“เสี่ยวเถาข้าไม่เป็นอะไร เรากลับกันเถอะ”ฉู่เนี่ยนซีบีบแก้มนุ่ม ๆ ของเสี่ยวเถา แล้วปล่อยให้นางนำเสื้อคลุมที่ตัวเองถอดไว้ตอนแรกใส่กลับเข้าไปเนื่องจากอยู่ในสระอวี้ฮวานานเกินไป เสื้อคลุมที่ฉู่เนี่ยนซีใส่จึงเปียกโชกไปด้วยความชื้นเมื่อกลับมาถึงตำหนักโซ่วคัง ฉู่เนี่ยนซีเพียงแค่เล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดคร่าว ๆ โดยไม่ได้พูดถึงรู้สึกความโหยหาขององค์จักรพรรดิที่มีต่อฉู่เคอ มันโหดร้ายเกินกว่าที่จะบอกสตรีตรงหน้าว่าคนที่อยู่ข้างกายของนางรักสตรีอีกคนเพียงใดฉู่กุ้ยเฟยกังวลว่าฉู่เนี่ยนซีจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในวังอีกต่อไปวันรุ่งขึ้น หลังจากที่องค์จักรพรรดิทรงว่าราชกิจในตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย ฉู่เนี่ยนซีก็ไปยังพระตำหนักหย่างซินเพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตจากองค์จักรพรรดิในพระตำหนักที่มีควันสีเทาลอยมาจากกระถางธูป ฉู่กุ้ยเฟยยืนอยู่ข้างโต๊ะ หมึกที่ฝนขับให้นิ้วของนางขาวราวกับหยก“เจ้าท้องอยู่เช่นนี้ก็ยังไม่กลัวเหนื่อย มานั่งลงคุยกับข้าหน่อยเถิด”องค์จักรพรรดิทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังฉู่กุ้ยเฟยอย่างรักใคร่ฉู่กุ้ยเฟยยิ้มอย่างงดงามราวกับต้นหลิวปลิวไสวในกลุ่มควัน ระลอกคลื่นควันเคลื่อนไปในสายลม
หลังจากที่ขันทีเฉินออกไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงออดอ้อนของลูกสาวดังขึ้นในพระตำหนัก ซึ่งแม้แต่ควันธูปก็สั่นไหวเบา ๆ ด้วยเสียงนั้น“เสด็จพ่อ”“เล่อเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?”เย่เซวียนเล่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่ยังคงไม่ลืมมารยาทที่จะทำความเคารพ จากนั้นจึงเข้ามาเขย่าแขนขององค์จักรพรรดิเบา ๆ“เสด็จพ่อ เหตุใดถึงทรงให้พี่สะใภ้สามกลับไปล่ะเพคะ? ลูกยังไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”องค์จักรพรรดิเพียงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรไปยังบุตรสาวที่โตแล้วตรงหน้า ดวงตาของพระองค์สั่นไหว อันที่จริงเมื่อสังเกตดี ๆ เย่เซวียนเล่อก็คล้ายตัวเองเหลือเกิน เพียงแต่นิสัยเหมือนเด็กของนางยังไม่หายไป พระองค์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ตั้งแต่เล็กจนโตฮองเฮาไม่ได้สั่งสอนบุตรสาวของนางให้ดีเย่เซวียนเล่อถูกองค์จักรพรรดิจ้องเขม็งมาเป็นเวลานานจึงรู้สึกหวั่นในใจ นางกระพริบขนตายาว ๆ ของนางแล้วพูดพร้อมแสร้งยิ้ม “เสด็จพ่อ เหตุใดถึงทรงจ้องเล่อเอ๋อร์เช่นนั้นล่ะเพคะ?”“เล่อเอ๋อร์ เรื่องบางเรื่องพ่ออาจจะเข้าข้างเจ้าได้บ้าง แต่พ่อเข้าข้างเจ้าไปตลอดไม่ได้หรอกนะ พ่อให้เจ้าอยู่เคียงข้างแม่เจ้ามาตลอดเพราะต้องการ
หวังว่าการทำเช่นนี้จะทำให้เย่เซวียนเล่อเข้าใจว่านางทำผิดพลาดตรงไหน แม้นางจะเป็นองค์หญิงสายตรง แต่นางก็ไม่สามารถประพฤติตัวไม่ดีเช่นนี้ได้ อีกทั้งนี่จะช่วยแก้ปัญหาความกังวลของนางด้วยณ ตำหนักโซ่วคัง ฉู่เนี่ยนซีและฉู่กุ้ยเฟยขอบคุณน้ำพระทัยขององค์จักรพรรดิ และหลังจากเห็นขันทีเฉินกลับไปแล้ว พวกนางก็นั่งดื่มชาและพูดคุยอย่างอ่อนโยน“องค์จักรพรรดิมีพระประสงค์เช่นนี้เพราะหวังว่าตระกูลฉู่จะเลิกคิดติดใจและเปลี่ยนความเป็นปฏิปักษ์ให้กลายเป็นมิตรภาพ”ฉู่เนี่ยนซีเล่นกับสร้อยลูกปัดเทียนจู แม้แต่มูลค่าของสร้อยก็ไม่สามารถอธิบายความล้ำค่าของตัวมันเองได้ฉู่กุ้ยเฟยวางข้อศอกบนหมอนนุ่ม ๆ พลางพูดอย่างเห็นด้วย “ราชวงศ์ยึดมั่นในศักดิ์ศรีมากที่สุด นอกจากนี้ องค์หญิงห้ายังเป็นพระธิดาสายตรงที่พระองค์ทรงรักมาก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องทำให้เจ้าผิดหวัง”“เอาไปเก็บเถิด”ฉู่เนี่ยนซีส่งสร้อยลูกปัดให้เสี่ยวเถา ถึงจะติดตามเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ในเมื่อองค์จักรพรรดิทรงทำเช่นนี้ก็หมายความว่าพระองค์รู้อยู่แก่ใจแล้ว“ท่านป้า ข้ายังกังวลเรื่องท่านอยู่นิดหน่อยเจ้าค่ะ”แสงคมปลาบในดวงตาของฉู่เนี่ยน
เย่เฟยหลีครุ่นคิดก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “มันยากที่จะบอกได้ชัด น้องห้ามีนิสัยเอาแต่ใจมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เด็กไม่ว่านางอยากจะได้อะไร ฮองเฮาก็จะหามาให้นางทันที แต่หากเจ้าสงสัย ข้าก็จะส่งคนไปตรวจสอบดู”“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าพี่รองต้องการลงทุนในหอการแพทย์ และช่วงนี้เขาก็ส่งเงินและสมุนไพรหายากมากมายไปที่นั่น ดูเหมือนว่าพี่รองกำลังวางแผนที่จะเปิดทางให้ตัวเองสินะ”แม้ว่าเย่เฟยหลีไม่มีเจตนาที่จะยึดครองบัลลังก์ แต่ถ้าหากเย่เหลียนมีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่เหลียนจะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดอย่างแน่นอน“หอการแพทย์มิได้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของราชวงศ์ แต่ก็ใช่ว่าคล้อยตามคนผู้อื่นได้ง่าย ๆ”ฉู่เนี่ยนซีระงับสายตาที่ไม่สบายใจ และตอบออกไปอย่างใจเย็น“ในตอนแรกหอการแพทย์ยอมรับของขวัญเหล่านั้นไว้ แต่เมื่อเข้าใจความหมายของพี่รอง ก็เริ่มที่จะส่งของขวัญเหล่านั้นคืนกลับไปมากมาย โดยบอกว่าไม่รู้ราคาของสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่พอรู้แล้วจึงลำบากใจที่จะยอมรับเอาไว้เจ้าค่ะ”ท่าทางของฉู่เนี่ยนซีทำให้เย่เฟยหลีรู้ว่าหอการแพทย์จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกอ
เย่เฟยหลียืนกอดออกอยู่นอกหน้าต่าง มองดูผมที่ปลิวตามลมบนหน้าผากของฉู่เนี่ยนซีฉู่เนี่ยนซีไม่ได้คิดอะไรในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินเสียงดุจเดือนอันสุกใสของเขาก็ทำให้นางฉุกนึกถึงคำพูดของจักรพรรดิตอนที่อยู่สระอวี้ฮวาขึ้นมาได้ทันใดนางต่อต้านความอ้างว้างที่เติมเต็มหัวใจของนางอีกครั้ง โดยรู้ว่าตอนนี้หากถามเขาออกไปว่าวันหนึ่งความกระตือรือร้นทั้งหมดนี้จะหายไปหรือไม่ เย่เฟยหลีก็คงจะต้องตอบว่า "ไม่" อย่างแน่นอนถึงตอนนี้จะไม่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะไม่หายไปนางไม่ได้ถามอะไร เพียงแต่ตอบกลับไปเสียงเรียบว่า “ในเรือนอากาศอุดอู้ เลยออกมาสูดอากาศน่ะเจ้าค่ะ”คืนนั้น ฉู่เนี่ยนซีนอนไม่หลับ นางพลิกตัวปรับท่านอนไปมาทันใดนั้นในคืนที่มืดมิดก็มีเสียงเย่เฟยหลีลุกจากเตียง เขาเดินมาถึงข้างเตียงของฉู่เนี่ยนซีก่อนจะวางผ้าห่มลงแล้วนอนลงข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีและกอดนางไว้อย่างอ่อนโยน“รีบนอนเถิด”เดิมทีฉู่เนี่ยนซีคิดว่านางคงนอนไม่หลับแน่ ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากนอนเงียบ ๆ สักพักนางก็ผล็อยหลับไปในที่สุดวันรุ่งขึ้น ฮูหยินฉู่ก็เข้าไปในวังพร้อมผ้าที่หาจนทั่วเมืองหลวงกว่าจะหาซื้อมาได้ หลังจากมาถึงพระตำหนักอั
หลังจากที่ตรวจชีพจรของนางแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็กล่าวกับทุกคนว่า “คุณหนูจื่อซีไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่ร่างกายยังไม่หายดีจึงเป็นลมไปก็เท่านั้นเพคะ”จากนั้นฉู่เนี่ยนซีก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนใบสั่งยาของหมอหลวงเล็กน้อย นางตัดส่วนผสมยาออกสองรายการ และเพิ่มตัวยาอื่น ๆ อีกบางรายการ ก่อนจะส่งคนไปรับยาที่สำนักหมอหลวง ฮูหยินฉู่ปลอบไทเฮาว่า “ซีเอ๋อร์อยู่ที่นี่แล้ว ไทเฮาเองก็ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองด้วย พวกเรากลับไปรอฟังข่าวเถิดเพคะ หากคุณหนูจื่นซีฟื้นแล้วจะส่งคนไปรายงานให้ท่านทราบทันที”หลังจากที่ฮูหยินฉู่และไทเฮาจากไปแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็มาที่ห้องโถงใหญ่และกล่าวกับเย่เฟยลี่ที่รออยู่ที่นั่นว่า “ไม่สะดวกที่ท่านจะรออยู่ที่ห้องส่วนตัวของหญิงสาวเช่นนี้ ท่านไปรอที่ห้องโถงใหญ่กับไทเฮาเถิดเพคะ”เย่เฟยหลีพยักหน้าและจากไปทันใดนั้นทั้งห้องก็โล่งขึ้นมาก หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีรอให้คนรับใช้นำยาต้มมาให้ นางก็ป้อนมันให้กับซุนจื่อซี หลังจากผ่านไปสักครู่ ซุนจื่อซีก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา หลังจากเห็นคนที่อยู่ข้างเตียงอย่างชัดเจน นางจึงถามด้วยความสงสัย “หม่อมฉันเป็นอะไรไปหรือเพคะ?”ฉู่เนี่ยนซีเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของซุนจ
“จื่อซีไม่สบาย ให้ชายาหลีรักษานางจะเป็นอะไรไป นางก็เหมือนกับน้องสาวของเจ้าคนหนึ่ง เจ้าจะใจร้ายเมินนางได้ลงคอนั้นรึ? ข้าแค่อยากให้นางได้พักฟื้นในจวนอ๋องหลีเพราะนางกำลังป่วย มันจะส่งผลเสียแค่ไหนกันเชียว?”ไทเฮาแสดงความโกรธเล็กน้อย เห็นแก่ฮูหยินฉู่ที่อยู่ข้าง ๆ จึงไม่ได้บีบบังคับมากนัก แต่นางก็ยังดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ฮูหยินฉู่พูดอะไรไม่ได้เพราะนางเป็นแม่ยายของเย่เฟยหลี จึงยากที่จะเปิดปากหากยอมตกลงก็จะสร้างปัญหาให้แก่ลูกสาวของตน แต่หากไม่เห็นด้วยก็จะกลายเป็นคนใจแคบที่ช่วยเหลือแค่ญาติตัวเองเท่านั้น นางถูกหนีบอยู่ตรงกลางไม่รู้จะทำเช่นไรดี ดังนั้นจึงเลือกที่จะเงียบแทนเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ ก็รู้คร่าว ๆ ว่ากำลังทะเลาะกันเรื่องอะไรเมื่อนึกถึงสิ่งที่ซุนจื่อซีพูดกับนางเมื่อครู่ ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ซุนจื่อซีและตัวเองได้เข้าใจ “เช่นนั้นก็ให้คุณหนูจื่อซีพักรักษาตัวอยู่ที่จวนของท่านอ๋องหลี หายดีแล้วค่อยกลับพระตำหนักอันชิ่งเถิดเพคะ”เสียงเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีทำให้บรรยากาศการพูดคุยในห้องโถงดูอ่อนลง“ซีเอ๋อร์ นี่เจ้า...”เย่เฟยหลีมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วย
ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมอง มุมปากของนางยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนดอกตูมในฤดูใบไม้ผลิ“ชายายังคงมีความสุขได้อีกหรือเพคะ บ่าวเป็นกังวลจนแทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว”“กังวลเรื่องอะไร?” ฉู่เนี่ยนซียังคงดูสมุดบัญชีต่อพลางถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น“ก็คุณหนูจื่อซี… บ่าวได้ยินมาจากเหลียงหยวนว่าตั้งแต่กลับมาถึงจวน ท่านอ๋องก็อารมณ์ไม่ดี เมื่อครู่พระองค์ยังเสด็จไปที่เรือนของคุณหนูจื่อซีอีกด้วยนะเพคะ แต่พระชายากลับยังมีอารมณ์มานั่งตรวจบัญชีที่นี่อยู่อีก”ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ตอบอะไรเสี่ยวเถา นางเข้าใจว่าเหตุใดสมุดบัญชีถึงได้ถูกส่งมาเป็นจำนวนมากในเวลานี้ นี่เป็นวิธีการของเย่เฟยหลีที่กำลังบอกผู้คนในจวนว่านางคือพระชายาแห่งจวนอ๋องหลี และเป็นนายของพวกเขา และบอกให้คนใช้หยุดคาดเดากันมั่ว ๆ ซุนจื่อซีถูกจัดเตรียมให้อาศัยในเรือนที่เคยเป็นของซ่างกวานเยียน นางเพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จเย่เฟยหลีก็เสด็จมา นางรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย และรู้สึกว่าเขายังห่วงใยตนอยู่“พี่สาม”ซุนจื่อซีงงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยขึ้น นี่คือชื่อเรียกเดิม แต่นางไม่ได้เรียกเขาเช่นนี้มานานแล้ว‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’ นางเองก็จำไม่ได้แล้วนางรู้ว่าตัวเองไม