“ท่านอ๋อง หมอหลวงจะดูแลอาการบาดเจ็บของพระชายาอย่างดี อีกทั้งยารักษาโรคมากมายในวังก็ดีที่สุดในใต้หล้า ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องกังวลหรอกพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีเฉินพยุงเย่เฟยหลีให้ยืนขึ้นพร้อมพูดกระซิบ “เคราะห์ร้ายอาจให้โชค เคราะห์ดีอาจให้ทุกข์ หากเห็นว่าพระชายาหลีได้รับบาดเจ็บ องค์หญิงห้าคงไม่ทรงรบกวนนางมากเกินไปแน่พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่เย่เฟยหลีส่งขันทีเฉินกลับไป เขาก็นำพระราชโองการไปยังหอนอนของฉู่เนี่ยนซี ส่วนฉู่เนี่ยนซีกำลังให้เสี่ยวเถาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ แม้ว่าจะเป็นยาที่นางคิดค้นขึ้นเอง แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บมากจนนางขมวดคิ้ว“ข้าทำเอง” เย่เฟยหลีเดินเข้ามาหยิบขวดยาจากมือของเสี่ยวเถา เมื่อมองไปที่บาดแผล ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย เขาจัดการโรยผงยาลงบนบาดแผลจนทั่วโดยไม่พูดอะไร แล้วใช้ผ้าพันแผลค่อย ๆ พันไปรอบ ๆฉู่เนี่ยนซีรู้สึกว่าเย่เฟยหลีมีบางอย่างผิดปกติ นางจึงส่งสายตาให้เสี่ยวเถาออกไป นางเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วมองไปยังใบหน้าด้านข้างของเย่เฟยหลี จากนั้นก็ยื่นนิ้วเย็น ๆ ไปเกลี่ยรอยย่นระหว่างคิ้วของเขาให้เรียบ“ข้าได้ยินจากคนข้างนอกว่าขันทีเฉินมาที่นี่ เขามาทำไมหรือ?” เสียงของฉู่เนี่ยนซีแผ่วเบาราวใ
วันรุ่งขึ้น ฉู่เนี่ยนซีตื่นแต่เช้าและรับประทานอาหารเช้าที่จวนอ๋องหลี จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวังกับเย่เฟยหลีระหว่างทาง เย่เฟยหลียังคงกำชับฉู่เนี่ยนซีว่าดูแลตัวเองให้ดี ฉู่เนี่ยนซีมองเขาอย่างจนใจพลางพูดว่า “ข้าไม่ยักรู้มาก่อนว่าท่านเป็นคนช่างพูดขนาดนี้”เย่เฟยหลียิ้มอย่างรักใคร่ เพียงแค่จับมือนางไว้และไม่พูดอะไรอีกหลังจากที่ทั้งสองมาถึงก็แยกย้ายกัน คนหนึ่งไปเข้าเฝ้าอย่างเป็นทางการ อีกคนหนึ่งนั่งรถม้าไปยังตำหนักโซ่วคังเมื่อนางกำนัลประจำตำหนักโซ่วคังเห็นรถม้าเคลื่อนเข้ามาจากระยะไกลก็รีบกลับไปทูลฉู่กุ้ยเฟยในทันทีหลังจากที่ฉู่กุ้ยเฟยได้ยินข่าว หยางเหอก็ช่วยประคองนางออกจากหอนอน และพบกับฉู่เนี่ยนซีที่มาถึงแล้ว“ท่านป้า” ฉู่เนี่ยนซีดีใจมากที่ได้เห็นฉู่กุ้ยเฟย แต่นางก็ยังคงทำความเคารพเพื่อรักษามารยาท “ถวายความเคารพกุ้ยเฟยเพคะ”“รีบลุกขึ้นเถิด”ฉู่กุ้ยเฟยยิ้มด้วยความรักและเอ็นดูพลางโบกมือเรียกฉู่เนี่ยนซีให้รีบเข้ามาหาหลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีจับแขนของฉู่กุ้ยเฟย พวกนางก็พูดคุยหัวเราะพร้อมเดินไปที่ศาลาอุ่นร้อนทางฝั่งตะวันออกด้วยกันฉู่กุ้ยเฟยเปิดม่านใสและเดินผ่านห้องโถงหลักไปยังหอนอ
“สองคนนี้ได้รับมอบหมายมาจากกรมวัง หากพวกนางปรนนิบัติเจ้าไม่ดีก็บอกได้เลย”ฉู่กุ้ยเฟยชี้ไปที่นางกำนัลทั้งสองแล้วพูดกับฉู่เนี่ยนซีทันใดนั้นก็มีนางกำนัลผู้หนึ่งเข้ามาจากด้านนอกตำหนัก นางทำความเคารพฉู่กุ้ยเฟยและฉู่เนี่ยนซีแล้วกล่าวว่า “ถวายความเคารพฉู่กุ้ยเฟยและพระชายาหลี หม่อมฉันเป็นคนสนิทขององค์หญิงห้า องค์หญิงทรงตรัสว่าหากพระชายาหลีเข้าวังมาแล้วให้มาพบที่ศาลาจิ่งอวิ๋นเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีและฉู่กุ้ยเฟยมองหน้ากันราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่พวกนางคาดการณ์เอาไว้ฉู่เนี่ยนซีพูดกับนางกำนัลผู้น้อย “ได้ ไปกันเถอะ”ฉู่เนี่ยนซีพูดอีกสองสามคำกับฉู่กุ้ยเฟย จากนั้นนางและเสี่ยวเถาก็ตามนางกำนัลผู้น้อยที่นำทางไปยังศาลาจิ่งอวิ๋นศาลาจิ่งอวิ๋นแตกต่างจากตำหนักโซ่วคัง เย่เซวียนเล่อ ได้รับความโปรดปรานอย่างสุดซึ้งจากทั้งฮองเฮาและองค์จักรพรรดิ ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้ตกแต่งศาลาจิ่งอวิ๋นอย่างงดงามเป็นพิเศษแค่ผ้าที่ใช้ทำม่านแขวนตรงทางเข้าห้องโถงใหญ่ก็ใช้ทองคำและเงินเป็นจำนวนมากฉู่เนี่ยนซีที่เข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็เห็นองค์หญิงห้านั่งอยู่ตรงที่นั่งเจ้าบ้านพลางมองนางอย่างอวดดีนางเพียงมองกลับไปด้วยสีหน้าสงบ ไม่ทำท่
จนกระทั่งเย่เซวียนเล่อสั่งให้นางกำนัลหยิบพู่กันและกระดาษมาให้ ฉู่เนี่ยนซีจึงหันมาสนใจอีกเรื่องแทนเย่เซวียนเล่อจดบันทึกสูตรอาหารบำรุงกระเพาะอาหารทีละรายการตามที่ฉู่เนี่ยนซีพูด ทว่าหลังจากที่เขียนสูตรอาหารไปแล้วห้าอย่างแต่ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดฉู่เนี่ยนซีที่กำลังพูดถึงอาหารอย่างที่หกก็หยุดกะทันหันและพูดกับเย่เซวียนเล่อ “สิ่งที่หม่อมฉันพูดเมื่อครู่นี้ผิดไปองค์หญิงทรงจดใหม่อีกครั้งนะเพคะ”เย่เซวียนเล่อจ้องฉู่เนี่ยนซี แต่ฉู่เนี่ยนซีเพียงมองไปที่ชาสีเข้มในถ้วยและทำทีไม่สนใจนาง“หม่อมฉันพูดผิดอีกแล้ว องค์หญิงห้าทรงจดใหม่นะเพคะ”“องค์หญิงห้าทรงจดใหม่อีกครั้ง…”……“ฉู่เนี่ยนซี นี่เจ้าล้อข้าเล่นรึ!”ในที่สุดเย่เซวียนเล่อก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางโยนพู่กันในมือทิ้ง ดวงตาของนางเบิกกว้างราวกับเถาองุ่นขึ้น“จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะเพคะ แต่จริง ๆ สิ่งที่เขียนไปก็เพียงพอแล้วสำหรับหลายวันต่อจากนี้ องค์หญิงห้าสามารถเขียนเพิ่มไว้อีกสองฉบับ เก็บไว้กับตัวท่านหนึ่งฉบับ มอบให้ไทเฮาหนึ่งฉบับ และอีกหนึ่งฉบับส่งไปที่ตำหนักโซ่วคัง องค์จักรพรรดิจะได้ทรงทราบถึงความกตัญญูขององค์หญิงห้า นั่นคงจะเป็นเรื
ฉู่กุ้ยเฟยตอบอย่างอ่อนโยน “ตลอดทางมาที่นี่อากาศหนาวเย็น เพราะการมาของเหล่าสนม เช่นนั้นข้าจึงเตรียมอ่างถ่านเพิ่มไว้ในตำหนักโซ่วคังเป็นพิเศษ ซีเอ๋อร์นางได้รับบาดเจ็บที่แขนจึงไม่เหมาะที่จะอยู่ในสถานที่ที่ร้อนเกินไป เพราะอาจติดเชื้อได้ง่าย เช่นนั้นข้าจึงไม่ได้ให้นางมา”“เป็นเช่นนี้นี่เอง เดิมทีหม่อมฉันมีเรื่องที่อยากจะถามชายาหลีเพราะนางเป็นหมอมีฝีมือ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคงไม่สะดวกจะรบกวนนาง” นางสนมพยักหน้าและกล่าวอย่างเสียดาย“มีเรื่องอะไรหรือ?” ฉู่กุ้ยเฟยถาม“หม่อมฉันเข้าวังมาปีกว่าแล้ว แต่ท้องของหม่อมฉันกลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลย ไม่กี่เดือนก่อนพระชายาฉิงให้กำเนิดองค์ชาย หม่อมฉันจึงรู้สึกอิจฉามากน่ะเพคะ”“นอกจากนี้ แม้ว่าพระชายาฉิงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แต่สุขภาพของนางก็ไม่ดีขึ้นเลย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หม่อมฉันเห็นนางไม่ถึงสองครั้งด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรวมตัวพบปะตอนเช้าและตอนเย็นเลยเพคะ”นางสนมสูงอายุในชุดสีฟ้าน้ำทะเลคนหนึ่งกล่าวขึ้น“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปเยี่ยมพระชายาฉิง ร่างกายของนางดูอ่อนแอลงมากจริง ๆ แต่ก็มีการกำชับกับหมอหลวงให้ดูแลนางเป็นพิเศษแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ
“เจ้ายังจำพระชายาฉิงผู้ที่เจ้าผ่าคลอดเพื่อช่วยลูกชายของนางเมื่อสองสามเดือนก่อนได้หรือไม่?”น้ำเสียงของฉู่กุ้ยเฟยนั้นอ่อนโยนเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านในเดือนเมษายน“จำได้เพคะ”“ช่วงนี้สุขภาพของนางย่ำแย่ลงมาก ถึงจะดื่มยาสมุนไพรแล้วก็ไม่เป็นผล ข้าเห็นนางแล้วก็รู้สึกสงสาร เช่นนั้นจึงอยากรบกวนซีเอ๋อร์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ช่วยไปดูนางให้ข้าที”แม้ว่าศีรษะจะคลุมด้วยผ้าม่านสีแดงเข้มที่ปักลวดลายละเอียดอ่อนเช่นเมล็ดบัวและเถาวัลย์ แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแรงบนใบหน้าของฉู่กุ้ยเฟยฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและกุมนิ้วเรียวยาวของฉู่กุ้ยเฟยพลางกำชับขึ้นว่า “ท่านป้าอย่าทรงหักโหมมากเกินไป ท่านทรงตั้งครรภ์อยู่นะเพคะ”หลังจากพูดคุยกับฉู่กุ้ยเฟยอีกครู่ ฉู่เนี่ยนซีก็ให้ฉู่กุ้ยเฟยได้พักผ่อนหลังจากที่นางหลับไป ฉู่เนี่ยนซีก็ออกจากห้องบรรทม ก่อนจะเรียกเสี่ยวเถาและหยางเหอพร้อมกับบอกหยางเหอให้เฝ้าดูฉู่กุ้ยเฟยอย่างใกล้ชิด หากนางรู้สึกไม่สบายจะได้ตามหาคนได้ทันเวลาหยางเหอรับคำสั่ง และได้ยินว่าฉู่เนี่ยนซีต้องการไปเยี่ยมพระชายาฉิง เช่นนั้นจึงสั่งให้หวนเอ๋อร์นำทางไปที่นั่นจะได้ไม่หลงทางในสภาพอา
พวกเขาทั้งสองเดินไปที่ประตูพระราชวัง เย่เหลียนก็เหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างมีความหมาย“ข้าจะไม่แตะต้องนาง”หลังจากพูดจบเย่เหลียนก็ขึ้นเกี้ยวไป ยามที่อยู่ด้านข้างลดม่านลง ก่อนจะพยักหน้าทำความเคารพเย่เฟยหลีแล้วจากไปเย่เฟยหลีขี่ม้าตัวสูงหันหลังให้กลุ่มคน เหลียงหยวนขี่ม้าตามมาที่ด้านข้างก่อนจะกระซิบเสียงต่ำ “ท่านอ๋อง กระหม่อมตรวจสอบแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฝีมือของท่านอ๋องเหลียนพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”“อะไร?”ใบหน้าที่เย็นชาของเย่เฟยหลีไม่ได้ผ่อนคลาย คิ้วของเขาขมวดและดูเย่อหยิ่ง แต่รัศมีอันเยือกเย็นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขานั้นก็ทำให้เขาดูภูมิฐานมาก“ช่วงนี้ท่านอ๋องเหลียนไปมาหอการแพทย์บ่อยครั้ง เขาส่งของบางสิ่งไปเป็นครั้งคราว รวมถึงเงิน เครื่องประดับ และวัสดุยาล้ำค่า ส่วนหอการแพทย์ก็รับไว้ตามคำสั่งโดยไม่ปฏิเสธด้วยขอรับ” เหลียงหยวนพูดกับเย่เฟยหลีอย่างเป็นกังวล“ตรวจสอบอย่างละเอียด”“ขอรับ”ฉู่เนี่ยนซี เสี่ยวเถา และหวนเอ๋อร์มาถึงตำหนักเต๋อซิ่งของพระชายาฉิง เมื่อแม่นมที่รออยู่ด้านข้างเห็นฉู่เนี่ยนซีจึงรีบโค้งคำนับแล้วกล่าวกับนางว่า “น่าเสียดายที่พระชายาหลีเสด็จมาที่นี่เวลานี้ ตอนนี้
นางกำนัลอาวุโสคนนั้นเป็นหญิงชราที่ฉลาด นางอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจน และเห็นได้ชัดว่านางเป็นห่วงพระชายาฉิงจริง ๆฉู่เนี่ยนซีโน้มตัวไปข้างหน้าและจับแขนของนางไว้ เมื่อเสี่ยวเถาและหวนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นรีบพยุงนางกำนัลอาวุโสให้ลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นนางกำนัลอาวุโสร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม ฉู่เนี่ยนซีก็ทนไม่ไหว“วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะคำขอจากฉู่กุ้ยเฟย ท่านป้าของข้า ท่านไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้ว ข้าก็จะพยายามรักษาพระชายาฉิงอย่างเต็มที่แน่นอน”“ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ”นางกำนัลอาวุโสดีใจมาก ขณะที่กำลังปาดน้ำตาก็เห็นสาวใช้ตัวน้อยวิ่งเข้ามา“ทูลพระชายา ชายาฉิงทรงตื่นจากบรรทมแล้วเพคะ พอทราบว่าพระชายาเสด็จมาที่นี่ จึงสั่งให้บ่าวรีบเชิญพระชายาไปที่ตำหนักเพคะ”ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีเข้ามาในพระตำหนักนางก็รู้สึกถึงความร้อนไปทั่วร่างกาย ช่องมังกรดินในตำหนักร้อนแรงเป็นพิเศษ แต่พระชายาฉิงก็ยังวางอ่างถ่านเพิ่มอีกสองอ่างราวกับนางกลัวความหนาวนางเดินไปที่ข้างเตียงและมองพระชายาฉิงที่ครั้งหนึ่งเคยมีเนื้อหนัง แต่ตอนนี้กลับผอมแห้ง จนแม้แต่ชุดนอนก็ดูหลวมโพรกนางทักทายพระชายาฉิงก่อ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย