เย่เซวียนเล่อเย้ยหยันความคิดของเย่เหลียน พลางคิดว่าตัวเองกำลังเสียเวลา“ตอนนี้ช่วยไม่ได้ แต่อนาคตไม่แน่ น้องห้า หลายวันมานี้ เจ้าน่าจะเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีไม่ใช่คนธรรมดา หากทำให้นางมาเป็นคนของเรา ภายภาคหน้าจะทำเรื่องอันใดก็ไม่ต้องเปลืองแรงเลยไม่ใช่หรือ?”“ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เนี่ยนซีสามารถเป็นสายลับข้างกายเย่เฟยหลีได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเราจะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ทั้งยังคอยมีฉู่เนี่ยนซีคอยเป่าหู พวกเราอยากจะให้เย่เฟยหลี ทำอะไรก็ได้นี่?”เย่เหลียนพูดโน้มน้าว สิ่งที่เขาพูดครึ่งหนึ่งเป็นความจริง อีกครึ่งเป็นเท็จเขาอยากได้ความสามารถของฉู่เนี่ยนซี แต่เขาก็อยากได้ตัวฉู่เนี่ยนซีจริง ๆ ด้วย และหลังจากเขาได้ตัวนางแล้ว เขาก็ไม่คิดจะให้นางอยู่กับเย่เฟยหลี“พี่รอง ที่ท่านต้องเดือดร้อนเพราะซ่างกวานเยียนนั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ? เพราะเรื่องนั้นเสด็จแม่จึงต้องมาลงเอยเช่นนี้ อย่าคิดถึงเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือเหล่านี้อีกเลยเพคะ”เย่เซวียนเล่อยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อนางคิดถึงซ่างกวานเยียน นอกจากนางจะไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดใด อีกทั้งยังตกลงไปในหลุมลึกและไม่สามารถปีนออกมาได้“น้องห้า เจ้าเชื่
“นั่นสิ พี่รองกับพี่สามก็เข้าร่วมด้วยนะ ตอนที่พี่รองพูดเรื่องนี้ในคราที่ไปเยี่ยมเสด็จแม่ ข้าก็ได้อยู่ฟังด้วย ดูน่าสนใจมาก แต่ข้าก็คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีบัณฑิตคนใดเทียบฉู่เนี่ยนซีได้เลย ท้ายที่สุดพวกเขาก็พ่ายให้กับนาง”เย่เซวียนเล่อทอดสายตารังเกียจไปข้างหน้า รู้สึกว่างานบนเรือวันนั้นจัดได้ไม่ดี ทำให้ฉู่เนี่ยนซีขโมยความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวเองคนเดียวสีหน้าของซุนจื่อซีมีความชื่นชมและแปลกใจเล็กน้อย“หม่อมฉันได้ยินมานานแล้วว่าพระชายาหลีมีพรสวรรค์มาก นางไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เท่านั้น แต่นางยังเป็นผู้ที่โดดเด่นของตระกูลที่มีชื่อเสียงในด้านการเขียนบทกวีด้วย หากเป็นเช่นนี้หม่อมฉันไม่ออกไปข้างนอกจะดีกว่า เพื่อไม่ให้เสียหน้าและเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่นแต่คงจะดีไม่น้อยหากหม่อมฉันมีความสามารถสักอย่างหนึ่งเหมือนพระชายาหลี ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้หากเป็นคนที่มีสุขภาพดีก็อาจไม่เจ็บป่วยง่าย แต่คงไม่ต้องพูดถึงเสด็จย่าที่ทรงชราภาพแล้ว หากหม่อมฉันสามารถเรียนรู้อะไรจากพระชายาหลีมาได้บ้าง เสด็จย่าก็คงไม่ต้องทรงประชวรและทรมานเช่นนี้ หม่อมฉันทำอะไรไม่ได้เลย”“เรียนรู้?”เย่เซวียนเล่อมองซุน
เย่เซวียนเล่อพูดโดยที่ไม่ได้มีสีหน้ารู้สึกผิด“ฝ่าบาททรงกำลังเครียดเรื่องงานราชการ องค์หญิงห้ามาได้จังหวะพอดี ดูสิว่าฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญเพียงใดที่ได้เห็นองค์หญิง”ฉู่กุ้ยเฟยยิ้มอย่างอ่อนโยนและสง่างาม แต่หางตาของนางดูล้าเล็กน้อย ช่วงนี้นางเหนื่อยมากกับการจัดการเรื่องในวังหลัง“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าในฤดูหนาวเช่นนี้อากาศเย็นจะซึมเข้าร่างกายได้ง่ายที่สุด ดังนั้นลูกจึงเตรียมโจ๊กเห็ดหูหนูขาวใส่พุทราแดงมาเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเพิ่มผงมันฮ่อบดซึ่งมีคุณประโยชน์ในการบำรุงร่างกายอย่างมากเพคะ”เย่เซวียนเล่อหยิบโจ๊กออกมาจากกล่องอาหารและวางอาหารรสเลิศอีกหลายจานไว้บนโต๊ะ“เล่อเอ๋อร์ช่างจิตใจดีนัก”องค์จักรพรรดิยิ้มอย่างอบอุ่นพลางชิมโจ๊กแล้วชมว่ารสชาติดีมาก“เสด็จพ่อ ช่วงนี้ลูกไปอ่านตำรามา ในนั้นเขียนไว้ว่าการบำรุงสุขภาพด้วยอาหารดีกว่าการดื่มยารักษาโรครสขม ๆ ลูกจึงเตรียมของพวกนี้มาให้เสด็จพ่อลองชิมเพคะ”เย่เซวียนเล่อได้กลิ่นหอมอันล้ำลึกในห้องโถง และเมื่อแสงแดดส่องลงมาบนใบหน้าที่สดใสของนาง นางก็ดูอ่อนเยาว์มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น“ทว่าสูตรอาหารที่บันทึกไว้ในตำราไม่ชัดเจนนัก ลูกเกรงว่าวัตถุดิบบางอย่า
“ท่านอ๋อง หมอหลวงจะดูแลอาการบาดเจ็บของพระชายาอย่างดี อีกทั้งยารักษาโรคมากมายในวังก็ดีที่สุดในใต้หล้า ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวลหรอกพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีเฉินพยุงเย่เฟยหลีให้ยืนขึ้นพร้อมพูดกระซิบ “เคราะห์ร้ายอาจให้โชค เคราะห์ดีอาจให้ทุกข์ หากเห็นว่าพระชายาหลีได้รับบาดเจ็บ องค์หญิงห้าคงไม่ทรงรบกวนนางมากเกินไปแน่พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่เย่เฟยหลีส่งขันทีเฉินกลับไป เขาก็นำพระราชโองการไปยังหอนอนของฉู่เนี่ยนซี ส่วนฉู่เนี่ยนซีกำลังให้เสี่ยวเถาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ แม้ว่าจะเป็นยาที่นางคิดค้นขึ้นเอง แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บมากจนนางขมวดคิ้ว“ข้าทำเอง” เย่เฟยหลีเดินเข้ามาหยิบขวดยาจากมือของเสี่ยวเถา เมื่อมองไปที่บาดแผล ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย เขาจัดการโรยผงยาลงบนบาดแผลจนทั่วโดยไม่พูดอะไร แล้วใช้ผ้าพันแผลค่อย ๆ พันไปรอบ ๆฉู่เนี่ยนซีรู้สึกว่าเย่เฟยหลีมีบางอย่างผิดปกติ นางจึงส่งสายตาให้เสี่ยวเถาออกไป นางเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วมองไปยังใบหน้าด้านข้างของเย่เฟยหลี จากนั้นก็ยื่นนิ้วเย็น ๆ ไปเกลี่ยรอยย่นระหว่างคิ้วของเขาให้เรียบ“ข้าได้ยินจากคนข้างนอกว่าขันทีเฉินมาที่นี่ เขามาทำไมหรือ?” เสียงของฉู่เนี่ยนซีแผ่วเบาราวใ
วันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีตื่นแต่เช้าและรับประทานอาหารเช้าที่จวนอ๋องหลี จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวังกับเย่เฟยหลีระหว่างทาง เย่เฟยหลียังคงกำชับฉู่เนี่ยนซีว่าดูแลตัวเองให้ดี ฉู่เนี่ยนซีมองเขาอย่างจนใจพลางพูดว่า “ข้าไม่ยักรู้มาก่อนว่าท่านเป็นคนช่างพูดขนาดนี้”เย่เฟยหลียิ้มอย่างรักใคร่ เพียงแค่จับมือนางไว้และไม่พูดอะไรอีกหลังจากที่ทั้งสองมาถึงก็แยกย้ายกัน คนหนึ่งไปเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการ อีกคนหนึ่งนั่งรถม้าไปยังตำหนักโซ่วคังเมื่อนางกำนัลประจำตำหนักโซ่วคังเห็นรถม้าเคลื่อนเข้ามาจากระยะไกลก็รีบกลับไปทูลฉู่กุ้ยเฟยในทันทีหลังจากที่ฉู่กุ้ยเฟยได้ยินข่าว หยางเหอก็ช่วยประคองนางออกจากหอนอน และพบกับฉู่เนี่ยนซีที่มาถึงแล้ว“ท่านป้า” ฉู่เนี่ยนซีดีใจมากที่ได้เห็นฉู่กุ้ยเฟย แต่นางก็ยังคงทำความเคารพเพื่อรักษามารยาท “ถวายความเคารพกุ้ยเฟยเพคะ”“รีบลุกขึ้นเถิด”ฉู่กุ้ยเฟยยิ้มด้วยความรักและเอ็นดูพลางโบกมือเรียกฉู่เนี่ยนซีให้รีบเข้ามาหาหลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีจับแขนของฉู่กุ้ยเฟย พวกนางก็พูดคุยหัวเราะพร้อมเดินไปที่ศาลาอุ่นร้อนทางฝั่งตะวันออกด้วยกันฉู่กุ้ยเฟยเปิดม่านใสและเดินผ่านห้องโถงหลักไปยังหอนอ
“สองคนนี้ได้รับมอบหมายมาจากกรมวัง หากพวกนางปรนนิบัติเจ้าไม่ดีก็บอกได้เลย”ฉู่กุ้ยเฟยชี้ไปที่นางกำนัลทั้งสองแล้วพูดกับฉู่เนี่ยนซีทันใดนั้นก็มีนางกำนัลผู้หนึ่งเข้ามาจากด้านนอกตำหนัก นางทำความเคารพฉู่กุ้ยเฟยและฉู่เนี่ยนซีแล้วกล่าวว่า “ถวายความเคารพฉู่กุ้ยเฟยและพระชายาหลี หม่อมฉันเป็นคนสนิทขององค์หญิงห้า องค์หญิงทรงตรัสว่าหากพระชายาหลีเข้าวังมาแล้วให้มาพบที่ศาลาจิ่งอวิ๋นเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีและฉู่กุ้ยเฟยมองหน้ากันราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่พวกนางคาดการณ์เอาไว้ฉู่เนี่ยนซีพูดกับนางกำนัลผู้น้อย “ได้ ไปกันเถอะ”ฉู่เนี่ยนซีพูดอีกสองสามคำกับฉู่กุ้ยเฟย จากนั้นนางและเสี่ยวเถาก็ตามนางกำนัลผู้น้อยที่นำทางไปยังศาลาจิ่งอวิ๋นศาลาจิ่งอวิ๋นแตกต่างจากตำหนักโซ่วคัง เย่เซวียนเล่อ ได้รับความโปรดปรานอย่างสุดซึ้งจากทั้งฮองเฮาและองค์จักรพรรดิ ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้ตกแต่งศาลาจิ่งอวิ๋นอย่างงดงามเป็นพิเศษแค่ผ้าที่ใช้ทำม่านแขวนตรงทางเข้าห้องโถงใหญ่ก็ใช้ทองคำและเงินเป็นจำนวนมากฉู่เนี่ยนซีที่เข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็เห็นองค์หญิงห้านั่งอยู่ตรงที่นั่งเจ้าบ้านพลางมองนางอย่างอวดดีนางเพียงมองกลับไปด้วยสีหน้าสงบ ไม่ทำท่
จนกระทั่งเย่เซวียนเล่อสั่งให้นางกำนัลหยิบพู่กันและกระดาษมาให้ ฉู่เนี่ยนซีจึงหันมาสนใจอีกเรื่องแทนเย่เซวียนเล่อจดบันทึกสูตรอาหารบำรุงกระเพาะอาหารทีละรายการตามที่ฉู่เนี่ยนซีพูด ทว่าหลังจากที่เขียนสูตรอาหารไปแล้วห้าอย่างแต่ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดฉู่เนี่ยนซีที่กำลังพูดถึงอาหารอย่างที่หกก็หยุดกะทันหันและพูดกับเย่เซวียนเล่อ “สิ่งที่หม่อมฉันพูดเมื่อครู่นี้ผิดไปองค์หญิงทรงจดใหม่อีกครั้งนะเพคะ”เย่เซวียนเล่อจ้องฉู่เนี่ยนซี แต่ฉู่เนี่ยนซีเพียงมองไปที่ชาสีเข้มในถ้วยและทำทีไม่สนใจนาง“หม่อมฉันพูดผิดอีกแล้ว องค์หญิงห้าทรงจดใหม่นะเพคะ”“องค์หญิงห้าทรงจดใหม่อีกครั้ง…”……“ฉู่เนี่ยนซี นี่เจ้าล้อข้าเล่นรึ!”ในที่สุดเย่เซวียนเล่อก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางโยนพู่กันในมือทิ้ง ดวงตาของนางเบิกกว้างราวกับเถาองุ่นขึ้น“จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะเพคะ แต่จริง ๆ สิ่งที่เขียนไปก็เพียงพอแล้วสำหรับหลายวันต่อจากนี้ องค์หญิงห้าสามารถเขียนเพิ่มไว้อีกสองฉบับ เก็บไว้กับตัวท่านหนึ่งฉบับ มอบให้ไทเฮาหนึ่งฉบับ และอีกหนึ่งฉบับส่งไปที่ตำหนักโซ่วคัง องค์จักรพรรดิจะได้ทรงทราบถึงความกตัญญูขององค์หญิงห้า นั่นคงจะเป็นเรื
ฉู่กุ้ยเฟยตอบอย่างอ่อนโยน “ตลอดทางมาที่นี่อากาศหนาวเย็น เพราะการมาของเหล่าสนม เช่นนั้นข้าจึงเตรียมอ่างถ่านเพิ่มไว้ในตำหนักโซ่วคังเป็นพิเศษ ซีเอ๋อร์นางได้รับบาดเจ็บที่แขนจึงไม่เหมาะที่จะอยู่ในสถานที่ที่ร้อนเกินไป เพราะอาจติดเชื้อได้ง่าย เช่นนั้นข้าจึงไม่ได้ให้นางมา”“เป็นเช่นนี้นี่เอง เดิมทีหม่อมฉันมีเรื่องที่อยากจะถามชายาหลีเพราะนางเป็นหมอมีฝีมือ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงไม่สะดวกจะรบกวนนาง” นางสนมพยักหน้าและกล่าวอย่างเสียดาย“มีเรื่องอะไรหรือ?” ฉู่กุ้ยเฟยถาม“หม่อมฉันเข้าวังมาปีกว่าแล้ว แต่ท้องของหม่อมฉันกลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลย ไม่กี่เดือนก่อนพระชายาฉิงให้กำเนิดองค์ชาย หม่อมฉันจึงรู้สึกอิจฉามากน่ะเพคะ”“นอกจากนี้ แม้ว่าพระชายาฉิงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่สุขภาพของนางก็ไม่ดีขึ้นเลย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หม่อมฉันเห็นนางไม่ถึงสองครั้งด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรวมตัวพบปะตอนเช้าและตอนเย็นเลยเพคะ”นางสนมสูงอายุในชุดสีฟ้าน้ำทะเลคนหนึ่งกล่าวขึ้น“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปเยี่ยมพระชายาฉิง ร่างกายของนางดูอ่อนแอลงมากจริง ๆ แต่ก็มีการกำชับกับหมอหลวงให้ดูแลนางเป็นพิเศษแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ