นางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ คลุมผ้าห่มให้เย่เซวียนเล่อและพูดด้วยความโกรธ “องค์หญิงอย่าปล่อยนางไปนะเพคะ!""ไปพระตำหนักอันชิ่งกัน ข้าจะให้เสด็จย่าลงโทษนางสารเลวคนนั้นให้สาสม!"เย่เซวียนเล่อโกรธจนร่างกายร้อนจัด ดังนั้นนางจึงเลิกผ้าห่มออกและเตรียมออกไปข้างนอก“องค์หญิงต้องสวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกหนา ๆ ด้วยนะเพคะ ไม่เช่นนั้นจะป่วยเอาได้ แล้วจะทรงเห็นไทเฮาลงโทษนางด้วยตาตัวได้อย่างไรกันล่ะเพคะ?”นางกำนัลดึงเย่เซวียนเล่อไว้พร้อมกับเกลี้ยกล่อมนาง จากนั้นจึงหยิบเสื้อคลุมออกมาจากตู้แล้วสวมให้เย่เซวียนเล่อ ก่อนจะคลุมศีรษะของนางด้วยหมวกคลุมขนาดใหญ่ จากนั้นก็ติดตามเย่เซวียนเล่อไปยังพระตำหนักอันชิ่งเมื่อเย่เซวียนเล่อมาถึงพระตำหนักอันชิ่งด้วยความโกรธ สี่เชว่นางกำนัลรับใช้ซุนจื่อซีก็รออยู่ที่ประตูแล้ว เมื่อนางเห็นเย่เซวียนเล่อก็รีบเอ่ยทักทายทันที “ถวายบังคมองค์หญิงห้าเพคะ”เย่เซวียนเล่อมองนางอย่างไม่อดทน “มีเรื่องอะไร?”“คุณหนูซีเอ๋อร์บอกว่า นางคาดไว้แล้วว่าท่านจะเสด็จมาที่พระตำหนักอันชิ่ง จึงสั่งให้บ่าวมารอต้อนรับองค์หญิงห้าที่นี่เพคะ คุณหนูซีเอ๋อร์มีเรื่องอยากจะพูดคุยกับองค์หญิงหน้าเพคะ” สี่เชว่ต
นางคิดว่าซุนจื่อซีเกลียดฉู่เนี่ยนซีเพราะเย่เฟยหลี แต่ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นคนตีสองหน้า ด้านหนึ่งทำเป็นอยู่ฝ่ายเดียวกับนางแต่ในเวลาเดียวกันก็ประจบประแจงฉู่เนี่ยนซี “ซีเอ๋อร์จะขัดแย้งกับองค์หญิงห้าได้อย่างไรกันเพคะ? อย่างไรเสียหม่อมฉันก็เติบโตมาได้เพราะเสด็จย่า และหม่อมฉันก็รักและเคารพองค์หญิงมาก แต่องค์หญิงห้าก็ทราบดีว่าเวลานั้นความจริงเป็นเช่นไร”เย่เซวียนเล่อจ้องมองใบหน้าของนางด้วยแววตาเฉียบคมทันที“นี่ท่านกำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ? ซุนจื่อซี ท่านก็เป็นแค่คนที่ถูกเสด็จย่าเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใครสิ”“ซีเอ๋อร์มิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่อยากเป็นพยานให้กับองค์หญิงห้า เพื่อป้องกันไม่ให้ชายาหลีโกรธและทำร้ายองค์หญิงห้าก็เท่านั้นนะเพคะ”เย่เซวียนเล่อดูถูกการแสดงออกถึงความมีน้ำใจและความเป็นห่วงเป็นใยของซุนจื่อซี“ข้ายังต้องกลัวด้วยงั้นรึ?”“องค์หญิงห้าเป็นองค์หญิงเชื้อพระวงศ์ เช่นนั้นย่อมเป็นที่รักใคร่โดยธรรมชาติ แต่ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิถึงเปลี่ยนทัศนคติทันทีเมื่อชายาหลีถูกตัดสินโทษ หม่อมฉันเกรงว่าหากองค์จักรพรรดิทราบเรื่องนี้ นอกจากจะไม่
ในเวลานี้ป้าหยางเหอรีบเดินเข้ามาจากด้านนอก หลังจากทักทายทั้งสองแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋องหลีเสด็จมาถวายความเคารพต่อพระนางเพคะ”ฉู่กุ้ยเฟยเคาะจมูกฉู่เนี่ยนซีพลางยิ้มหยอกล้อ “มาถวายความเคารพข้า หรือว่ามาดูเด็กนี่กันแน่?”“แน่นอนว่าต้องมาถวายความเคารพต่อท่านป้าสิเจ้าคะ”รอยยิ้มของฉู่เนี่ยนซีบานสะพรั่งราวกับดอกแพร์สีขาวบริสุทธิ์ ที่ดูอ่อนโยนและขี้อายผ่านไปไม่นานแสงสีดำก็แวบเข้ามาในห้องบรรทมและสบตาของฉู่เนี่ยนซี ทันใดนั้นห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นราวกับสนเขียวชอุ่มเย่เฟยหลีเม้มริมฝีปากบางและไม่พูดอะไร เขามองฉู่เนี่ยนซีที่ผมดำเปียกปอนนั่งอยู่หัวเตียงราวกับลูกแมว ความอ่อนโยนและความโกรธในใจของเขาพันกันราวกับเถาวัลย์สองต้นเขารีบสาวเท้าเดินไปด้านข้างของฉู่เนี่ยนซี และกอดนางไว้ในอ้อมแขน ฉู่เนี่ยนซีรีบดึงยาออกไปอีกทาง“ยาหกหมดแล้วเจ้าค่ะ...”เย่เฟยหลีหยิบชามยาจากมือของนางมา แล้วให้นางพิงหน้าอกตัวเองก่อนจะป้อนยาให้นางฉู่เนี่ยนซีรู้สึกถึงแรงกระเพื่อมที่หน้าอกของบุรุษที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจน ท่าทางดังกล่าวมันค่อนข้างคลุมเครือเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้นางทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย นางไม่มี
“บ่าวเชิญหมอหลวงแล้วเพคะ ท่านหมอกล่าวว่าพิษไข้สามารถลดลงได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา บ่าวเป็นห่วงคุณหนูจึงได้มาเชิญพระชายาให้ช่วยไปตรวจดูอีกครั้งเพคะ”สี่เชว่หลีกเลี่ยงดวงตาอันเย็นชาของเย่เฟยหลี และตอบกลับชนิดก้มหน้าก้มตา“ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะไปพระตำหนักอันชิ่งพร้อมกันกับเจ้า”ฉู่เนี่ยนซีจำได้ว่าตนเคยพูดไว้เช่นนั้นจริง จึงได้ตกปากรับคำทันทีหลังจากที่สี่เชว่ออกไป เย่เฟยหลีก็กดฉู่เนี่ยนซีที่กำลังจะลุกขึ้นเอาไว้ “ข้าจะไปกับเจ้า หากไปพระตำหนักอันชิ่งย่อมต้องได้พบเสด็จย่า ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว”“หากท่านไปด้วย ไทเฮาคงจะทำให้ข้าลำบากยิ่งกว่า”ฉู่เนี่ยนซียิ้มเบา ๆ คิ้วและดวงตาของนางโค้งงอราวกับดาวตกที่โผลบินและส่องแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า “เจ้าแน่ใจหรือว่าสภาพร่างกายปัจจุบันของเจ้าสามารถไปที่นั่นเองได้ ไม่ใช่ว่ารักษานางจนหายดี แต่เจ้ากลับล้มป่วยเสียเองเล่า”เย่เฟยหลียังคงกังวลและพยายามโน้มน้าวนางอีกสองสามประโยคฉู่เนี่ยนซีถอนหายใจและมองดูเขาอย่างช่วยไม่ได้ “อ๋องหลีผู้ผ่านศึกได้อย่างเด็ดเดี่ยว มาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ก็ขี้บ่นเหมือนกันนะเจ้าคะ”“ข้าเพียงแค่…” เย่เฟยหลียิ้
“หากองค์หญิงห้าสะดุดก้อนหินจริง นางก็คงตกลงไปในสระน้ำด้วย แต่นางกลับยืนอย่างมั่นคง และไม่มีสีหน้าตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นความตั้งใจของนาง”ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีดูเหมือนชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ที่ปกคลุมพื้นในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แม้ว่ามันจะไม่ได้แช่แข็งทุกอย่าง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกหนาวเหน็บ “หม่อมฉันอยากจะช่วยชายาหลีจริง ๆ แต่ไม่คิดว่าจะดึงท่านเอาไว้ไม่ได้”ซุนจื่อซีแสดงสีหน้ารู้สึกผิด เรียวคิ้วอันงดงามของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสารฉู่เนี่ยนซีเพียงมองดูนางอย่างไม่แสดงออก และไม่ได้พูดอะไร“แต่ชายาหลีอย่าได้สงสัยว่าหม่อมฉันมีเจตนาชั่วร้ายหรือมีเจตนาแอบแฝงเลย ไม่ว่าเป็นผู้ใดหม่อมฉันก็จะเข้าไปช่วยอยู่วันยันค่ำ เพียงแค่วันนี้บังเอิญเป็นชายาหลีพอดีเท่านั้น”ซุนจื่อซีสังเกตเห็นความสับสนในดวงตาของฉู่เนี่ยนซีจึงอธิบาย“แต่หม่อมฉันไม่อาจช่วยชายาหลีเอาผิดองค์หญิงห้าได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์ จักรพรรดิยังต้องเกรงปากประชาชนจะแพร่กระจายข่าวออกไปว่าองค์หญิงและพระชายาไม่ถูกกัน นั่นเป็นเรื่องน่าอายจริง ๆ ตอนนั้นซีเอ๋อร์อยู่ข้างเสด็จย่า จึงทราบดีว
เพราะทุกสิ่งในสระอวี้ฮวาได้รับการปรับปรุงใหม่ตามความต้องการของฉู่เคอหลังยามค่ำมาเยือน ทุกสรรพสิ่งล้วนตกอยู่ในความเยือกเย็น แต่ความอบอุ่นภายในสระอวี้ฮวาให้ความรู้สึกราวกับฤดูร้อนความร้อนที่แสนอบอ้าวทำให้ร่างกายเซื่องซึม ไอน้ำเหนียว ๆ ก่อตัวเป็นแผ่นเคลือบผิวหนัง ทั้งร่างถูกห่อหุ้มด้วยคลื่นความร้อนและถูกบีบอัดอย่างแรงจนดูราวกับแทบจะไม่มีอากาศเหลืออยู่ในอกขันทีและนางกำนัลทุกคนไม่ได้อยู่ปรนนิบัติ อีกทั้งองครักษ์เฝ้ายามทั้งหมดก็ถูกถอนกำลังออกไป องค์จักรพรรดิอยู่เพียงลำพัง พระองค์ทรงอยู่ในฉลองพระองค์สำหรับบรรทมสีขาว พระเกศายุ่งเหยิงและเปียกโชกไปด้วยน้ำร้อนไอร้อนลอยอบอวลไปทั่วในอากาศจนเป็นหมอกสีขาว มีเพียงกลิ่นจาง ๆ ของดอกฉาฮวาที่แทรกซึมอยู่ในหมอกผ่านทะลุช่องว่างของหน้าต่าง กลายเป็นกลุ่มควันรูปร่างราวกับมีนางสวรรค์ที่มองไม่เห็นกำลังร่ายรำอยู่องค์จักรพรรดิทรงหลับตาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ราวกับตนได้ย้อนเวลากลับไปในตอนที่ทัดดอกฉาฮวาไว้บนผมของนางผู้นั้นสตรีที่ยืนอยู่ตรงประตูตำหนักโซ่วคัง สีหน้าของนางมีความกังวลเล็กน้อย ดวงตาของนางเย็นชาดุดดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนท้องฟ้า สายลมยามค่ำคืนส่งเสี
ความร้อนกระจายบริเวณรอบ ๆ สระอวี้ฮวา ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีมาถึงทางเข้านางกลับไม่เห็นฉู่กุ้ยเฟย อีกทั้งยังไม่มีขันทีหรือนางกำนัลอยู่เลยเมื่อนางเปิดประตูเข้าไปด้วยความสงสัย อากาศร้อนก็พุ่งมาปะทะหน้านาง ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจของนางก็รุนแรงมากขึ้น แต่คราวนี้นางอาจจะจับคนที่ว่าจ้างนักฆ่ามาสังหารนางได้ ดังนั้นฉู่เนี่ยนซีจึงไม่ได้ส่งเสียงถามออกไป เพียงแต่ระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นกว่าเดิมความร้อนปกคลุมใบหน้าของฉู่เนี่ยนซี ประกอบกับเสื้อผ้าหนา ๆ ที่ใส่อยู่ ทำให้มีเม็ดเหงื่อมากมายผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนางผ้าม่านสีเขียวผืนบางที่อยู่โดยรอบอยู่นิ่งไม่ไหวติง เสาหนาที่รองรับคานนั้นถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนและประณีตฉู่เนี่ยนซีพยายามไม่ให้มีเสียงเดินจากรองเท้าปักผ้าต่วน พร้อมกระชับเข็มเงินที่อยู่ในแขนเสื้อ พลางมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังยิ่งเดินเข้าใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งมีกลิ่นหอมโชยมามากขึ้นเท่านั้น ขณะที่เดินไปยังทิศทางของกลิ่นหอมที่ว่า ก็พบว่าหลังกลุ่มไอน้ำลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ตรงหน้า มีบุรุษผมยุ่งเหยิงผู้หนึ่งอยู่ในม่านไอน้ำ ยังไม่ทันมองได้ชัดเจนว่าเป็นใคร ก็ได้ยินเสียงคนจากข้างนอกตะโกนเข้า
“องค์จักรพรรดิไม่เพียงแต่ต้องคิดถึงตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องคิดถึงราษฎรในแผ่นดินด้วย การปล่อยให้พระวรกายขององค์จักพรรดิได้รับบาดเจ็บย่อมหมายถึงการทำลายชะตากรรมของบ้านเมือง ไม่ว่าเล่อเอ๋อร์จะตาฝาดหรือไม่ ก็ต้องทำการตรวจสอบสระอวี้ฮวาให้ถี่ถ้วน”เมื่อได้รับอนุญาตจากไทเฮา ดวงตาของเย่เซวียนเล่อก็เปล่งประกายด้วยความพึงพอใจ นางรีบหันไปออกคำสั่งองครักษ์ที่อยู่ด้านหลัง“ไปค้นให้ทั่ว!”“ดูสิว่าใครจะกล้า!” องค์จักรพรรดิผู้น่าเกรงขามทอดพระเนตรมองด้วยความโกรธพลางส่งสายตาเคร่งขรึม“เสด็จแม่ พระราชวังมีการป้องกันอย่างแน่นหนา หากเกิดข่าวแพร่สะพัดว่ามีนักฆ่าบุกเข้ามา จะทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับมาตรการของทางพระราชวังกันไปต่าง ๆ นานา อีกทั้ง...”องค์จักรพรรดิเข้าใกล้ไทเฮาเล็กน้อยแล้วลดเสียงลง “เสด็จแม่ ผู้ที่ได้รับความเคารพจากผู้คนนับพับนับหมื่นถึงจะเป็นจักรพรรดิที่แท้จริง ทว่าเมื่อมีข่าวแพร่ออกไปว่าลูกถูกลอบสังหาร ผู้คนก็จะตื่นตระหนกและลือไปทั่วว่าที่ลูกถูกลอบสังหารเป็นเพราะลูกไม่ใช่กษัตริย์ผู้มีคุณธรรม เรื่องนี้…”ไทเฮาหลุบสายตาลงและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เย่เซวียนเล่อไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้หล