ในขณะที่ดาบเย็นกำลังโจมตี ฉู่เนี่ยนซีใช้แขนปกป้องร่างกายของเหยียนจือซิน นางจึงโดนโจมตีแทนนางกอดเหยียนจือซินและเบี่ยงหลบชายสวมหน้ากาก แต่ใครจะคิดว่าพลธนูจะยิงธนูเข้าใส่เหยียนจือซินที่อยู่ในอ้อมแขนของฉู่เนี่ยนซีเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้อันน่าสลดใจ เลือดสีแดงก็กระเด็นเต็มฝ่ามือของฉู่เนี่ยนซีเมื่อได้สติ ใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีก็ซีดเผือด รูม่านตาของนางขยายกว้างขึ้น และร้องเรียกเย่เหลียนที่อยู่ใกล้มากที่สุดอย่างไม่มีทางเลือก “ท่านอ๋องเหลียน!”เย่เหลียนได้ยินเสียงและมองไปทางฉู่เนี่ยนซี เขาลงมือจัดการอีก2กระบวนท่าเพื่อขับไล่นักฆ่าที่แข็งแกร่ง จากนั้นจึงวิ่งไปหาฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีส่งเหยียนจือซินไว้ในมือของเย่เหลียน ก่อนจะโยนเข็มเงินไปโจมตีตาขวาของชายสวมหน้ากาก และอาศัยโอกาสนี้ชี้ไปที่ด้านหลังทางฝั่งขวาของเย่เหลียนเย่เหลียนอุ้มเหยียนจือซินขึ้นมาอย่างเข้าใจความหมาย ในขณะที่ฉู่เนี่ยนซีพาเสี่ยวเถาและอีกสามคนวิ่งไปทางรถม้าในบริเวณใกล้เคียงหลังจากที่ทุกคนขึ้นรถแล้วฉู่เนี่ยนซีก็ดึงสายบังเหียนขึ้นแล้วสอดเข็มเงินเข้าที่ก้นของม้าเหล่าม้าตกใจและเตะกีบก่อนจะออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลัง
ฉู่เนี่ยนซีเปิดห้วงว่างเปล่าทันทีและหยิบชุดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่หลากหลายออกมา เช่น ยาชาและมีดผ่าตัดนางสูดหายใจเข้า อดทนต่อความเจ็บปวดที่แขนและฉีดยาชาให้เหยียนจือซิน จากนั้นจึงใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าบนหน้าอกของนางออกดูแผล จากจึงนั้นใช้มีดผ่าตัดกรีดเนื้อให้เปิดออก...ความเจ็บปวดที่ส่งออกมาทำให้ฉู่เนี่ยนซีแทบจะควบคุมแขนของตัวเองไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องกินยาเม็ดเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด แม้ว่าแขนจะยังเคลื่อนไหวได้แต่มันก็ไม่คล่องแคล่วเท่าตอนที่ยังไม่กินยาชา ฉู่เนี่ยนซีมุ่งความสนใจไปที่การรักษาบาดแผล เม็ดเหงื่อเริ่มปกคลุมหน้าผากของนางอย่างหนาแน่น แต่เมื่อเห็นตำแหน่งของหัวลูกธนู เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นมาอีกเท่าตัวตำแหน่งของมันไม่ดีเอาเสียเลย มันใกล้กับหลอดเลือดแดงใหญ่มาก แต่ก็ต้องบอกว่า เหยียนจือซินนั้นโชคดี เพราะหลอดเลือดแดงใหญ่ไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อย่างนั้น ในโลกยุคโบราณที่ไม่มีถุงเลือดสำรองเช่นนี้ ย่อมยากที่จะจัดการกับการแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ตำแหน่งของบาดแผลนั้นไม่ดีอยู่แล้ว บวกกับฉู่เนี่ยนซีเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย การผ่าตัดจึงกินเวลานานกว่าสองชั่วโมงแต่ยังไม่เสร็จสิ้นทั
“ชายาหลีเองก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยซินเอ๋อร์อย่างสุดหัวใจ พระชายา หม่อมฉันจะจดจำความเมตตาของท่านไว้ หากท่านต้องการอะไรจากตระกูลเหยียนก็กล่าวมาได้เลย ตระกูลเหยียนจะฝ่าฟันเพื่อท่านอย่างไม่อิดออด”ดวงตาของฮูหยินเหยียนเต็มไปด้วยน้ำตา และนางก็รู้สึกซาบซึ้งมากจนโค้งคำนับให้ฉู่เนี่ยนซีเพื่อแสดงความขอบคุณเย่เฟยหลีรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าและห้ามฮูหยินเหยียนฉู่เนี่ยนซีสงบลงครู่หนึ่งและได้รับความแข็งแกร่งขึ้น นางกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกผิดกับฮูหยินเหยียน “ฮูหยินเหยียน ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เป็นหม่อมฉันเองที่ควรจะขอโทษท่าน หม่อมฉันปกป้องจือซินได้ไม่ดี หนำซ้ำยังทำให้นางได้รับบาดเจ็บ หม่อมฉันรู้สึกขอโทษต่อท่านจริง ๆ เพคะ” เย่เหลียนที่ยืนนิ่งเงียบเดินเข้าไปด้านข้างฮูหยินเหยียนและอธิบายแทนฉู่เนี่ยนซีฟังว่า “ฮูหยินเหยียน เวลานั้นสถานการณ์มันเร่งด่วนมาก เป็นเพราะความร่วมมือของข้ากับชายาหลีถึงได้หยุดยั้งคนเลวเหล่านั้นได้ การที่แม่นางเหยียนได้รับบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการเห็น แต่ชายาหลีได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นได้โปรดอย่าตำหนิข้าและ
ฝุ่นละอองเล็ก ๆ ในอากาศลอยขึ้นอย่างเบาบางท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านหน้าต่าง ราวกับพวกมันไม่อาจเปิดเผยคำโกหกของคนทั้งสองเย่เฟยหลีเสียใจและพูดว่า “เป็นเพราะข้าประมาทเกินไป ข้าควรจะเตรียมคนไว้คอยปกป้องข้างกายเจ้าแต่ข้ากลับปล่อยให้เจ้าออกไปข้างนอกกับเสี่ยวเถาเพียงลำพัง เมื่อครู่ตอนที่เห็นเจ้าดูอ่อนแรงจนแทบหมดสติไป เหงื่อเย็นก็ผุดขึ้นมาเต็มหลังของข้า ข้ากลัวเหลือเกิน”หมอทำความสะอาดบาดแผลอย่างระมัดระวังเนื่องจากฉู่เนี่ยนซีเอาแต่พูดคุยกับเย่เฟยหลี และดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยใบหน้าที่ดูโศกเศร้าราวกับว่าทำอะไรผิดของบุรุษเบื้องหน้า นางจึงไม่รู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลมากนักฉู่เนี่ยนซีอดทนต่อคลื่นที่หมุนอยู่ในใจและบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปในระหว่างการผ่าตัดก่อนหน้านี้ ความเจ็บปวดจึงลดลงไปไม่น้อยแล้วแต่ถึงอย่างนั้นนางก็จับมือเย่เฟยหลีไว้ไม่ปล่อยหลังจากที่หมอพันผ้าพันแผลให้นางเรียบร้อยแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็จัดเตรียมห้องไว้สำหรับรักษาและพักฟื้นของเหยียนจือซิน และให้เสี่ยวเถาไปคอยรับใช้ฮูหยินเหยียนเย่เหลียนกลับมาที่จวนอ๋องของตน และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออก เขาอาบน้ำอ
เย่เฟยหลียังป้อนอาหารให้ฉู่เนี่ยนซีด้วยตัวเองเช่นเดียวกับตอนที่นางเจ็บหลัง แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงครั้งก่อนฉู่เนี่ยนซีปฏิเสธทุกวิถีทางเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้เสี่ยวเถาเป็นคนป้อน จนเย่เฟยหลีต้องแตะจุดฝังเข็มของนางถึงได้ป้อนอาหารให้นางได้ แต่คราวนี้ฉู่เนี่ยนซีเชื่อฟังเขาอย่างมาก นางผลักออกแค่สองครั้งก็เลิกไป หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็มองไปที่เย่เฟยหลีซึ่งยังอยู่ในห้อง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า”นางตั้งใจจะให้เย่เฟยหลีออกไป ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่ได้ แต่เย่เฟยหลีเข้าใจความหมายของฉู่เนี่ยนซีผิด และเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าของนางก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าอยากเปลี่ยนชุดไหน?”ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่เย่เฟยหลีที่กำลังเลือกอย่างตั้งใจโดยไม่พูดอะไร “ข้าจะให้เสี่ยวเถาเปลี่ยนให้ ท่านออกไปเถิด”เย่เฟยหลีซึ่งโดยปกติจะเป็นคนเย็นชาแต่เวลานี้หูของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง หัวใจของเขาร้อนผ่าวเพราะเขาเห็นชุดชั้นในสีแดงท่ามกลางกองเสื้อผ้าฉู่เนี่ยนซีมองดูบุรุษที่ดูคล้ายจะกลายเป็นหิน นางไม่รู้ว่าเขากำ
หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีเปิดมันออก นางก็เห็นกำไลหยกคุณภาพดีอยู่ข้างใน นางหยิบมันขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง และได้ยินเสี่ยวเถาพูดต่อว่า “ฮูหยินเหยียนบอกว่านี่เป็นสินสอดของแม่นางในตอนนั้น และส่งต่อให้นางใช้เป็นสินสอด เดิมทีมันเป็นคู่ อีกอันอยู่ที่คุณหนูเหยียนเพคะ”“เอาเก็บไว้ดี ๆ”ฉู่เนี่ยนซีวางกำไลหยกกลับคืนแล้วมอบให้เสี่ยวเถานางรู้ว่ากำไลหยกเส้นนี้เป็นตัวแทนของความหวังที่ผู้เป็นแม่มีต่อบุตรสาว และฮูหยินเหยียนก็แสดงความจริงใจต่อนางแล้วรถม้าที่จอดอยู่ที่ทางเข้าจวนอ๋องเหลียนได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรา และสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็แสดงความเคารพจนมากเกินไปเล็กน้อย ราวกับว่ากลัวจะถูกดุหากนางทำหรือพูดอะไรผิดไป เด็กสาวผู้สง่างามคนหนึ่งโผล่ออกมาจากรถม้า หน้าตาของนางสวยงามแต่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว นางลงจากรถม้าโดยมีสาวใช้คอยพยุงอยู่ข้าง ๆ และอุ้มกระโปรงก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปที่ประตูสีแดง“ถวายบังคมองค์หญิงห้าพ่ะย่ะค่ะ” ยามที่อยู่ถัดจากประตูสีชาดทำความเคารพเย่เซวียนเล่อเดินตรงเข้าไปในประตูจวนอ๋องเหลียนราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาสาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดลานบ้านก็คำนับต่อเย่เซวียนเล่อทันทีเมื่อเห็นนาง
เย่เซวียนเล่อเย้ยหยันความคิดของเย่เหลียน พลางคิดว่าตัวเองกำลังเสียเวลา“ตอนนี้ช่วยไม่ได้ แต่อนาคตไม่แน่ น้องห้า หลายวันมานี้ เจ้าน่าจะเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีไม่ใช่คนธรรมดา หากทำให้นางมาเป็นคนของเรา ภายภาคหน้าจะทำเรื่องอันใดก็ไม่ต้องเปลืองแรงเลยไม่ใช่หรือ?”“ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เนี่ยนซีสามารถเป็นสายลับข้างกายเย่เฟยหลีได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเราจะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ทั้งยังคอยมีฉู่เนี่ยนซีคอยเป่าหู พวกเราอยากจะให้เย่เฟยหลี ทำอะไรก็ได้นี่?”เย่เหลียนพูดโน้มน้าว สิ่งที่เขาพูดครึ่งหนึ่งเป็นความจริง อีกครึ่งเป็นเท็จเขาอยากได้ความสามารถของฉู่เนี่ยนซี แต่เขาก็อยากได้ตัวฉู่เนี่ยนซีจริง ๆ ด้วย และหลังจากเขาได้ตัวนางแล้ว เขาก็ไม่คิดจะให้นางอยู่กับเย่เฟยหลี“พี่รอง ที่ท่านต้องเดือดร้อนเพราะซ่างกวานเยียนนั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ? เพราะเรื่องนั้นเสด็จแม่จึงต้องมาลงเอยเช่นนี้ อย่าคิดถึงเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือเหล่านี้อีกเลยเพคะ”เย่เซวียนเล่อยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อนางคิดถึงซ่างกวานเยียน นอกจากนางจะไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดใด อีกทั้งยังตกลงไปในหลุมลึกและไม่สามารถปีนออกมาได้“น้องห้า เจ้าเชื่
“นั่นสิ พี่รองกับพี่สามก็เข้าร่วมด้วยนะ ตอนที่พี่รองพูดเรื่องนี้ในคราที่ไปเยี่ยมเสด็จแม่ ข้าก็ได้อยู่ฟังด้วย ดูน่าสนใจมาก แต่ข้าก็คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีบัณฑิตคนใดเทียบฉู่เนี่ยนซีได้เลย ท้ายที่สุดพวกเขาก็พ่ายให้กับนาง”เย่เซวียนเล่อทอดสายตารังเกียจไปข้างหน้า รู้สึกว่างานบนเรือวันนั้นจัดได้ไม่ดี ทำให้ฉู่เนี่ยนซีขโมยความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวเองคนเดียวสีหน้าของซุนจื่อซีมีความชื่นชมและแปลกใจเล็กน้อย“หม่อมฉันได้ยินมานานแล้วว่าพระชายาหลีมีพรสวรรค์มาก นางไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เท่านั้น แต่นางยังเป็นผู้ที่โดดเด่นของตระกูลที่มีชื่อเสียงในด้านการเขียนบทกวีด้วย หากเป็นเช่นนี้หม่อมฉันไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เสียหน้าและเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่นแต่คงจะดีไม่น้อยหากหม่อมฉันมีความสามารถสักอย่างหนึ่งเหมือนพระชายาหลี ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้หากเป็นคนที่มีสุขภาพดีก็อาจไม่เจ็บป่วยง่าย แต่คงไม่ต้องพูดถึงเสด็จย่าที่ทรงชราภาพแล้ว หากหม่อมฉันสามารถเรียนรู้อะไรจากพระชายาหลีมาได้บ้าง เสด็จย่าก็คงไม่ต้องทรงประชวรและทรมานเช่นนี้ หม่อมฉันทำอะไรไม่ได้เลย”“เรียนรู้?”เย่เซวียนเล่อมองซุน