รถม้าเคลื่อนช้า ๆ ไปยังประตูจวนตระกูลเหยียน เสี่ยวเถาที่อยู่ในรถม้ายกม่านขึ้นพลางพูดกับฉู่เนี่ยนซี่ “พวกเรามาถึงแล้วเพคะ พระชายา”เป่าจูซึ่งรออยู่ที่ประตูมาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นรถม้าที่เข้ามาใกล้เป็นรถม้าของจวนอ๋องหลี นางจึงรีบลงบันไดไปทักทายทันทีคนขับรถม้าจัดแท่นรอง เสี่ยวเถาลงจากรถก่อนแล้วจึงช่วยฉู่เนี่ยนซีลงจากรถม้าตามลงมา“ถวายความเคารพพระชายาเพคะ” เป่าจูมาหาฉู่เนี่ยนซีพร้อมทำความเคารพนาง “คุณหนูให้หม่อมฉันออกมาดูหลายครั้ง เพื่อรอพระชายาเพคะ”เมื่อเห็นว่าไม่มีความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเป่าจู ฉู่เนี่ยนซีก็สงสัย “ใบหน้าคุณหนูของเจ้ามีอะไรผิดปกติอีกแล้วหรือ?”เป่าจูเชิญฉู่เนี่ยนซี่เข้าไปข้างใน พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ร่วงหล่นและเถาวัลย์ที่ตายแล้ว จากนั้นนางก็พูดด้วยความเคารพและอ่อนโยน “คุณหนูสบายดีเพคะ เพียงแต่นางมีเรื่องส่วนตัวจะพูดกับพระชายาเท่านั้น”หลังจากมาถึงห้องส่วนตัวของเหยียนจือซิน เสี่ยวเถาและเป่าจูก็ถอยออกไปทันทีที่เหยียนจือซินเห็นฉู่เนี่ยนซี่ นางก็วิ่งไปทันทีและดึงฉู่เนี่ยนซี่ให้นั่งข้าง ๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ก็มีความกังวลและค
หน้าผากของฉู่เนี่ยนซีกระตุก เมื่อเห็นว่าเหยียนจือซินกำลังจะเพ้อฝันต่อ นางจึงรีบขัดจังหวะ “สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องเตรียมตอนนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องใช้ในวันแต่งงาน อากาศข้างนอกช่างดีเหลือเกิน เหตุใดเราไม่ลองออกไปดูกันเสียหน่อย”“ได้เพคะ” เหยียนจือซินเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว แล้วนางกับฉู่เนี่ยนซีก็ออกไปขึ้นรถม้าหิมะสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์สีซีดทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว คนสองคนในรถม้านั่งด้วยกันพลางพูดคุยกันเรื่องร้านขายเครื่องประดับแห่งใหม่ที่เปิดในถนนทางใต้ หากร้านนั้นมีการออกแบบที่หลากหลายก็สามารถเลือกเพิ่มอีกสักสองสามชิ้นได้สองสาวเสี่ยวเถาและเป่าจูกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว พวกนางพูดคุยกันข้างรถม้าราวกับนกกระจอกตัวน้อยกำลังสนทนากันรถม้าแล่นผ่านหอจุ้ยเยว่ที่มีความพลุกพล่าน ที่ประตูจะได้ยินคนข้างในพูดภาษาต่าง ๆ เสี่ยวเถาที่ได้กลิ่นหอมมาจากข้างในก็พูดขึ้น “พระชายา หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่หอจุ้ยเยว่มีขนมใหม่ ๆ หลายอย่างเลยเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีและเหยียนจือซินยิ้มหลังจากได้ยินดังนั้น สั่งให้คนขับม้าหยุดรถพาสาว ๆ ไปชิมขนมของหอจุ้ยเยว่“หากรสชาติดีก็ซื้อมาไว้บนโต๊ะจัดเลี้ยงแขกได้”ฉู่เนี่ยนซีหัน
หน้าต่างบนชั้นสองของหอจุ้ยเยว่เผยให้เห็นสตรีที่สง่างาม แต่นางสวมหมวกม่านยาวจนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของนางได้ นางยื่นมือเรียวยาวออกเพื่อเปิดช่องเผยให้เห็นดวงตาที่ดุร้ายและงดงาม นางดูโกรธเล็กน้อยเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างนอกจากนี้ยังมีบุรุษผู้แข็งแกร่งอยู่ข้าง ๆ ห้องนี้ และกำลังจ้องมองการเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างเช่นกัน แต่ต่างจากสตรีตรงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสนอกสนใจอย่างมาก พระอาทิตย์ส่องแสงตรงเข้ามา ทำให้เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างชัดเจน บุรุษผู้นี้คือเย่เหลียน“องค์ชาย เหตุใดพระองค์ถึงไม่ทรงช่วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นเวลาที่ดีที่จะได้แสดงทักษะของพระองค์ไม่ใช่หรือ?”บุรุษที่อยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นด้วยความเคารพและสับสน “ชายสวมหน้ากากเหล่านี้ล้วนแต่มีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลัง เดิมทีข้าต้องการเข้าไปช่วยฉู่เนี่ยนซีก็จริง แต่เมื่อเห็นว่านางสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แถมยังเปลี่ยนศัตรูให้เป็นพวกของตัวเอง ข้าจึงคิดว่าควรรออีกหน่อย มาดูกันว่านางมีความสามารถอะไรอีก”เย่เหลียนอธิบายให้คนที่อยู่ข้าง ๆ ฟังด้วยท่าทางขี้เล่นและประทับใจ จากนั้นก็สั่งการกับพวกเขาว่า “เฝ้าดูให้ด
ในขณะที่ดาบเย็นกำลังโจมตี ฉู่เนี่ยนซีใช้แขนปกป้องร่างกายของเหยียนจือซิน นางจึงโดนโจมตีแทนนางกอดเหยียนจือซินและเบี่ยงหลบชายสวมหน้ากาก แต่ใครจะคิดว่าพลธนูจะยิงธนูเข้าใส่เหยียนจือซินที่อยู่ในอ้อมแขนของฉู่เนี่ยนซีเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้อันน่าสลดใจ เลือดสีแดงก็กระเด็นเต็มฝ่ามือของฉู่เนี่ยนซีเมื่อได้สติ ใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีก็ซีดเผือด รูม่านตาของนางขยายกว้างขึ้น และร้องเรียกเย่เหลียนที่อยู่ใกล้มากที่สุดอย่างไม่มีทางเลือก “ท่านอ๋องเหลียน!”เย่เหลียนได้ยินเสียงและมองไปทางฉู่เนี่ยนซี เขาลงมือจัดการอีก2กระบวนท่าเพื่อขับไล่นักฆ่าที่แข็งแกร่ง จากนั้นจึงวิ่งไปหาฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีส่งเหยียนจือซินไว้ในมือของเย่เหลียน ก่อนจะโยนเข็มเงินไปโจมตีตาขวาของชายสวมหน้ากาก และอาศัยโอกาสนี้ชี้ไปที่ด้านหลังทางฝั่งขวาของเย่เหลียนเย่เหลียนอุ้มเหยียนจือซินขึ้นมาอย่างเข้าใจความหมาย ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซีพาเสี่ยวเถาและอีกสามคนวิ่งไปทางรถม้าในบริเวณใกล้เคียงหลังจากที่ทุกคนขึ้นรถแล้วฉู่เนี่ยนซีก็ดึงสายบังเหียนขึ้นแล้วสอดเข็มเงินเข้าที่ก้นของม้าเหล่าม้าตกใจและเตะกีบก่อนจะออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลัง
ฉู่เนี่ยนซีเปิดห้วงว่างเปล่าทันทีและหยิบชุดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่หลากหลายออกมา เช่น ยาชาและมีดผ่าตัดนางสูดหายใจเข้า อดทนต่อความเจ็บปวดที่แขนและฉีดยาชาให้เหยียนจือซิน จากนั้นจึงใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าบนหน้าอกของนางออกดูแผล จากจึงนั้นใช้มีดผ่าตัดกรีดเนื้อให้เปิดออก...ความเจ็บปวดที่ส่งออกมาทำให้ฉู่เนี่ยนซีแทบจะควบคุมแขนของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องกินยาเม็ดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด แม้ว่าแขนจะยังเคลื่อนไหวได้แต่มันก็ไม่คล่องแคล่วเท่าตอนที่ยังไม่กินยาชา ฉู่เนี่ยนซีมุ่งความสนใจไปที่การรักษาบาดแผล เม็ดเหงื่อเริ่มปกคลุมหน้าผากของนางอย่างหนาแน่น แต่เมื่อเห็นตำแหน่งของหัวลูกธนู เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นมาอีกเท่าตัวตำแหน่งของมันไม่ดีเอาเสียเลย มันใกล้กับหลอดเลือดแดงใหญ่มาก แต่ก็ต้องบอกว่า เหยียนจือซินนั้นโชคดี เพราะหลอดเลือดแดงใหญ่ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อย่างนั้น ในโลกยุคโบราณที่ไม่มีถุงเลือดสำรองเช่นนี้ ย่อมยากที่จะจัดการกับการแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ตำแหน่งของบาดแผลนั้นไม่ดีอยู่แล้ว บวกกับฉู่เนี่ยนซีเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย การผ่าตัดจึงกินเวลานานกว่าสองชั่วโมงแต่ยังไม่เสร็จสิ้นทั
“ชายาหลีเองก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยซินเอ๋อร์อย่างสุดหัวใจ พระชายา หม่อมฉันจะจดจำความเมตตาของท่านไว้ หากท่านต้องการอะไรจากตระกูลเหยียนก็กล่าวมาได้เลย ตระกูลเหยียนจะฝ่าฟันเพื่อท่านอย่างไม่อิดออด”ดวงตาของฮูหยินเหยียนเต็มไปด้วยน้ำตา และนางก็รู้สึกซาบซึ้งมากจนโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซีเพื่อแสดงความขอบคุณเย่เฟยหลีรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าและห้ามฮูหยินเหยียนฉู่เนี่ยนซีสงบลงครู่หนึ่งและได้รับความแข็งแกร่งขึ้น นางกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกผิดกับฮูหยินเหยียน “ฮูหยินเหยียน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เป็นหม่อมฉันเองที่ควรจะขอโทษท่าน หม่อมฉันปกป้องจือซินได้ไม่ดี หนำซ้ำยังทำให้นางได้รับบาดเจ็บ หม่อมฉันรู้สึกขอโทษต่อท่านจริง ๆ เพคะ” เย่เหลียนที่ยืนนิ่งเงียบเดินเข้าไปด้านข้างฮูหยินเหยียนและอธิบายแทนฉู่เนี่ยนซีฟังว่า “ฮูหยินเหยียน เวลานั้นสถานการณ์มันเร่งด่วนมาก เป็นเพราะความร่วมมือของข้ากับชายาหลีถึงได้หยุดยั้งคนเลวเหล่านั้นได้ การที่แม่นางเหยียนได้รับบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการเห็น แต่ชายาหลีได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นได้โปรดอย่าตำหนิข้าและ
ฝุ่นละอองเล็ก ๆ ในอากาศลอยขึ้นอย่างเบาบางท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่าง ราวกับพวกมันไม่อาจเปิดเผยคำโกหกของคนทั้งสองเย่เฟยหลีเสียใจและพูดว่า “เป็นเพราะข้าประมาทเกินไป ข้าควรจะเตรียมคนไว้คอยปกป้องข้างกายเจ้าแต่ข้ากลับปล่อยให้เจ้าออกไปข้างนอกกับเสี่ยวเถาเพียงลำพัง เมื่อครู่ตอนที่เห็นเจ้าดูอ่อนแรงจนแทบหมดสติไป เหงื่อเย็นก็ผุดขึ้นมาเต็มหลังของข้า ข้ากลัวเหลือเกิน”หมอทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวังเนื่องจากฉู่เนี่ยนซีเอาแต่พูดคุยกับเย่เฟยหลี และดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยใบหน้าที่ดูโศกเศร้าราวกับว่าทำอะไรผิดของบุรุษเบื้องหน้า นางจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลมากนักฉู่เนี่ยนซีอดทนต่อคลื่นที่หมุนอยู่ในใจและบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปในระหว่างการผ่าตัดก่อนหน้านี้ ความเจ็บปวดจึงลดลงไปไม่น้อยแล้วแต่ถึงอย่างนั้นนางก็จับมือเย่เฟยหลีไว้ไม่ปล่อยหลังจากที่หมอพันผ้าพันแผลให้นางเรียบร้อยแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็จัดเตรียมห้องไว้สำหรับรักษาและพักฟื้นของเหยียนจือซิน และให้เสี่ยวเถาไปคอยรับใช้ฮูหยินเหยียนเย่เหลียนกลับมาที่จวนอ๋องของตน และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออก เขาอาบน้ำอ
เย่เฟยหลียังป้อนอาหารให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยตัวเองเช่นเดียวกับตอนที่นางเจ็บหลัง แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงครั้งก่อนฉู่เนี่ยนซีปฏิเสธทุกวิถีทางเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เสี่ยวเถาเป็นคนป้อน จนเย่เฟยหลีต้องแตะจุดฝังเข็มของนางถึงได้ป้อนอาหารให้นางได้ แต่คราวนี้ฉู่เนี่ยนซีเชื่อฟังเขาอย่างมาก นางผลักออกแค่สองครั้งก็เลิกไป หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปที่เย่เฟยหลีซึ่งยังอยู่ในห้อง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า”นางตั้งใจจะให้เย่เฟยหลีออกไป ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่ได้ แต่เย่เฟยหลีเข้าใจความหมายของฉู่เนี่ยนซีผิด และเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าของนางก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าอยากเปลี่ยนชุดไหน?”ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่เย่เฟยหลีที่กำลังเลือกอย่างตั้งใจโดยไม่พูดอะไร “ข้าจะให้เสี่ยวเถาเปลี่ยนให้ ท่านออกไปเถิด”เย่เฟยหลีซึ่งโดยปกติจะเป็นคนเย็นชาแต่เวลานี้หูของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง หัวใจของเขาร้อนผ่าวเพราะเขาเห็นชุดชั้นในสีแดงท่ามกลางกองเสื้อผ้าฉู่เนี่ยนซีมองดูบุรุษที่ดูคล้ายจะกลายเป็นหิน นางไม่รู้ว่าเขากำ