดเหยียนจือซินและเบี่ยงหลบชายสวมหน้ากาก แต่ใครจะคิดว่าพลธนูจะยิงธนูเข้าใส่เหยียนจือซินที่อยู่ในอ้อมแขนของฉู่เนี่ยนซีเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้อันน่าสลดใจ เลือดสีแดงก็กระเด็นเต็มฝ่ามือของฉู่เนี่ยนซีเมื่อได้สติ ใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีก็ซีดเผือด รูม่านตาของนางขยายกว้างขึ้น และร้องเรียกเย่เหลียนที่อยู่ใกล้มากที่สุดอย่างไม่มีทางเลือก “ท่านอ๋องเหลียน!”เย่เหลียนได้ยินเสียงและมองไปทางฉู่เนี่ยนซี เขาลงมือจัดการอีก2กระบวนท่าเพื่อขับไล่นักฆ่าที่แข็งแกร่ง จากนั้นจึงวิ่งไปหาฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีส่งเหยียนจือซินไว้ในมือของเย่เหลียน ก่อนจะโยนเข็มเงินไปโจมตีตาขวาของชายสวมหน้ากาก และอาศัยโอกาสนี้ชี้ไปที่ด้านหลังทางฝั่งขวาของเย่เหลียนเย่เหลียนอุ้มเหยียนจือซินขึ้นมาอย่างเข้าใจความหมาย ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซีพาเสี่ยวเถาและอีกสามคนวิ่งไปทางรถม้าในบริเวณใกล้เคียงหลังจากที่ทุกคนขึ้นรถแล้วฉู่เนี่ยนซีก็ดึงสายบังเหียนขึ้นแล้วสอดเข็มเงินเข้าที่ก้นของม้าเหล่าม้าตกใจและเตะกีบก่อนจะออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลัง
ฉู่เนี่ยนซีเปิดห้วงว่างเปล่าทันทีและหยิบชุดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่หลากหลายออกมา เช่น ยาชาและมีดผ่าตัดนางสูดหายใจเข้า อดทนต่อความเจ็บปวดที่แขนและฉีดยาชาให้เหยียนจือซิน จากนั้นจึงใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าบนหน้าอกของนางออกดูแผล จากจึงนั้นใช้มีดผ่าตัดกรีดเนื้อให้เปิดออก...ความเจ็บปวดที่ส่งออกมาทำให้ฉู่เนี่ยนซีแทบจะควบคุมแขนของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องกินยาเม็ดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด แม้ว่าแขนจะยังเคลื่อนไหวได้แต่มันก็ไม่คล่องแคล่วเท่าตอนที่ยังไม่กินยาชา ฉู่เนี่ยนซีมุ่งความสนใจไปที่การรักษาบาดแผล เม็ดเหงื่อเริ่มปกคลุมหน้าผากของนางอย่างหนาแน่น แต่เมื่อเห็นตำแหน่งของหัวลูกธนู เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นมาอีกเท่าตัวตำแหน่งของมันไม่ดีเอาเสียเลย มันใกล้กับหลอดเลือดแดงใหญ่มาก แต่ก็ต้องบอกว่า เหยียนจือซินนั้นโชคดี เพราะหลอดเลือดแดงใหญ่ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อย่างนั้น ในโลกยุคโบราณที่ไม่มีถุงเลือดสำรองเช่นนี้ ย่อมยากที่จะจัดการกับการแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ตำแหน่งของบาดแผลนั้นไม่ดีอยู่แล้ว บวกกับฉู่เนี่ยนซีเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย การผ่าตัดจึงกินเวลานานกว่าสองชั่วโมงแต่ยังไม่เสร็จสิ้นทั