หลังจากสั่งให้ทุกคนออกไปหมดแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็เปลื้องอาภรณ์ของพระชายาฉิงออก แล้วจึงหยิบเข็มเงินออกมาก่อนจะแทงไปที่จุดฝังเข็มต่าง ๆ บนร่างกายของนาง ฉู่เนี่ยนซีพุ่งความสนใจไปที่มันแต่ก็ไม่ได้ใช้ความพยายามมากนัก หลังจากรอประมาณสิบห้านาทีจึงดึงเข็มออกฉู่เนี่ยนซีจัดอาภรณ์ให้พระชายาฉิงและห่มผ้าห่มให้นางหลังจากยุ่งมาระยะหนึ่ง ประกอบกับความร้อนในห้อง ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกว่ามีเหงื่อผุดขึ้นบนหลังของนางจนชุดชั้นในเปียกโชกนางใช้หลังมือเช็ดเหงื่อจากปลายจมูก และทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าตอนที่นางถอดอาภรณ์ให้พระชายาฉิงนางไม่เห็นคราบเหงื่อบนร่างกายของชายาฉิงเลยนางอยู่ในเรือนที่ร้อนเช่นนี้โดยปิดประตูและหน้าต่างไว้อย่างแน่นหนาจนไม่มีลมเข้ามา แถมยังห่มผ้าห่มฤดูหนาวด้วย เหตุใดพระชายาฉิงถึงไม่รู้สึกร้อนกันล่ะ?ฉู่เนี่ยนซีระงับความสงสัยในใจและเรียกคนที่อยู่นอกประตูเข้ามาฉู่เนี่ยนซีพูดกับนางกำนัลอาวุโสว่า “พระชายาต้องพักผ่อน และสูดอากาศบริสุทธิ์แม้ในฤดูหนาว ทุกวันในยามที่แสงแดดร้อนที่สุดเจ้าจงเปิดหน้าต่างเพื่อรับลม ไม่ต้องนานนัก อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาเพื่อให้พระชายามีกำลังวังชาขึ้น หลังอาหารกลางว
“ตกลงเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีรับปากและกำลังจะจากไป เมื่อดวงตาเหลือบไปเห็นอ่างถ่านที่กำลังลุกไหม้ทั้งสองอ่าง และกระแสไฟก็แวบเข้าไปในใจของนาง แต่กระแสไฟนั้นเร็วเกินไปและนางก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรฉู่เนี่ยนซีขอให้หวนเอ๋อร์นำทางไปยังตำหนักขององค์ชาย ตลอดทางนางไม่พูดอะไรเลย และเอาแต่ขบคิดว่าเหตุใดพระชายาฉิงถึงได้ป่วยหนักเช่นนั้น แสงแดดจ้าตกกระทบคิ้วอันงดงามและละเอียดอ่อนทำให้ดวงตาของนางชัดเจนยิ่งขึ้นเสี่ยวเถาเรียกนางเบา ๆ จากด้านข้าง “พระชายาเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นเพื่อตอบรับ จากนั้นก็เห็นเย่เฟยลี่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความดื้อรั้นและความเยือกเย็นกำลังเอนกายอยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาที่ลุกเป็นไฟของเขาจ้องมาที่นางเท่านั้น เสี่ยวเถาและหวนเอ๋อร์ทำความเคารพเย่เฟยหลีแล้วก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว เย่เฟยหลีเกี่ยวมือนางไว้ แต่ฉู่เนี่ยนซียืนอยู่กับที่และมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่นุ่มนวลและอบอุ่น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืนขึ้นข้างหน้าฉู่เนี่ยนซี“ท่านมาที่นี่ทำไม?” ฉู่เนี่ยนซีถามขณะมองไปที่ดวงตาที่เหมือนสระน้ำของเย่เฟยหลีเย่เฟยหลีจับนิ้วสีขาวบาง ๆ ของฉู่เหนียนซี สัมผัสถึงความกังวลและความทุกข์ระหว่างคิ้วของเ
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองแล้วเดินไปที่โต๊ะ ชามน้ำมีช้อนเล็ก ๆ วางอยู่ในนั้น คาดว่าน่าจะเอาไว้ป้อนเด็กฉู่เนี่ยนซีเหยียดนิ้วก่อนจะจุ่มลงไป อุณหภูมิของน้ำเย็นทะลุเลือดผ่านปลายนิ้วกระทบหัวใจของนางทันที นางเหยียดนิ้วออกและเลียหยดน้ำ ก่อนที่ดวงตาที่สวยงามของนางจะเปล่งประกายไฟนางอุ้มเด็กขึ้นมาและไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใด ๆ ของเขา“เสี่ยวเถา ถือชามน้ำนั้นไว้”“เพคะ”ฉู่เนี่ยนซีอุ้มเด็กไว้ก่อนจะห่อเขาในผ้าห่มผืนเล็กอย่างแน่นหนา และเดินเข้าไปหานางกำนัลอาวุโสสองคนนั้นด้วยความโกรธ ดวงตาของนางเย็นชาและดุร้าย“พวกเจ้าป้อนยาขับเหงื่อให้เด็กเล็กแค่นี้อย่างนั้นรึ ช่างกล้ายิ่งนัก!”เย่เฟยหลีมองทารกในอ้อมแขนของนางด้วยความประหลาดใจ โดยกังวลอาการบาดเจ็บของแขนนาง จึงรับเด็กทารกมาไว้ในอ้อมแขนของเขาแทน ทารกไม่ร้องไห้หรือเอะอะโวยวาย และดูเหมือนไร้ความรู้สึก นางกำนัลอาวุโสทั้งสองมองหน้ากัน คนหนึ่งถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างตำหนิ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พระชายาอาจไม่ทราบ องค์ชายแปดเอาแต่ร้องไห้ บ่าวจึงรู้สึกสงสารมาก กลัวว่าพระองค์จะร้องไห้จนเสียสุขภาพ จึงได้ป้อนยาให้กับองค์ชายเพียงเล็กน้อยพอให้องค์ชายแปดได้
ไม่ง่ายนักที่ฉู่กุ้ยเฟยจะทำความเคารพด้วยพุงโต ๆ ของนาง องค์จักรพรรดิจึงยื่นพระหัตถ์ช่วยพยุงนางขึ้นมานั่งข้าง ๆ พระองค์ทรงสงบลงแล้วตรัสว่า “เรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นความประมาทเลินเล่อของข้าที่ยอมให้ทาสต่ำต้อยที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีทำเรื่องร้ายแรงต่อองค์ชายเช่นนั้น”“พระองค์ทรงเหนื่อยกับงานราชกิจของวังหน้ามากแล้ว ดังนั้นหม่อมฉันที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ย่อมเต็มใจน้อมรับบทลงโทษเพคะ”ฉู่กุ้ยเฟยลูบหลังปลอบโยนองค์จักรพรรดิ“พาตัวไปที่กองอารักขา หากทำการทรมานแล้วพวกนางยังไม่ปริปาก ก็ให้ขับไล่ออกจากวังเสีย”น้ำเสียงสงบขององค์จักรพรรดิเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างยิ่ง ราวกับลมหนาวที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะที่พัดผ่านร่างกายไปจนถึงหัวใจของนางกำนัลอาวุโสทั้งสองเมื่อนางกำนัลอาวุโสทั้งสองคนถูกขันทีลากตัวออกไป เสียงร้องขอความช่วยเหลืออันวุ่นวายก็ค่อย ๆ จางหายไปฉู่เนี่ยนซีที่มาจากห้องโถงด้านข้างทำความเคารพองค์จักรพรรดิและฉู่กุ้ยเฟย “หม่อมฉันได้เตรียมยาไว้ให้คนที่เหมาะสมแล้วเพคะ ฉู่กุ้ยเฟยเลือกแม่นมที่เชื่อใจได้มาลองดื่ม อีกทั้งได้ให้องค์ชายดื่มไปด้วย ขอเสด็จพ่อและฉู่กุ้ยเฟยโปรดท
“ท่านป้า ช่วงนี้รู้สึกว่าที่ตำหนักโซ่วคังมีอะไรที่ผิดสังเกตหรือไม่เจ้าคะ?”ฉู่เนี่ยนซีตรวจสอบชีพจรของทั้งฉู่กุ้ยเฟยและพระชายาฉิง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ เดิมทีคิดว่ามันเป็นเพียงอาการอ่อนเพลียทั่วไป แต่ตอนนี้พอมาไตร่ตรองดูดี ๆ ก็ตระหนักว่าผิดปกติจริง ๆ“ไม่นะ ทุกอย่างก็เหมือนปกติ” ฉู่กุ้ยเฟยคิดทบทวนแล้วส่ายหัวฉู่เนี่ยนซีก้มหน้าใช้ความคิด ขนตาที่ยาวและหนาของนางกระพริบขึ้นลงราวกับผีเสื้อที่บินเข้าไปในดอกไม้ด้วยความหวาดกลัว“ท่านป้า ดูเหมือนว่ามีคนพยายามแอบสร้างปัญหาอยู่นะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีมองฉู่กุ้ยเฟยด้วยแววตาคมปลาบเหมือนสระน้ำที่ถูกรบกวนด้วยคลื่นที่ซัดสาด แต่ยังมั่นคงราวกับภูเขาที่บรรจุความรู้สึกดื้อรั้น“หมายความว่าอย่างไร?”ดวงตาที่งดงามของฉู่กุ้ยเฟยฉายแววสงสัย สายตาของนางค่อย ๆ จ้องมองไปยังลวดลายที่ปักบนกระโปรงของฉู่เนี่ยนซี ขณะนั้นความคิดต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวของนางเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระชายาฉิงและองค์ชายรวมทั้งตนเอง ทันใดนั้นฉู่กุ้ยเฟยก็มองไปที่ฉู่เนี่ยนซี และเห็นความประหลาดใจของตนในม่านตาที่เย็นชาคล้ายหมอกของนาง“เจ้าหมายความว่าพระชายาฉิงและข้าต่างก็ถูกวาง
“แล้วอาหารบำรุงของวันนี้ล่ะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ”ฉู่เนี่ยนซีอาศัยจังหวะที่นางกำนัลอาวุโสไปหยิบอาหารอธิบายให้พระชายาฉิงฟังว่า “พระชายา หม่อมฉันคิดว่าสาเหตุที่ทำให้พระนางป่วยหนักนั้นไม่ได้เกิดจากการประสูติองค์ชายเพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะมีคนใช้ประโยชน์จากร่างกายที่อ่อนแอของพระนางเพื่อสร้างปัญหาลับหลังพระนาง หม่อมฉันอาจต้องขอรบกวนค้นห้องบรรทมของพระนางเสียหน่อยนะเพคะ”พระชายาฉิงสูดลมหายใจ ร่างกายที่ผอมแห้งของนางสั่นเล็กน้อยเนื่องด้วยรู้สึกหวาดกลัว หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงเพราะหายใจแรงหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ฟื้นคืนสติและพยักหน้าให้ฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีเริ่มจากการตรวจดูเตียงนอน ดมกลิ่นถุงหอมที่แขวนอยู่บนผ้าม่านอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดมันออกและตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จากนั้นจึงแขวนถุงหอมนั้นกลับขึ้นไปหลังจากตรวจสอบโต๊ะเครื่องแป้ง กระถางต้นไม้ในห้อง ถ้วยชาและชามที่ใช้ทีละใบ ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดเลยเมื่อนางกำนัลอาวุโสนำอาหารกลางวันมาให้ เนื่องจากพระชายาฉิงไม่อยากอาหาร จึงเพียงนำน้ำแกงชามเดียวกับขนมดอกเหมยกรอบหนึ่งจานมาเท่านั้นฉู่เนี่ยนซีชิมอาหารแต่ละจ
ฉู่เนี่ยนซีกลับมายังตำหนักโซ่วคังเพื่อบอกเรื่องทั้งหมดกับฉู่กุ้ยเฟย ฉู่กุ้ยเฟยแตะท้องตัวเองแล้วถามอย่างกังวล “แล้วลูกของข้า…”ฉู่เนี่ยนซีจับชีพจรของฉู่กุ้ยเฟยอีกครั้งและพยายามสงบความกลัวของฉู่กุ้ยเฟยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ลมปราณแต่กำเนิดของท่านป้าได้รับความเสียหาย และทารกในครรภ์ย่อมต้องได้รับความเสียหายบ้างตามร่างกายของผู้เป็นแม่ แต่ท่านป้าไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ ลูกของท่านก็จะถือกำเนิดได้อย่างปลอดภัย”ฉู่เนี่ยนซีพบบางสิ่งแปลก ๆ ในอ่างถ่านบริเวณห้องโถงใหญ่ของตำหนักโซ่วคัง เมื่อนึกได้เช่นนั้นความโกรธในใจของนางก็ปะทุขึ้นนางมองไปยังถ่านที่เก็บไว้และพบว่าไม่มีปัญหาเหมือนกับที่ตำหนักเต๋อซิ่ง“ท่านป้าเจ้าคะ มีคนเอาอะไรผสมกับผงถ่านแล้วใส่ลงไปในอ่างถ่าน จากนั้นก็ทับด้วยถ่านใหม่จึงไม่มีใครสังเกตเห็น สิ่งของประเภทนี้พอใช้แค่ในหน้าหนาวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ประสิทธิภาพของมันจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ยิ่งอุณหภูมิลดลงก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมาก ฉะนั้นท่านป้าจะรู้สึกหนาว และยิ่งอากาศหนาวเย็นเท่าไหร่ ถ่านในอ่างถ่านก็จะถูกเผาไหม้มากขึ้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของท่านก็จะเกิดความเสียหายเ
นางกำนัลตอบรับคำสั่งและกำลังจะออกไป แต่จู่ ๆ เย่เซวียนเล่อก็พูดว่า “เดี๋ยวก่อน”เย่เซวียนเล่อมาหานางกำนัลพลางกระซิบ จากนั้นแววตามุ่งร้ายก็แวบผ่านดวงตาของนาง และรอยยิ้มบนริมฝีปากเผยให้เห็นความชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวไม่นานหลังจากที่นางกำนัลออกไป นางก็กลับมาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย นางลังเลที่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดม่านและพูดด้วยความกลัว“รายงานต่อองค์หญิง พระชายาหลีกล่าวว่ามีสนมหลายท่านมาหานาง สนมเหล่านั้นแจ้งว่าจะไปที่ตำหนักโซ่วคังในช่วงบ่ายเพื่อขอให้นางตรวจชีพจรให้ นางจึงไม่มีเวลามาที่ศาลาจิ่งอวิ๋นเพคะ”“สนมคนไหน?”สายตาที่เย่เซวียนเล่อเหลือบมองนั้นน่าหวาดกลัวมากจนนางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ กลั้นหายใจ“หม่อมฉันได้ยินมาว่ามีพระชายาหู สนมชิว และพระชายาฉิงที่เป็นผู้เชิญพระชายาหลีไปที่ตำหนักเต๋อซิ่งเพคะ”“สนมชิว? หากไม่ใช่เพราะเสด็จแม่นางจะปีนขึ้นสู่ตำแหน่งสนมได้หรือ? ตอนนี้ไม่เพียงแต่นางจะไม่พูดคุยกับเสด็จแม่ ทว่านางยังย้ายไปอยู่ฝ่ายฉู่กุ้ยเฟยด้วย ครั้งต่อไปหากข้าเจอนางก็คงจะต้องจับเข่าคุยกันเสียหน่อยแล้วล่ะ” เย่เซวียนเล่อกัดฟันค่ำคืนมาถึงอย่างรวดเร็ว ฉู่เนี่ยนซีและฉู่กุ้ยเฟ