พวกเขาทั้งสองเดินไปที่ประตูพระราชวัง เย่เหลียนก็เหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างมีความหมาย“ข้าจะไม่แตะต้องนาง”หลังจากพูดจบเย่เหลียนก็ขึ้นเกี้ยวไป ยามที่อยู่ด้านข้างลดม่านลง ก่อนจะพยักหน้าทำความเคารพเย่เฟยหลีแล้วจากไปเย่เฟยหลีขี่ม้าตัวสูงหันหลังให้กลุ่มคน เหลียงหยวนขี่ม้าตามมาที่ด้านข้างก่อนจะกระซิบเสียงต่ำ “ท่านอ๋อง กระหม่อมตรวจสอบแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฝีมือของท่านอ๋องเหลียนพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”“อะไร?”ใบหน้าที่เย็นชาของเย่เฟยหลีไม่ได้ผ่อนคลาย คิ้วของเขาขมวดและดูเย่อหยิ่ง แต่รัศมีอันเยือกเย็นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขานั้นก็ทำให้เขาดูภูมิฐานมาก“ช่วงนี้ท่านอ๋องเหลียนไปมาหอการแพทย์บ่อยครั้ง เขาส่งของบางสิ่งไปเป็นครั้งคราว รวมถึงเงิน เครื่องประดับ และวัสดุยาล้ำค่า ส่วนหอการแพทย์ก็รับไว้ตามคำสั่งโดยไม่ปฏิเสธด้วยขอรับ” เหลียงหยวนพูดกับเย่เฟยหลีอย่างเป็นกังวล“ตรวจสอบอย่างละเอียด”“ขอรับ”ฉู่เนี่ยนซี เสี่ยวเถา และหวนเอ๋อร์มาถึงตำหนักเต๋อซิ่งของพระชายาฉิง เมื่อแม่นมที่รออยู่ด้านข้างเห็นฉู่เนี่ยนซีจึงรีบโค้งคำนับแล้วกล่าวกับนางว่า “น่าเสียดายที่พระชายาหลีเสด็จมาที่นี่เวลานี้ ตอนนี้
นางกำนัลอาวุโสคนนั้นเป็นหญิงชราที่ฉลาด นางอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจน และเห็นได้ชัดว่านางเป็นห่วงพระชายาฉิงจริง ๆฉู่เนี่ยนซีโน้มตัวไปข้างหน้าและจับแขนของนางไว้ เมื่อเสี่ยวเถาและหวนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้นรีบพยุงนางกำนัลอาวุโสให้ลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นนางกำนัลอาวุโสร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม ฉู่เนี่ยนซีก็ทนไม่ไหว“วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะคำขอจากฉู่กุ้ยเฟย ท่านป้าของข้า ท่านไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้ว ข้าก็จะพยายามรักษาพระชายาฉิงอย่างเต็มที่แน่นอน”“ขอบพระทัยพระชายามากเพคะ”นางกำนัลอาวุโสดีใจมาก ขณะที่กำลังปาดน้ำตาก็เห็นสาวใช้ตัวน้อยวิ่งเข้ามา“ทูลพระชายา ชายาฉิงทรงตื่นจากบรรทมแล้วเพคะ พอทราบว่าพระชายาเสด็จมาที่นี่ จึงสั่งให้บ่าวรีบเชิญพระชายาไปที่ตำหนักเพคะ”ทันทีที่ฉู่เนี่ยนซีเข้ามาในพระตำหนักนางก็รู้สึกถึงความร้อนไปทั่วร่างกาย ช่องมังกรดินในตำหนักร้อนแรงเป็นพิเศษ แต่พระชายาฉิงก็ยังวางอ่างถ่านเพิ่มอีกสองอ่างราวกับนางกลัวความหนาวนางเดินไปที่ข้างเตียงและมองพระชายาฉิงที่ครั้งหนึ่งเคยมีเนื้อหนัง แต่ตอนนี้กลับผอมแห้ง จนแม้แต่ชุดนอนก็ดูหลวมโพรกนางทักทายพระชายาฉิงก่อ
หลังจากสั่งให้ทุกคนออกไปหมดแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็เปลื้องอาภรณ์ของพระชายาฉิงออก แล้วจึงหยิบเข็มเงินออกมาก่อนจะแทงไปที่จุดฝังเข็มต่าง ๆ บนร่างกายของนาง ฉู่เนี่ยนซีพุ่งความสนใจไปที่มันแต่ก็ไม่ได้ใช้ความพยายามมากนัก หลังจากรอประมาณสิบห้านาทีจึงดึงเข็มออกฉู่เนี่ยนซีจัดอาภรณ์ให้พระชายาฉิงและห่มผ้าห่มให้นางหลังจากยุ่งมาระยะหนึ่ง ประกอบกับความร้อนในห้อง ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกว่ามีเหงื่อผุดขึ้นบนหลังของนางจนชุดชั้นในเปียกโชกนางใช้หลังมือเช็ดเหงื่อจากปลายจมูก และทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าตอนที่นางถอดอาภรณ์ให้พระชายาฉิงนางไม่เห็นคราบเหงื่อบนร่างกายของชายาฉิงเลยนางอยู่ในเรือนที่ร้อนเช่นนี้โดยปิดประตูและหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนาจนไม่มีลมเข้ามา แถมยังห่มผ้าห่มฤดูหนาวด้วย เหตุใดพระชายาฉิงถึงไม่รู้สึกร้อนกันล่ะ?ฉู่เนี่ยนซีระงับความสงสัยในใจและเรียกคนที่อยู่นอกประตูเข้ามาฉู่เนี่ยนซีพูดกับนางกำนัลอาวุโสว่า “พระชายาต้องพักผ่อน และสูดอากาศบริสุทธิ์แม้ในฤดูหนาว ทุกวันในยามที่แสงแดดร้อนที่สุดเจ้าจงเปิดหน้าต่างเพื่อรับลม ไม่ต้องนานนัก อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อให้พระชายามีกำลังวังชาขึ้น หลังอาหารกลางว
“ตกลงเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีรับปากและกำลังจะจากไป เมื่อดวงตาเหลือบไปเห็นอ่างถ่านที่กำลังลุกไหม้ทั้งสองอ่าง และกระแสไฟก็แวบเข้าไปในใจของนาง แต่กระแสไฟนั้นเร็วเกินไปและนางก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรฉู่เนี่ยนซีขอให้หวนเอ๋อร์นำทางไปยังตำหนักขององค์ชาย ตลอดทางนางไม่พูดอะไรเลย และเอาแต่ขบคิดว่าเหตุใดพระชายาฉิงถึงได้ป่วยหนักเช่นนั้น แสงแดดจ้าตกกระทบคิ้วอันงดงามและละเอียดอ่อนทำให้ดวงตาของนางชัดเจนยิ่งขึ้นเสี่ยวเถาเรียกนางเบา ๆ จากด้านข้าง “พระชายาเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นเพื่อตอบรับ จากนั้นก็เห็นเย่เฟยลี่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความดื้อรั้นและความเยือกเย็นกำลังเอนกายอยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาที่ลุกเป็นไฟของเขาจ้องมาที่นางเท่านั้น เสี่ยวเถาและหวนเอ๋อร์ทำความเคารพเย่เฟยหลีแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว เย่เฟยหลีเกี่ยวมือนางไว้ แต่ฉู่เนี่ยนซียืนอยู่กับที่และมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลและอบอุ่น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืนขึ้นข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี“ท่านมาที่นี่ทำไม?” ฉู่เนี่ยนซีถามขณะมองไปที่ดวงตาที่เหมือนสระน้ำของเย่เฟยหลีเย่เฟยหลีจับนิ้วสีขาวบาง ๆ ของฉู่เหนียนซี สัมผัสถึงความกังวลและความทุกข์ระหว่างคิ้วของเ
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองแล้วเดินไปที่โต๊ะ ชามน้ำมีช้อนเล็ก ๆ วางอยู่ในนั้น คาดว่าน่าจะเอาไว้ป้อนเด็กฉู่เนี่ยนซีเหยียดนิ้วก่อนจะจุ่มลงไป อุณหภูมิของน้ำเย็นทะลุเลือดผ่านปลายนิ้วกระทบหัวใจของนางทันที นางเหยียดนิ้วออกและเลียหยดน้ำ ก่อนที่ดวงตาที่สวยงามของนางจะเปล่งประกายไฟนางอุ้มเด็กขึ้นมาและไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใด ๆ ของเขา“เสี่ยวเถา ถือชามน้ำนั้นไว้”“เพคะ”ฉู่เนี่ยนซีอุ้มเด็กไว้ก่อนจะห่อเขาในผ้าห่มผืนเล็กอย่างแน่นหนา และเดินเข้าไปหานางกำนัลอาวุโสสองคนนั้นด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเย็นชาและดุร้าย“พวกเจ้าป้อนยาขับเหงื่อให้เด็กเล็กแค่นี้อย่างนั้นรึ ช่างกล้ายิ่งนัก!”เย่เฟยหลีมองทารกในอ้อมแขนของนางด้วยความประหลาดใจ โดยกังวลอาการบาดเจ็บของแขนนาง จึงรับเด็กทารกมาไว้ในอ้อมแขนของเขาแทน ทารกไม่ร้องไห้หรือเอะอะโวยวาย และดูเหมือนไร้ความรู้สึก นางกำนัลอาวุโสทั้งสองมองหน้ากัน คนหนึ่งถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างตำหนิ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พระชายาอาจไม่ทราบ องค์ชายแปดเอาแต่ร้องไห้ บ่าวจึงรู้สึกสงสารมาก กลัวว่าพระองค์จะร้องไห้จนเสียสุขภาพ จึงได้ป้อนยาให้กับองค์ชายเพียงเล็กน้อยพอให้องค์ชายแปดได้
ไม่ง่ายนักที่ฉู่กุ้ยเฟยจะทำความเคารพด้วยพุงโต ๆ ของนาง องค์จักรพรรดิจึงยื่นพระหัตถ์ช่วยพยุงนางขึ้นมานั่งข้าง ๆ พระองค์ทรงสงบลงแล้วตรัสว่า “เรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นความประมาทเลินเล่อของข้าที่ยอมให้ทาสต่ำต้อยที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีทำเรื่องร้ายแรงต่อองค์ชายเช่นนั้น”“พระองค์ทรงเหนื่อยกับงานราชกิจของวังหน้ามากแล้ว ดังนั้นหม่อมฉันที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ย่อมเต็มใจน้อมรับบทลงโทษเพคะ”ฉู่กุ้ยเฟยลูบหลังปลอบโยนองค์จักรพรรดิ“พาตัวไปที่กองอารักขา หากทำการทรมานแล้วพวกนางยังไม่ปริปาก ก็ให้ขับไล่ออกจากวังเสีย”น้ำเสียงสงบขององค์จักรพรรดิเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างยิ่ง ราวกับลมหนาวที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะที่พัดผ่านร่างกายไปจนถึงหัวใจของนางกำนัลอาวุโสทั้งสองเมื่อนางกำนัลอาวุโสทั้งสองคนถูกขันทีลากตัวออกไป เสียงร้องขอความช่วยเหลืออันวุ่นวายก็ค่อย ๆ จางหายไปฉู่เนี่ยนซีที่มาจากห้องโถงด้านข้างทำความเคารพองค์จักรพรรดิและฉู่กุ้ยเฟย “หม่อมฉันได้เตรียมยาไว้ให้คนที่เหมาะสมแล้วเพคะ ฉู่กุ้ยเฟยเลือกแม่นมที่เชื่อใจได้มาลองดื่ม อีกทั้งได้ให้องค์ชายดื่มไปด้วย ขอเสด็จพ่อและฉู่กุ้ยเฟยโปรดท
“ท่านป้า ช่วงนี้รู้สึกว่าที่ตำหนักโซ่วคังมีอะไรที่ผิดสังเกตหรือไม่เจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีตรวจสอบชีพจรของทั้งฉู่กุ้ยเฟยและพระชายาฉิง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เดิมทีคิดว่ามันเป็นเพียงอาการอ่อนเพลียทั่วไป แต่ตอนนี้พอมาไตร่ตรองดูดี ๆ ก็ตระหนักว่าผิดปกติจริง ๆ“ไม่นะ ทุกอย่างก็เหมือนปกติ” ฉู่กุ้ยเฟยคิดทบทวนแล้วส่ายหัวฉู่เนี่ยนซีก้มหน้าใช้ความคิด ขนตาที่ยาวและหนาของนางกระพริบขึ้นลงราวกับผีเสื้อที่บินเข้าไปในดอกไม้ด้วยความหวาดกลัว“ท่านป้า ดูเหมือนว่ามีคนพยายามแอบสร้างปัญหาอยู่นะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีมองฉู่กุ้ยเฟยด้วยแววตาคมปลาบเหมือนสระน้ำที่ถูกรบกวนด้วยคลื่นที่ซัดสาด แต่ยังมั่นคงราวกับภูเขาที่บรรจุความรู้สึกดื้อรั้น“หมายความว่าอย่างไร?”ดวงตาที่งดงามของฉู่กุ้ยเฟยฉายแววสงสัย สายตาของนางค่อย ๆ จ้องมองไปยังลวดลายที่ปักบนกระโปรงของฉู่เนี่ยนซี ขณะนั้นความคิดต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของนางเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระชายาฉิงและองค์ชายรวมทั้งตนเอง ทันใดนั้นฉู่กุ้ยเฟยก็มองไปที่ฉู่เนี่ยนซี และเห็นความประหลาดใจของตนในม่านตาที่เย็นชาคล้ายหมอกของนาง“เจ้าหมายความว่าพระชายาฉิงและข้าต่างก็ถูกวาง
“แล้วอาหารบำรุงของวันนี้ล่ะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ”ฉู่เนี่ยนซีอาศัยจังหวะที่นางกำนัลอาวุโสไปหยิบอาหารอธิบายให้พระชายาฉิงฟังว่า “พระชายา หม่อมฉันคิดว่าสาเหตุที่ทำให้พระนางป่วยหนักนั้นไม่ได้เกิดจากการประสูติองค์ชายเพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะมีคนใช้ประโยชน์จากร่างกายที่อ่อนแอของพระนางเพื่อสร้างปัญหาลับหลังพระนาง หม่อมฉันอาจต้องขอรบกวนค้นห้องบรรทมของพระนางเสียหน่อยนะเพคะ”พระชายาฉิงสูดลมหายใจ ร่างกายที่ผอมแห้งของนางสั่นเล็กน้อยเนื่องด้วยรู้สึกหวาดกลัว หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงเพราะหายใจแรงหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ฟื้นคืนสติและพยักหน้าให้ฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีเริ่มจากการตรวจดูเตียงนอน ดมกลิ่นถุงหอมที่แขวนอยู่บนผ้าม่านอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดมันออกและตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จากนั้นจึงแขวนถุงหอมนั้นกลับขึ้นไปหลังจากตรวจสอบโต๊ะเครื่องแป้ง กระถางต้นไม้ในห้อง ถ้วยชาและชามที่ใช้ทีละใบ ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดเลยเมื่อนางกำนัลอาวุโสนำอาหารกลางวันมาให้ เนื่องจากพระชายาฉิงไม่อยากอาหาร จึงเพียงนำน้ำแกงชามเดียวกับขนมดอกเหมยกรอบหนึ่งจานมาเท่านั้นฉู่เนี่ยนซีชิมอาหารแต่ละจ