“ไทเฮาเพคะ ตอนนี้ท่านป้าของหม่อมฉันคอยดูแลหกตำหนักฝ่ายใน แม้นางจะอยู่ใกล้ชิดพระองค์เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อเห็นว่าพระองค์ทรงรักใคร่เอ็นดูซีเอ๋อร์และองค์หญิงห้า ท่านป้าจึงเรียนรู้สิ่งนั้นมาด้วย นางจึงได้พูดแก้ตัวแทนเนี่ยนซีเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีตอบโต้ไทเฮาอย่างไม่ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ ทำให้ไทเฮาตรัสอะไรไม่ออก หากนางจะตำหนิอีกฝ่ายก็เหมือนกำลังตำหนิตัวเองด้วยทุกคนสนทนากับไทเฮาอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าใกล้จะค่ำแล้วจึงพากันกลับเมื่อใกล้ค่ำลมหนาวก็พัดกรรโชกเสียงดังหลังจากที่เสี่ยวเถาปิดหน้าต่างอย่างแน่นหนา นางก็เดินเข้าไปในศาลาอุ่นร้อนพร้อมเทียนที่จุดใหม่ในมือกำลังจะนำไปเปลี่ยนแทนที่เทียนเก่าที่กำลังจะไหม้หมด เมื่อเห็นว่าฉู่เนี่ยนซียังคงยุ่งอยู่ นางจึงพูดด้วยความกังวล “พระชายา ตอนนี้แสงเทียนสลัวแล้ว ทำต่อวันพรุ่งนี้เถอะเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีวางดอกเก๊กฮวยแห้งจำนวนหนึ่งไว้ในตะกร้าอีกใบหนึ่งในมือ พลางเหยียดหลังแล้วพูดอย่างเกียจคร้าน “กว่าท่านป้าจะตั้งครรภ์ได้นั้นไม่ง่าย ข้าว่าจะใช้ดอกเก๊กฮวยมาทำหมอนนุ่ม ๆ ท่านป้าจะได้นอนหลับได้ดีขึ้น”“กุ้ยเฟยคงจะดีใจมากที่ได้รู้ว่าพระชายามานั่งเลือกดอกไม้ทีละ
บุรุษผู้นั้นตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเองฟาดไม้ผิดคน ทันทีที่เขาปล่อยไม้ มันก็กลิ้งไปที่เท้าของฉู่เนี่ยนซี“จะเลือกความตายหรือจะพูดคุยกันดี ๆ?”น้ำเสียงที่สงบของฉู่เนี่ยนซียิ่งน่ากลัวมากขึ้น ทำให้ขันทีผู้น้อยตัวสั่นในทันที“กระหม่อมสมควรตาย พระชายาโปรดอภัยให้ด้วย อภัยให้กระหม่อมด้วย กระหม่อมไม่สามารถพูดอะไรได้ หากกระหม่อมพูดก็จะต้องตาย แต่ครั้นจะไม่ทำกระหม่อมก็ไม่กล้า ไม่เช่นนั้นก็ต้องตายอีกเช่นกัน กระหม่อมไม่มีทางเลือกนอกจากขอความเมตตาจากพระชายา โปรดเห็นใจกระหม่อมด้วยเถิด”ขันทีผู้น้อยตื่นตระหนกมากจนต้องหมอบลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยทิ้งรอยเลือดไว้บนก้อนกรวดที่เขาคุกเข่า เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนดอกพลับพลึงแดงบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณ“พระชายา เสี่ยวเถาเห็นเขาเมื่อวานนี้ เขาเดินวนแถวประตูตำหนักโซ่วคังหลายครั้ง ตอนนั้นหม่อมฉันเห็นเขาท่าทางแปลก ๆ เลยคิดว่าจะเดินไปสอบถาม แต่เขาก็รีบจากไปก่อนเพคะ”เสี่ยวเถามองหน้าของขันทีผู้น้อยอย่างพินิจและจำได้ในทันที“จริง ๆ แล้วเจ้าอยากจะมาบอกข้าตั้งแต่เมื่อวานใช่หรือไม่?”ความเยือกเย็นในดวงตาของฉู่เนี่ยนซีคลายลงไปมาก นางรู้ดีถึงความยากลำบากของคนผ
ฉู่เนี่ยนซีมองไปที่เย่เซวียนเล่ออย่างเย้ยหยัน แต่มีความคิดคลุมเครือผุดขึ้นมาในใจของนาง“พี่สะใภ้รอง ท่านมีหลักฐานหรือไม่?”เย่เซวียนเล่อเดาว่าถ้าฉู่เนี่ยนซีได้ยินอะไรบางอย่างจริง นางจะต้องสั่งให้ขันทีหนุ่มมาเป็นพยานด้วยตนเอง หากไม่เป็นเช่นนั้น นางก็อาจจะกำลังปั้นเรื่องขึ้นมาเองฉู่เนี่ยนซีแค่มองไปที่เย่เซวียนเล่อโดยไม่ได้พูดอะไร ไม่สำคัญว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ ดูจากการที่เย่เซวียนเล่อทดสอบนางนั่นก็เพียงพอแล้วเย่เซวียนเล่อรู้สึกโล่งใจที่เห็นฉู่เนี่ยนซีไม่ได้พูดอะไร และทันใดนั้นบนใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยเล็กน้อย“พี่สะใภ้รอง ท่านกำลังใส่ร้ายข้า หากท่านย่าทราบเข้าล่ะก็ ท่านย่าจะไม่มีวันปล่อยพี่สะใภ้รองไปแน่”“เช่นนั้นก็ให้ไทเฮาตรวจสอบดูว่าเป็นฝีมือใครก็แล้วกัน”ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นด้วยรูปลักษณ์สวยงามที่ไม่มีใครเทียบได้และความสูงเพรียวของนาง ท่าทางที่สงบและมั่นใจของนางทำให้เย่เซวียนเล่อสั่นเล็กน้อย“เช่นนั้นเราก็ไปตรวจสอบที่พระตำหนักอันชิ่งกันเลย”เย่เซวียนเล่อมั่นใจ นางเตือนคนที่ลงมือแล้ว หากเขากล้าพูดอะไรออกมา ไม่เพียงตัวเขาเองเท่านั้น แต่ครอบครัวของเขาก็จะไม่พ้นไปได้ฉู่เ
เมื่อเสี่ยวเถาเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีปลอดภัย นางก็รีบโน้มตัวออกไปและพยายามเอื้อมมือดึงฉู่เนี่ยนซีที่กำลังว่ายน้ำเข้ามา หลังจากดึงฉู่เนี่ยนซีขึ้นฝั่งได้แล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันยกซุนจื่อซีขึ้นไปก่อน จากนั้นฉู่เนี่ยนซีค่อยปีนตามขึ้นมาเย่เซวียนเล่อไม่คิดว่าฉู่เนี่ยนซีจะว่ายน้ำเป็น แต่นางก็ยังคงแสดงสีหน้าไร้เดียงสา“โถ่ เมื่อครู่ข้าสะดุดก้อนหิน พี่สะใภ้รองจะโทษข้าไม่ได้นะ”ซุนจื่อซีจับแขนของฉู่เนี่ยนซีพลางหอบหายใจอย่างหนัก “พระชายาหลี ซีเอ๋อร์เห็นว่า… พระนางกำลังจะตกลงไปในน้ำ จึงรีบวิ่งเข้ามาเพื่อ…ดึงพระนางเอาไว้ แต่หม่อมฉันวิ่งเร็วเกินไปจึงหยุดไม่อยู่ ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ ขอบพระทัยชายาหลีมากเพคะที่ช่วยหม่อมฉันเอาไว้”ความสงสัยแวบขึ้นมาในดวงตาของฉู่เนี่ยนซี แต่นางก็เก็บมันไว้ในใจและไม่ได้กล่าวถึงในขณะนั้นหลังจากตรวจสอบชีพจรของซุนจื่อซีเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี นางถึงรู้สึกโล่งใจ ก่อนจะวางซุนจื่อซีลงบนพื้น และให้เสี่ยวเถาค่อย ๆ ติดตามนางไปฉู่เนี่ยนซีหันกลับมามองเย่เซวียนเล่อด้วยสายตาสงบก่อนเกิดพายุลูกใหญ่เป็นการทิ้งทวน“พี่สะใภ้รอง ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ เจ้าอย่าได้คิดเ
นางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ คลุมผ้าห่มให้เย่เซวียนเล่อและพูดด้วยความโกรธ “องค์หญิงอย่าปล่อยนางไปนะเพคะ!""ไปพระตำหนักอันชิ่งกัน ข้าจะให้เสด็จย่าลงโทษนางสารเลวคนนั้นให้สาสม!"เย่เซวียนเล่อโกรธจนร่างกายร้อนจัด ดังนั้นนางจึงเลิกผ้าห่มออกและเตรียมออกไปข้างนอก“องค์หญิงต้องสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกหนา ๆ ด้วยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นจะป่วยเอาได้ แล้วจะทรงเห็นไทเฮาลงโทษนางด้วยตาตัวได้อย่างไรกันล่ะเพคะ?”นางกำนัลดึงเย่เซวียนเล่อไว้พร้อมกับเกลี้ยกล่อมนาง จากนั้นจึงหยิบเสื้อคลุมออกมาจากตู้แล้วสวมให้เย่เซวียนเล่อ ก่อนจะคลุมศีรษะของนางด้วยหมวกคลุมขนาดใหญ่ จากนั้นก็ติดตามเย่เซวียนเล่อไปยังพระตำหนักอันชิ่งเมื่อเย่เซวียนเล่อมาถึงพระตำหนักอันชิ่งด้วยความโกรธ สี่เชว่นางกำนัลรับใช้ซุนจื่อซีก็รออยู่ที่ประตูแล้ว เมื่อนางเห็นเย่เซวียนเล่อก็รีบเอ่ยทักทายทันที “ถวายบังคมองค์หญิงห้าเพคะ”เย่เซวียนเล่อมองนางอย่างไม่อดทน “มีเรื่องอะไร?”“คุณหนูซีเอ๋อร์บอกว่า นางคาดไว้แล้วว่าท่านจะเสด็จมาที่พระตำหนักอันชิ่ง จึงสั่งให้บ่าวมารอต้อนรับองค์หญิงห้าที่นี่เพคะ คุณหนูซีเอ๋อร์มีเรื่องอยากจะพูดคุยกับองค์หญิงหน้าเพคะ” สี่เชว่ต
นางคิดว่าซุนจื่อซีเกลียดฉู่เนี่ยนซีเพราะเย่เฟยหลี แต่ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นคนตีสองหน้า ด้านหนึ่งทำเป็นอยู่ฝ่ายเดียวกับนางแต่ในเวลาเดียวกันก็ประจบประแจงฉู่เนี่ยนซี “ซีเอ๋อร์จะขัดแย้งกับองค์หญิงห้าได้อย่างไรกันเพคะ? อย่างไรเสียหม่อมฉันก็เติบโตมาได้เพราะเสด็จย่า และหม่อมฉันก็รักและเคารพองค์หญิงมาก แต่องค์หญิงห้าก็ทราบดีว่าเวลานั้นความจริงเป็นเช่นไร”เย่เซวียนเล่อจ้องมองใบหน้าของนางด้วยแววตาเฉียบคมทันที“นี่ท่านกำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ? ซุนจื่อซี ท่านก็เป็นแค่คนที่ถูกเสด็จย่าเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใครสิ”“ซีเอ๋อร์มิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่อยากเป็นพยานให้กับองค์หญิงห้า เพื่อป้องกันไม่ให้ชายาหลีโกรธและทำร้ายองค์หญิงห้าก็เท่านั้นนะเพคะ”เย่เซวียนเล่อดูถูกการแสดงออกถึงความมีน้ำใจและความเป็นห่วงเป็นใยของซุนจื่อซี“ข้ายังต้องกลัวด้วยงั้นรึ?”“องค์หญิงห้าเป็นองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ เช่นนั้นย่อมเป็นที่รักใคร่โดยธรรมชาติ แต่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิถึงเปลี่ยนทัศนคติทันทีเมื่อชายาหลีถูกตัดสินโทษ หม่อมฉันเกรงว่าหากองค์จักรพรรดิทราบเรื่องนี้ นอกจากจะไม่
ในเวลานี้ป้าหยางเหอรีบเดินเข้ามาจากด้านนอก หลังจากทักทายทั้งสองแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องหลีเสด็จมาถวายความเคารพต่อพระนางเพคะ”ฉู่กุ้ยเฟยเคาะจมูกฉู่เนี่ยนซีพลางยิ้มหยอกล้อ “มาถวายความเคารพข้า หรือว่ามาดูเด็กนี่กันแน่?”“แน่นอนว่าต้องมาถวายความเคารพต่อท่านป้าสิเจ้าคะ”รอยยิ้มของฉู่เนี่ยนซีบานสะพรั่งราวกับดอกแพร์สีขาวบริสุทธิ์ ที่ดูอ่อนโยนและขี้อายผ่านไปไม่นานแสงสีดำก็แวบเข้ามาในห้องบรรทมและสบตาของฉู่เนี่ยนซี ทันใดนั้นห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นราวกับสนเขียวชอุ่มเย่เฟยหลีเม้มริมฝีปากบางและไม่พูดอะไร เขามองฉู่เนี่ยนซีที่ผมดำเปียกปอนนั่งอยู่หัวเตียงราวกับลูกแมว ความอ่อนโยนและความโกรธในใจของเขาพันกันราวกับเถาวัลย์สองต้นเขารีบสาวเท้าเดินไปด้านข้างของฉู่เนี่ยนซี และกอดนางไว้ในอ้อมแขน ฉู่เนี่ยนซีรีบดึงยาออกไปอีกทาง“ยาหกหมดแล้วเจ้าค่ะ...”เย่เฟยหลีหยิบชามยาจากมือของนางมา แล้วให้นางพิงหน้าอกตัวเองก่อนจะป้อนยาให้นางฉู่เนี่ยนซีรู้สึกถึงแรงกระเพื่อมที่หน้าอกของบุรุษที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจน ท่าทางดังกล่าวมันค่อนข้างคลุมเครือเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้นางทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย นางไม่มี
“บ่าวเชิญหมอหลวงแล้วเพคะ ท่านหมอกล่าวว่าพิษไข้สามารถลดลงได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา บ่าวเป็นห่วงคุณหนูจึงได้มาเชิญพระชายาให้ช่วยไปตรวจดูอีกครั้งเพคะ”สี่เชว่หลีกเลี่ยงดวงตาอันเย็นชาของเย่เฟยหลี และตอบกลับชนิดก้มหน้าก้มตา“ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะไปพระตำหนักอันชิ่งพร้อมกันกับเจ้า”ฉู่เนี่ยนซีจำได้ว่าตนเคยพูดไว้เช่นนั้นจริง จึงได้ตกปากรับคำทันทีหลังจากที่สี่เชว่ออกไป เย่เฟยหลีก็กดฉู่เนี่ยนซีที่กำลังจะลุกขึ้นเอาไว้ “ข้าจะไปกับเจ้า หากไปพระตำหนักอันชิ่งย่อมต้องได้พบเสด็จย่า ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว”“หากท่านไปด้วย ไทเฮาคงจะทำให้ข้าลำบากยิ่งกว่า”ฉู่เนี่ยนซียิ้มเบา ๆ คิ้วและดวงตาของนางโค้งงอราวกับดาวตกที่โผลบินและส่องแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า “เจ้าแน่ใจหรือว่าสภาพร่างกายปัจจุบันของเจ้าสามารถไปที่นั่นเองได้ ไม่ใช่ว่ารักษานางจนหายดี แต่เจ้ากลับล้มป่วยเสียเองเล่า”เย่เฟยหลียังคงกังวลและพยายามโน้มน้าวนางอีกสองสามประโยคฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจและมองดูเขาอย่างช่วยไม่ได้ “อ๋องหลีผู้ผ่านศึกได้อย่างเด็ดเดี่ยว มาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ก็ขี้บ่นเหมือนกันนะเจ้าคะ”“ข้าเพียงแค่…” เย่เฟยหลียิ้