“บ่าวเชิญหมอหลวงแล้วเพคะ ท่านหมอกล่าวว่าพิษไข้สามารถลดลงได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา บ่าวเป็นห่วงคุณหนูจึงได้มาเชิญพระชายาให้ช่วยไปตรวจดูอีกครั้งเพคะ”สี่เชว่หลีกเลี่ยงดวงตาอันเย็นชาของเย่เฟยหลี และตอบกลับชนิดก้มหน้าก้มตา“ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะไปพระตำหนักอันชิ่งพร้อมกันกับเจ้า”ฉู่เนี่ยนซีจำได้ว่าตนเคยพูดไว้เช่นนั้นจริง จึงได้ตกปากรับคำทันทีหลังจากที่สี่เชว่ออกไป เย่เฟยหลีก็กดฉู่เนี่ยนซีที่กำลังจะลุกขึ้นเอาไว้ “ข้าจะไปกับเจ้า หากไปพระตำหนักอันชิ่งย่อมต้องได้พบเสด็จย่า ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว”“หากท่านไปด้วย ไทเฮาคงจะทำให้ข้าลำบากยิ่งกว่า”ฉู่เนี่ยนซียิ้มเบา ๆ คิ้วและดวงตาของนางโค้งงอราวกับดาวตกที่โผลบินและส่องแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า “เจ้าแน่ใจหรือว่าสภาพร่างกายปัจจุบันของเจ้าสามารถไปที่นั่นเองได้ ไม่ใช่ว่ารักษานางจนหายดี แต่เจ้ากลับล้มป่วยเสียเองเล่า”เย่เฟยหลียังคงกังวลและพยายามโน้มน้าวนางอีกสองสามประโยคฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจและมองดูเขาอย่างช่วยไม่ได้ “อ๋องหลีผู้ผ่านศึกได้อย่างเด็ดเดี่ยว มาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ก็ขี้บ่นเหมือนกันนะเจ้าคะ”“ข้าเพียงแค่…” เย่เฟยหลียิ้
“หากองค์หญิงห้าสะดุดก้อนหินจริง นางก็คงตกลงไปในสระน้ำด้วย แต่นางกลับยืนอย่างมั่นคง และไม่มีสีหน้าตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นความตั้งใจของนาง”ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีดูเหมือนชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ที่ปกคลุมพื้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่ามันจะไม่ได้แช่แข็งทุกอย่าง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกหนาวเหน็บ “หม่อมฉันอยากจะช่วยชายาหลีจริง ๆ แต่ไม่คิดว่าจะดึงท่านเอาไว้ไม่ได้”ซุนจื่อซีแสดงสีหน้ารู้สึกผิด เรียวคิ้วอันงดงามของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสารฉู่เนี่ยนซีเพียงมองดูนางอย่างไม่แสดงออก และไม่ได้พูดอะไร“แต่ชายาหลีอย่าได้สงสัยว่าหม่อมฉันมีเจตนาชั่วร้ายหรือมีเจตนาแอบแฝงเลย ไม่ว่าเป็นผู้ใดหม่อมฉันก็จะเข้าไปช่วยอยู่วันยันค่ำ เพียงแค่วันนี้บังเอิญเป็นชายาหลีพอดีเท่านั้น”ซุนจื่อซีสังเกตเห็นความสับสนในดวงตาของฉู่เนี่ยนซีจึงอธิบาย“แต่หม่อมฉันไม่อาจช่วยชายาหลีเอาผิดองค์หญิงห้าได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ จักรพรรดิยังต้องเกรงปากประชาชนจะแพร่กระจายข่าวออกไปว่าองค์หญิงและพระชายาไม่ถูกกัน นั่นเป็นเรื่องน่าอายจริง ๆ ตอนนั้นซีเอ๋อร์อยู่ข้างเสด็จย่า จึงทราบดีว
เพราะทุกสิ่งในสระอวี้ฮวาได้รับการปรับปรุงใหม่ตามความต้องการของฉู่เคอหลังยามค่ำมาเยือน ทุกสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในความเยือกเย็น แต่ความอบอุ่นภายในสระอวี้ฮวาให้ความรู้สึกราวกับฤดูร้อนความร้อนที่แสนอบอ้าวทำให้ร่างกายเซื่องซึม ไอน้ำเหนียว ๆ ก่อตัวเป็นแผ่นเคลือบผิวหนัง ทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นความร้อนและถูกบีบอัดอย่างแรงจนดูราวกับแทบจะไม่มีอากาศเหลืออยู่ในอกขันทีและนางกำนัลทุกคนไม่ได้อยู่ปรนนิบัติ อีกทั้งองครักษ์เฝ้ายามทั้งหมดก็ถูกถอนกำลังออกไป องค์จักรพรรดิอยู่เพียงลำพัง พระองค์ทรงอยู่ในฉลองพระองค์สำหรับบรรทมสีขาว พระเกศายุ่งเหยิงและเปียกโชกไปด้วยน้ำร้อนไอร้อนลอยอบอวลไปทั่วในอากาศจนเป็นหมอกสีขาว มีเพียงกลิ่นจาง ๆ ของดอกฉาฮวาที่แทรกซึมอยู่ในหมอกผ่านทะลุช่องว่างของหน้าต่าง กลายเป็นกลุ่มควันรูปร่างราวกับมีนางสวรรค์ที่มองไม่เห็นกำลังร่ายรำอยู่องค์จักรพรรดิทรงหลับตาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ราวกับตนได้ย้อนเวลากลับไปในตอนที่ทัดดอกฉาฮวาไว้บนผมของนางผู้นั้นสตรีที่ยืนอยู่ตรงประตูตำหนักโซ่วคัง สีหน้าของนางมีความกังวลเล็กน้อย ดวงตาของนางเย็นชาดุดดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนท้องฟ้า สายลมยามค่ำคืนส่งเสี
ความร้อนกระจายบริเวณรอบ ๆ สระอวี้ฮวา ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึงทางเข้านางกลับไม่เห็นฉู่กุ้ยเฟย อีกทั้งยังไม่มีขันทีหรือนางกำนัลอยู่เลยเมื่อนางเปิดประตูเข้าไปด้วยความสงสัย อากาศร้อนก็พุ่งมาปะทะหน้านาง ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจของนางก็รุนแรงมากขึ้น แต่คราวนี้นางอาจจะจับคนที่ว่าจ้างนักฆ่ามาสังหารนางได้ ดังนั้นฉู่เนี่ยนซีจึงไม่ได้ส่งเสียงถามออกไป เพียงแต่ระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นกว่าเดิมความร้อนปกคลุมใบหน้าของฉู่เนี่ยนซี ประกอบกับเสื้อผ้าหนา ๆ ที่ใส่อยู่ ทำให้มีเม็ดเหงื่อมากมายผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนางผ้าม่านสีเขียวผืนบางที่อยู่โดยรอบอยู่นิ่งไม่ไหวติง เสาหนาที่รองรับคานนั้นถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนและประณีตฉู่เนี่ยนซีพยายามไม่ให้มีเสียงเดินจากรองเท้าปักผ้าต่วน พร้อมกระชับเข็มเงินที่อยู่ในแขนเสื้อ พลางมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังยิ่งเดินเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งมีกลิ่นหอมโชยมามากขึ้นเท่านั้น ขณะที่เดินไปยังทิศทางของกลิ่นหอมที่ว่า ก็พบว่าหลังกลุ่มไอน้ำลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ตรงหน้า มีบุรุษผมยุ่งเหยิงผู้หนึ่งอยู่ในม่านไอน้ำ ยังไม่ทันมองได้ชัดเจนว่าเป็นใคร ก็ได้ยินเสียงคนจากข้างนอกตะโกนเข้า
“องค์จักรพรรดิไม่เพียงแต่ต้องคิดถึงตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องคิดถึงราษฎรในแผ่นดินด้วย การปล่อยให้พระวรกายขององค์จักพรรดิได้รับบาดเจ็บย่อมหมายถึงการทำลายชะตากรรมของบ้านเมือง ไม่ว่าเล่อเอ๋อร์จะตาฝาดหรือไม่ ก็ต้องทำการตรวจสอบสระอวี้ฮวาให้ถี่ถ้วน”เมื่อได้รับอนุญาตจากไทเฮา ดวงตาของเย่เซวียนเล่อก็เปล่งประกายด้วยความพึงพอใจ นางรีบหันไปออกคำสั่งองครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง“ไปค้นให้ทั่ว!”“ดูสิว่าใครจะกล้า!” องค์จักรพรรดิผู้น่าเกรงขามทอดพระเนตรมองด้วยความโกรธพลางส่งสายตาเคร่งขรึม“เสด็จแม่ พระราชวังมีการป้องกันอย่างแน่นหนา หากเกิดข่าวแพร่สะพัดว่ามีนักฆ่าบุกเข้ามา จะทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับมาตรการของทางพระราชวังกันไปต่าง ๆ นานา อีกทั้ง...”องค์จักรพรรดิเข้าใกล้ไทเฮาเล็กน้อยแล้วลดเสียงลง “เสด็จแม่ ผู้ที่ได้รับความเคารพจากผู้คนนับพับนับหมื่นถึงจะเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง ทว่าเมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่าลูกถูกลอบสังหาร ผู้คนก็จะตื่นตระหนกและลือไปทั่วว่าที่ลูกถูกลอบสังหารเป็นเพราะลูกไม่ใช่กษัตริย์ผู้มีคุณธรรม เรื่องนี้…”ไทเฮาหลุบสายตาลงและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เย่เซวียนเล่อไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้หล
“เจ้ามาที่นี่ในนามของแม่เจ้า ซึ่งถือเป็นการเติมเต็มความปรารถนาของข้า ตอนที่ข้าได้พบกับแม่ของเจ้าครั้งแรก นางบอกว่าน้ำพุร้อนควรจะสร้างเช่นไร จากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น”องค์จักรพรรดิทรงใช้คำพูดที่เป็นกันเอง“หม่อมฉันทราบเรื่องในอดีตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังทราบว่าเสด็จพ่อเคยมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับท่านแม่ หม่อมฉันเชื่อว่าท่านแม่ต้องรู้สึกขอบคุณในความปรารถนาดีของพระองค์แน่นอนเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีกล่าว เรียบ ๆองค์จักรพรรดิหันกลับมามองฉู่เนี่ยนซี ใบหน้านั้นดูคล้ายกันมาก ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงความคล้ายคลึง แต่ไม่ใช่นางดวงตาของพระองค์พร่ามัวเล็กน้อย ทรงยิ้มขมขื่นหลังจากนึกถึงฉู่เคอ“ใคร ๆ ก็เอาแต่ระแวงข้า กลัวว่าข้าจะพาเจ้าเข้ามาอยู่วังหลัง แต่ข้าไม่ใช่คนหื่นกามเช่นนั้น นางก็คือนาง เจ้าก็คือเจ้า จริงอยู่ที่ข้ายินดีที่ได้พบเจ้า แต่มันก็เป็นเพียงความยินดีที่ช่วยปลอบใจข้าเท่านั้น หากเจ้าไม่ได้แต่งงานกับหลีเอ๋อร์ ข้าก็คงจะรับเจ้ามาเป็นลูกของข้า”ดวงตาขององค์จักรพรรดิกลับมาฉายแววเจิดจ้า ทรงทอดพระเนตรมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความเอ็นดู“ที่เสด็จพ่อทำเช่นนั้น ก็คงเป็นเพราะเห็นถึ
“เสี่ยวเถาข้าไม่เป็นอะไร เรากลับกันเถอะ”ฉู่เนี่ยนซีบีบแก้มนุ่ม ๆ ของเสี่ยวเถา แล้วปล่อยให้นางนำเสื้อคลุมที่ตัวเองถอดไว้ตอนแรกใส่กลับเข้าไปเนื่องจากอยู่ในสระอวี้ฮวานานเกินไป เสื้อคลุมที่ฉู่เนี่ยนซีใส่จึงเปียกโชกไปด้วยความชื้นเมื่อกลับมาถึงตำหนักโซ่วคัง ฉู่เนี่ยนซีเพียงแค่เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดคร่าว ๆ โดยไม่ได้พูดถึงรู้สึกความโหยหาขององค์จักรพรรดิที่มีต่อฉู่เคอ มันโหดร้ายเกินกว่าที่จะบอกสตรีตรงหน้าว่าคนที่อยู่ข้างกายของนางรักสตรีอีกคนเพียงใดฉู่กุ้ยเฟยกังวลว่าฉู่เนี่ยนซีจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในวังอีกต่อไปวันรุ่งขึ้น หลังจากที่องค์จักรพรรดิทรงว่าราชกิจในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย ฉู่เนี่ยนซีก็ไปยังพระตำหนักหย่างซินเพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตจากองค์จักรพรรดิในพระตำหนักที่มีควันสีเทาลอยมาจากกระถางธูป ฉู่กุ้ยเฟยยืนอยู่ข้างโต๊ะ หมึกที่ฝนขับให้นิ้วของนางขาวราวกับหยก“เจ้าท้องอยู่เช่นนี้ก็ยังไม่กลัวเหนื่อย มานั่งลงคุยกับข้าหน่อยเถิด”องค์จักรพรรดิทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังฉู่กุ้ยเฟยอย่างรักใคร่ฉู่กุ้ยเฟยยิ้มอย่างงดงามราวกับต้นหลิวปลิวไสวในกลุ่มควัน ระลอกคลื่นควันเคลื่อนไปในสายลม
หลังจากที่ขันทีเฉินออกไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงออดอ้อนของลูกสาวดังขึ้นในพระตำหนัก ซึ่งแม้แต่ควันธูปก็สั่นไหวเบา ๆ ด้วยเสียงนั้น“เสด็จพ่อ”“เล่อเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?”เย่เซวียนเล่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่ยังคงไม่ลืมมารยาทที่จะทำความเคารพ จากนั้นจึงเข้ามาเขย่าแขนขององค์จักรพรรดิเบา ๆ“เสด็จพ่อ เหตุใดถึงทรงให้พี่สะใภ้สามกลับไปล่ะเพคะ? ลูกยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”องค์จักรพรรดิเพียงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังบุตรสาวที่โตแล้วตรงหน้า ดวงตาของพระองค์สั่นไหว อันที่จริงเมื่อสังเกตดี ๆ เย่เซวียนเล่อก็คล้ายตัวเองเหลือเกิน เพียงแต่นิสัยเหมือนเด็กของนางยังไม่หายไป พระองค์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ตั้งแต่เล็กจนโตฮองเฮาไม่ได้สั่งสอนบุตรสาวของนางให้ดีเย่เซวียนเล่อถูกองค์จักรพรรดิจ้องเขม็งมาเป็นเวลานานจึงรู้สึกหวั่นในใจ นางกระพริบขนตายาว ๆ ของนางแล้วพูดพร้อมแสร้งยิ้ม “เสด็จพ่อ เหตุใดถึงทรงจ้องเล่อเอ๋อร์เช่นนั้นล่ะเพคะ?”“เล่อเอ๋อร์ เรื่องบางเรื่องพ่ออาจจะเข้าข้างเจ้าได้บ้าง แต่พ่อเข้าข้างเจ้าไปตลอดไม่ได้หรอกนะ พ่อให้เจ้าอยู่เคียงข้างแม่เจ้ามาตลอดเพราะต้องการ