หลังจากสั่งให้ทุกคนออกไปหมดแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็เปลื้องอาภรณ์ของพระชายาฉิงออก แล้วจึงหยิบเข็มเงินออกมาก่อนจะแทงไปที่จุดฝังเข็มต่าง ๆ บนร่างกายของนาง ฉู่เนี่ยนซีพุ่งความสนใจไปที่มันแต่ก็ไม่ได้ใช้ความพยายามมากนัก หลังจากรอประมาณสิบห้านาทีจึงดึงเข็มออกฉู่เนี่ยนซีจัดอาภรณ์ให้พระชายาฉิงและห่มผ้าห่มให้นางหลังจากยุ่งมาระยะหนึ่ง ประกอบกับความร้อนในห้อง ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกว่ามีเหงื่อผุดขึ้นบนหลังของนางจนชุดชั้นในเปียกโชกนางใช้หลังมือเช็ดเหงื่อจากปลายจมูก และทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าตอนที่นางถอดอาภรณ์ให้พระชายาฉิงนางไม่เห็นคราบเหงื่อบนร่างกายของชายาฉิงเลยนางอยู่ในเรือนที่ร้อนเช่นนี้โดยปิดประตูและหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนาจนไม่มีลมเข้ามา แถมยังห่มผ้าห่มฤดูหนาวด้วย เหตุใดพระชายาฉิงถึงไม่รู้สึกร้อนกันล่ะ?ฉู่เนี่ยนซีระงับความสงสัยในใจและเรียกคนที่อยู่นอกประตูเข้ามาฉู่เนี่ยนซีพูดกับนางกำนัลอาวุโสว่า “พระชายาต้องพักผ่อน และสูดอากาศบริสุทธิ์แม้ในฤดูหนาว ทุกวันในยามที่แสงแดดร้อนที่สุดเจ้าจงเปิดหน้าต่างเพื่อรับลม ไม่ต้องนานนัก อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อให้พระชายามีกำลังวังชาขึ้น หลังอาหารกลางว
“ตกลงเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีรับปากและกำลังจะจากไป เมื่อดวงตาเหลือบไปเห็นอ่างถ่านที่กำลังลุกไหม้ทั้งสองอ่าง และกระแสไฟก็แวบเข้าไปในใจของนาง แต่กระแสไฟนั้นเร็วเกินไปและนางก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรฉู่เนี่ยนซีขอให้หวนเอ๋อร์นำทางไปยังตำหนักขององค์ชาย ตลอดทางนางไม่พูดอะไรเลย และเอาแต่ขบคิดว่าเหตุใดพระชายาฉิงถึงได้ป่วยหนักเช่นนั้น แสงแดดจ้าตกกระทบคิ้วอันงดงามและละเอียดอ่อนทำให้ดวงตาของนางชัดเจนยิ่งขึ้นเสี่ยวเถาเรียกนางเบา ๆ จากด้านข้าง “พระชายาเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นเพื่อตอบรับ จากนั้นก็เห็นเย่เฟยลี่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความดื้อรั้นและความเยือกเย็นกำลังเอนกายอยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาที่ลุกเป็นไฟของเขาจ้องมาที่นางเท่านั้น เสี่ยวเถาและหวนเอ๋อร์ทำความเคารพเย่เฟยหลีแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว เย่เฟยหลีเกี่ยวมือนางไว้ แต่ฉู่เนี่ยนซียืนอยู่กับที่และมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลและอบอุ่น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืนขึ้นข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี“ท่านมาที่นี่ทำไม?” ฉู่เนี่ยนซีถามขณะมองไปที่ดวงตาที่เหมือนสระน้ำของเย่เฟยหลีเย่เฟยหลีจับนิ้วสีขาวบาง ๆ ของฉู่เหนียนซี สัมผัสถึงความกังวลและความทุกข์ระหว่างคิ้วของเ
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองแล้วเดินไปที่โต๊ะ ชามน้ำมีช้อนเล็ก ๆ วางอยู่ในนั้น คาดว่าน่าจะเอาไว้ป้อนเด็กฉู่เนี่ยนซีเหยียดนิ้วก่อนจะจุ่มลงไป อุณหภูมิของน้ำเย็นทะลุเลือดผ่านปลายนิ้วกระทบหัวใจของนางทันที นางเหยียดนิ้วออกและเลียหยดน้ำ ก่อนที่ดวงตาที่สวยงามของนางจะเปล่งประกายไฟนางอุ้มเด็กขึ้นมาและไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใด ๆ ของเขา“เสี่ยวเถา ถือชามน้ำนั้นไว้”“เพคะ”ฉู่เนี่ยนซีอุ้มเด็กไว้ก่อนจะห่อเขาในผ้าห่มผืนเล็กอย่างแน่นหนา และเดินเข้าไปหานางกำนัลอาวุโสสองคนนั้นด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเย็นชาและดุร้าย“พวกเจ้าป้อนยาขับเหงื่อให้เด็กเล็กแค่นี้อย่างนั้นรึ ช่างกล้ายิ่งนัก!”เย่เฟยหลีมองทารกในอ้อมแขนของนางด้วยความประหลาดใจ โดยกังวลอาการบาดเจ็บของแขนนาง จึงรับเด็กทารกมาไว้ในอ้อมแขนของเขาแทน ทารกไม่ร้องไห้หรือเอะอะโวยวาย และดูเหมือนไร้ความรู้สึก นางกำนัลอาวุโสทั้งสองมองหน้ากัน คนหนึ่งถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างตำหนิ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พระชายาอาจไม่ทราบ องค์ชายแปดเอาแต่ร้องไห้ บ่าวจึงรู้สึกสงสารมาก กลัวว่าพระองค์จะร้องไห้จนเสียสุขภาพ จึงได้ป้อนยาให้กับองค์ชายเพียงเล็กน้อยพอให้องค์ชายแปดได้
ไม่ง่ายนักที่ฉู่กุ้ยเฟยจะทำความเคารพด้วยพุงโต ๆ ของนาง องค์จักรพรรดิจึงยื่นพระหัตถ์ช่วยพยุงนางขึ้นมานั่งข้าง ๆ พระองค์ทรงสงบลงแล้วตรัสว่า “เรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นความประมาทเลินเล่อของข้าที่ยอมให้ทาสต่ำต้อยที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีทำเรื่องร้ายแรงต่อองค์ชายเช่นนั้น”“พระองค์ทรงเหนื่อยกับงานราชกิจของวังหน้ามากแล้ว ดังนั้นหม่อมฉันที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ย่อมเต็มใจน้อมรับบทลงโทษเพคะ”ฉู่กุ้ยเฟยลูบหลังปลอบโยนองค์จักรพรรดิ“พาตัวไปที่กองอารักขา หากทำการทรมานแล้วพวกนางยังไม่ปริปาก ก็ให้ขับไล่ออกจากวังเสีย”น้ำเสียงสงบขององค์จักรพรรดิเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างยิ่ง ราวกับลมหนาวที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะที่พัดผ่านร่างกายไปจนถึงหัวใจของนางกำนัลอาวุโสทั้งสองเมื่อนางกำนัลอาวุโสทั้งสองคนถูกขันทีลากตัวออกไป เสียงร้องขอความช่วยเหลืออันวุ่นวายก็ค่อย ๆ จางหายไปฉู่เนี่ยนซีที่มาจากห้องโถงด้านข้างทำความเคารพองค์จักรพรรดิและฉู่กุ้ยเฟย “หม่อมฉันได้เตรียมยาไว้ให้คนที่เหมาะสมแล้วเพคะ ฉู่กุ้ยเฟยเลือกแม่นมที่เชื่อใจได้มาลองดื่ม อีกทั้งได้ให้องค์ชายดื่มไปด้วย ขอเสด็จพ่อและฉู่กุ้ยเฟยโปรดท
“ท่านป้า ช่วงนี้รู้สึกว่าที่ตำหนักโซ่วคังมีอะไรที่ผิดสังเกตหรือไม่เจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีตรวจสอบชีพจรของทั้งฉู่กุ้ยเฟยและพระชายาฉิง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เดิมทีคิดว่ามันเป็นเพียงอาการอ่อนเพลียทั่วไป แต่ตอนนี้พอมาไตร่ตรองดูดี ๆ ก็ตระหนักว่าผิดปกติจริง ๆ“ไม่นะ ทุกอย่างก็เหมือนปกติ” ฉู่กุ้ยเฟยคิดทบทวนแล้วส่ายหัวฉู่เนี่ยนซีก้มหน้าใช้ความคิด ขนตาที่ยาวและหนาของนางกระพริบขึ้นลงราวกับผีเสื้อที่บินเข้าไปในดอกไม้ด้วยความหวาดกลัว“ท่านป้า ดูเหมือนว่ามีคนพยายามแอบสร้างปัญหาอยู่นะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีมองฉู่กุ้ยเฟยด้วยแววตาคมปลาบเหมือนสระน้ำที่ถูกรบกวนด้วยคลื่นที่ซัดสาด แต่ยังมั่นคงราวกับภูเขาที่บรรจุความรู้สึกดื้อรั้น“หมายความว่าอย่างไร?”ดวงตาที่งดงามของฉู่กุ้ยเฟยฉายแววสงสัย สายตาของนางค่อย ๆ จ้องมองไปยังลวดลายที่ปักบนกระโปรงของฉู่เนี่ยนซี ขณะนั้นความคิดต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของนางเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระชายาฉิงและองค์ชายรวมทั้งตนเอง ทันใดนั้นฉู่กุ้ยเฟยก็มองไปที่ฉู่เนี่ยนซี และเห็นความประหลาดใจของตนในม่านตาที่เย็นชาคล้ายหมอกของนาง“เจ้าหมายความว่าพระชายาฉิงและข้าต่างก็ถูกวาง
“แล้วอาหารบำรุงของวันนี้ล่ะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ”ฉู่เนี่ยนซีอาศัยจังหวะที่นางกำนัลอาวุโสไปหยิบอาหารอธิบายให้พระชายาฉิงฟังว่า “พระชายา หม่อมฉันคิดว่าสาเหตุที่ทำให้พระนางป่วยหนักนั้นไม่ได้เกิดจากการประสูติองค์ชายเพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะมีคนใช้ประโยชน์จากร่างกายที่อ่อนแอของพระนางเพื่อสร้างปัญหาลับหลังพระนาง หม่อมฉันอาจต้องขอรบกวนค้นห้องบรรทมของพระนางเสียหน่อยนะเพคะ”พระชายาฉิงสูดลมหายใจ ร่างกายที่ผอมแห้งของนางสั่นเล็กน้อยเนื่องด้วยรู้สึกหวาดกลัว หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงเพราะหายใจแรงหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ฟื้นคืนสติและพยักหน้าให้ฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีเริ่มจากการตรวจดูเตียงนอน ดมกลิ่นถุงหอมที่แขวนอยู่บนผ้าม่านอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดมันออกและตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จากนั้นจึงแขวนถุงหอมนั้นกลับขึ้นไปหลังจากตรวจสอบโต๊ะเครื่องแป้ง กระถางต้นไม้ในห้อง ถ้วยชาและชามที่ใช้ทีละใบ ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดเลยเมื่อนางกำนัลอาวุโสนำอาหารกลางวันมาให้ เนื่องจากพระชายาฉิงไม่อยากอาหาร จึงเพียงนำน้ำแกงชามเดียวกับขนมดอกเหมยกรอบหนึ่งจานมาเท่านั้นฉู่เนี่ยนซีชิมอาหารแต่ละจ
ฉู่เนี่ยนซีกลับมายังตำหนักโซ่วคังเพื่อบอกเรื่องทั้งหมดกับฉู่กุ้ยเฟย ฉู่กุ้ยเฟยแตะท้องตัวเองแล้วถามอย่างกังวล “แล้วลูกของข้า…”ฉู่เนี่ยนซีจับชีพจรของฉู่กุ้ยเฟยอีกครั้งและพยายามสงบความกลัวของฉู่กุ้ยเฟยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ลมปราณแต่กำเนิดของท่านป้าได้รับความเสียหาย และทารกในครรภ์ย่อมต้องได้รับความเสียหายบ้างตามร่างกายของผู้เป็นแม่ แต่ท่านป้าไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ลูกของท่านก็จะถือกำเนิดได้อย่างปลอดภัย”ฉู่เนี่ยนซีพบบางสิ่งแปลก ๆ ในอ่างถ่านบริเวณห้องโถงใหญ่ของตำหนักโซ่วคัง เมื่อนึกได้เช่นนั้นความโกรธในใจของนางก็ปะทุขึ้นนางมองไปยังถ่านที่เก็บไว้และพบว่าไม่มีปัญหาเหมือนกับที่ตำหนักเต๋อซิ่ง“ท่านป้าเจ้าคะ มีคนเอาอะไรผสมกับผงถ่านแล้วใส่ลงไปในอ่างถ่าน จากนั้นก็ทับด้วยถ่านใหม่จึงไม่มีใครสังเกตเห็น สิ่งของประเภทนี้พอใช้แค่ในหน้าหนาวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ประสิทธิภาพของมันจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ยิ่งอุณหภูมิลดลงก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมาก ฉะนั้นท่านป้าจะรู้สึกหนาว และยิ่งอากาศหนาวเย็นเท่าไหร่ ถ่านในอ่างถ่านก็จะถูกเผาไหม้มากขึ้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของท่านก็จะเกิดความเสียหายเ
นางกำนัลตอบรับคำสั่งและกำลังจะออกไป แต่จู่ ๆ เย่เซวียนเล่อก็พูดว่า “เดี๋ยวก่อน”เย่เซวียนเล่อมาหานางกำนัลพลางกระซิบ จากนั้นแววตามุ่งร้ายก็แวบผ่านดวงตาของนาง และรอยยิ้มบนริมฝีปากเผยให้เห็นความชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวไม่นานหลังจากที่นางกำนัลออกไป นางก็กลับมาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย นางลังเลที่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดม่านและพูดด้วยความกลัว“รายงานต่อองค์หญิง พระชายาหลีกล่าวว่ามีสนมหลายท่านมาหานาง สนมเหล่านั้นแจ้งว่าจะไปที่ตำหนักโซ่วคังในช่วงบ่ายเพื่อขอให้นางตรวจชีพจรให้ นางจึงไม่มีเวลามาที่ศาลาจิ่งอวิ๋นเพคะ”“สนมคนไหน?”สายตาที่เย่เซวียนเล่อเหลือบมองนั้นน่าหวาดกลัวมากจนนางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ กลั้นหายใจ“หม่อมฉันได้ยินมาว่ามีพระชายาหู สนมชิว และพระชายาฉิงที่เป็นผู้เชิญพระชายาหลีไปที่ตำหนักเต๋อซิ่งเพคะ”“สนมชิว? หากไม่ใช่เพราะเสด็จแม่นางจะปีนขึ้นสู่ตำแหน่งสนมได้หรือ? ตอนนี้ไม่เพียงแต่นางจะไม่พูดคุยกับเสด็จแม่ ทว่านางยังย้ายไปอยู่ฝ่ายฉู่กุ้ยเฟยด้วย ครั้งต่อไปหากข้าเจอนางก็คงจะต้องจับเข่าคุยกันเสียหน่อยแล้วล่ะ” เย่เซวียนเล่อกัดฟันค่ำคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว ฉู่เนี่ยนซีและฉู่กุ้ยเฟ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย