ซุนจื่อซีกำลังจะไปป้อนยาให้ไทเฮา เมื่อนางเปิดม่าน นางก็เห็นเย่เฟยหลียืนโอบฉู่เนี่ยนซีอยู่ที่ทางเข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติในทันที นางทำความเคารพเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีอย่างสุภาพนอบน้อม “ถวายบังคมท่านอ๋องเหลียนและพระชายาหลี ข้างนอกอากาศหนาวมาก เข้ามาอบอุ่นร่างกายก่อนเถอะเพคะ”ไทเฮาที่นอนอยู่บนเตียงก็มีสีหน้าไม่ดีเมื่อได้ยินว่าฉู่เนี่ยนซีมา แต่คนดูแลตำหนักไม่สามารถไล่ฉู่เนี่ยนซีออกไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่แสร้งทำเป็นไม่เห็นนางตรงทางเข้า ฉู่เนี่ยนซีให้เสี่ยวเถาถอดเสื้อคลุมของนางออกแล้วเดินเข้าไปในพระตำหนักกับเย่เฟยหลีเพื่อทำความเคารพไทเฮา“หลานขอทำความเคารพเสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”“ถวายบังคมไทเฮาเพคะ”“หลีเอ๋อร์มาแล้วหรือ รีบลุกขึ้นเถิด”ไทเฮามองแค่เย่เฟยหลีเท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงตอนที่เย่เฟยหลีต่อต้านนางอย่างเปิดเผยในวันนั้น นางก็ยังคงโกรธอยู่เล็กน้อย อีกทั้งสายตาของนางก็ไม่ได้แสดงความรักและเอ็นดูเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้วเย่เฟยหลีพยุงฉู่เนี่ยนซีให้ยืนขึ้นพร้อมกัน นางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงนำตั่งม้านั่งมาให้พวกเขาและนำชาร้อนสองถ้วยมาให้ด้วย
บรรยากาศในหอนอนเริ่มเยือกเย็นเล็กน้อย แม้แต่นางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นซุนจื่อซีมาพร้อมกับถาดเคลือบเงานางก็รู้สึกโล่งใจ“เสด็จย่า ซีเอ๋อร์เตรียมขนมฝูหรงกรอบไว้ให้ท่านด้วย ยังร้อนอยู่เลยเพคะ หากเสวยโอสถแล้วรู้สึกขม ท่านสามารถใช้ความหวานของขนมฝูหรงกรอบเพื่อลดความขมได้เพคะ”เสียงที่สดใสของซุนจื่อซีคืนความอบอุ่นและความมีชีวิตชีวาราวกับฤดูใบไม้ผลิให้ทั่วทั้งหอนอนนางจะไม่รับรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น ซุนจื่อซีส่ายหน้าให้เย่เฟยหลีอย่างเงียบ ๆ เป็นการบอกเขาว่าอย่าได้ใส่ใจพลางพูดอย่างอ่อนโยนอีกครั้งซุนจื่อซีวางจานเคลือบไว้บนโต๊ะอาหารและนั่งลงบนเตียงพร้อมชามยา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางช่างอ่อนหวานและละเอียดอ่อนราวกับดอกกุหลาบ นางเกลี้ยกล่อมไทเฮาว่า “ยานี้กำลังอุ่น ๆ เสด็จย่าเสวยได้เลยนะเพคะ”ไทเฮาผลักยาออกไปอย่างไม่พอใจพลางเอียงศีรษะมองเย่เฟยหลี แม้นางจะดูเหมือนเด็กที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ในดวงตาของนางก็มีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้ “หลีเอ๋อร์ หากเจ้ารู้สึกเห็นใจย่าจริง ๆ ก็แต่งงานกับซีเอ๋อร์สิ”ท่าทางของเย่
ไทเฮาจ้องมองด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองและความไม่พอใจในอกของนางก็พลุ่งพล่านออกมาจากลำคอ นางหวังว่านางจะกลายเป็นเชือกฟางผูกมัดเย่เฟยหลี เพื่อให้เขาและซุนจื่อซีได้เข้าหอลงโลง“สิ่งที่หลานต้องการให้เสด็จย่าทำไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นการยอมแพ้ ตอนนั้นซ่างกวานเยียนเอาตัวมารับดาบแทนหลาน หลานไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรจึงให้นางแต่งเข้ามาเป็นชายารองตามที่นางปรารถนา แต่ตอนนี้แม้จื่อซีจะมารับดาบแทนหลานอีก หลานก็จะไม่ยอมรับนางเป็นชายารองหรือชายาเอกอีกคน” “หากเสด็จย่ายืนกรานที่จะไม่เสวยยา แล้วเกิดอะไรขึ้น หลานก็จะขอติดตามเสด็จย่าไปยังปรภพ และจะไปขอการอภัยต่อเจ้าแห่งนรก หลานกับซีเอ๋อร์ต้องขอตัวก่อน ขอเสด็จย่าทรงรักษาพระพลานามัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อพูดจบ เย่เฟยหลีก็คำนับไทเฮา พลางจับมือของฉู่เนี่ยนซีอีกครั้งแล้วออกจากพระตำหนักไป“หลีเอ๋อร์ เจ้า!”ไทเฮานั่งตัวตรงด้วยความโกรธ พลางมองตามร่างที่หายไปหลังประตูอย่างไม่พอใจ นางไม่สามารถระบายความหดหู่ในอกได้ ซุนจื่อซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระงับสีหน้าโศกเศร้าของตัวเอง และลูบหลังของไทเฮาเพื่อทำให้นางสงบลงหลังออกจากพระตำหนักอันชิ่งแล้ว เย่เฟยหลีจึงสงบลงได้
“แม้อุทยานของวังหลวงในฤดูร้อนจะดูสดชื่นไปด้วยดอกไม้ที่บานสะพรั่ง แต่ทิวทัศน์ก็แตกต่างไปจากช่วงฤดูหนาว เจ้าไปเดินเล่นดูก่อนสิ หากรู้สึกหนาวก็ค่อยมาหาข้า”เย่เฟยหลีแนะนำฉู่เนี่ยนซี เมื่อนางพยักหน้าตกลง เขาก็จากไปพร้อมกับขันทีเฉินเสี่ยวเถาที่รออยู่ข้าง ๆ มาหาฉู่เนี่ยนซีและสวมเสื้อคลุมให้นาง ในขณะที่มัดเชือกอย่างระมัดระวัง นางก็พูดอย่างมีความสุข “พระชายา บ่าวเองก็เห็นว่าท่านอ๋องทรงห่วงใยท่านอย่างแท้จริงนะเจ้าคะ”ฉู่เนี่ยนซีทำเพียงพยักหน้า ไม่ตอบสนองต่อคำพูดของเสี่ยวเถาณ ตอนนี้มีแต่ความอ่อนโยนและความวาบหวาม แล้วต่อไปเล่า? คนเราเวลาที่ใช้ชีวิตไม่ควรมองอะไรเพียงผิวเผิน ชีวิตนั้นยังอีกยาวไกล ใครจะคาดเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่อุทยานวังหลวงละลานตาไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์และดอกเหมยสีแดงที่ลอดผ่านหิมะ ซึ่งเผยกลิ่นหอมออกมา สีแดงและสีขาวตัดกันได้สวยงามยิ่งแทบไม่มีใครเดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยหิมะนี้ ทำให้ผืนหิมะราบเรียบจนรู้สึกราวกับอยู่ในแดนสวรรค์ฉู่เนี่ยนซีมีบางอย่างอยู่ในใจ ดังนั้นนางจึงเดินชมดอกเหมยอย่างหลงลืมเวลา นางได้ยินเพียงเสียงหิมะบนกิ่งก้านที่ถูกลมพัดตกลงสู
พูดจบ ท่าทางของฉู่เนี่ยนซีก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที ประกายที่เล็ดลอดออกมาจากดวงตาของนางทั้งเฉียบคมและน่าเกรงขาม“ท่านอ๋องระวังตนไว้ดีกว่า หากมากล่าววาจาไม่รื่นหูต่อหน้าหม่อมฉันอีก หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรลงไปบ้าง”ฉู่เนี่ยนซีเดินไปหาเย่เหลียนพลางมองดูกิ่งก้านเปลือยเปล่าที่ทอดยาวอยู่รอบ ๆ เสียงของนางแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความสมเพช “ท่านไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้คิดว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าท่านอ๋องหลี? เกรงว่าคงจะมีท่านคนเดียวที่คิดเช่นนั้น”เสี่ยวเถาเดินตามรอยเท้าของฉู่เนี่ยนซีออกจากอุทยานวังหลวง ระหว่างทางเสี่ยวเถาก็พูดกับฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธ “ทูลให้ท่านอ๋องทราบเรื่องดีกว่าเพคะ จากนั้น…”ฉู่เนี่ยนซีมองเสี่ยวเถาอย่างจนใจ พลางบีบแก้มนางแล้วถามว่า “เจ้าเป็นคนของข้าหรือของเขา?”“แต่ว่าท่านอ๋อง...”“เอาเป็นว่าแก้ปัญหาเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร เรื่องแบบนี้ไม่ควรค่าแก่การจดจำแม้แต่น้อย เหตุใดจึงต้องกังวลอีก?”เสี่ยวเถาคิดว่าสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นสมเหตุสมผลมาก จากนั้นเสี่ยวเถาก็เดินตามนางไปที่พระตำหนักหย่างซิน เมื่อขันทีเฉินเห็นพวกนางทั้งสองมาเขาก็เชิญไปที่
รถม้าเคลื่อนช้า ๆ ไปยังประตูจวนตระกูลเหยียน เสี่ยวเถาที่อยู่ในรถม้ายกม่านขึ้นพลางพูดกับฉู่เนี่ยนซี่ “พวกเรามาถึงแล้วเพคะ พระชายา”เป่าจูซึ่งรออยู่ที่ประตูมาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นรถม้าที่เข้ามาใกล้เป็นรถม้าของจวนอ๋องหลี นางจึงรีบลงบันไดไปทักทายทันทีคนขับรถม้าจัดแท่นรอง เสี่ยวเถาลงจากรถก่อนแล้วจึงช่วยฉู่เนี่ยนซีลงจากรถม้าตามลงมา“ถวายความเคารพพระชายาเพคะ” เป่าจูมาหาฉู่เนี่ยนซีพร้อมทำความเคารพนาง “คุณหนูให้หม่อมฉันออกมาดูหลายครั้ง เพื่อรอพระชายาเพคะ”เมื่อเห็นว่าไม่มีความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเป่าจู ฉู่เนี่ยนซีก็สงสัย “ใบหน้าคุณหนูของเจ้ามีอะไรผิดปกติอีกแล้วหรือ?”เป่าจูเชิญฉู่เนี่ยนซี่เข้าไปข้างใน พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ร่วงหล่นและเถาวัลย์ที่ตายแล้ว จากนั้นนางก็พูดด้วยความเคารพและอ่อนโยน “คุณหนูสบายดีเพคะ เพียงแต่นางมีเรื่องส่วนตัวจะพูดกับพระชายาเท่านั้น”หลังจากมาถึงห้องส่วนตัวของเหยียนจือซิน เสี่ยวเถาและเป่าจูก็ถอยออกไปทันทีที่เหยียนจือซินเห็นฉู่เนี่ยนซี่ นางก็วิ่งไปทันทีและดึงฉู่เนี่ยนซี่ให้นั่งข้าง ๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ก็มีความกังวลและค
หน้าผากของฉู่เนี่ยนซีกระตุก เมื่อเห็นว่าเหยียนจือซินกำลังจะเพ้อฝันต่อ นางจึงรีบขัดจังหวะ “สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องเตรียมตอนนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องใช้ในวันแต่งงาน อากาศข้างนอกช่างดีเหลือเกิน เหตุใดเราไม่ลองออกไปดูกันเสียหน่อย”“ได้เพคะ” เหยียนจือซินเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว แล้วนางกับฉู่เนี่ยนซีก็ออกไปขึ้นรถม้าหิมะสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์สีซีดทำให้โลกทั้งใบสว่างไสว คนสองคนในรถม้านั่งด้วยกันพลางพูดคุยกันเรื่องร้านขายเครื่องประดับแห่งใหม่ที่เปิดในถนนทางใต้ หากร้านนั้นมีการออกแบบที่หลากหลายก็สามารถเลือกเพิ่มอีกสักสองสามชิ้นได้สองสาวเสี่ยวเถาและเป่าจูกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว พวกนางพูดคุยกันข้างรถม้าราวกับนกกระจอกตัวน้อยกำลังสนทนากันรถม้าแล่นผ่านหอจุ้ยเยว่ที่มีความพลุกพล่าน ที่ประตูจะได้ยินคนข้างในพูดภาษาต่าง ๆ เสี่ยวเถาที่ได้กลิ่นหอมมาจากข้างในก็พูดขึ้น “พระชายา หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่หอจุ้ยเยว่มีขนมใหม่ ๆ หลายอย่างเลยเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีและเหยียนจือซินยิ้มหลังจากได้ยินดังนั้น สั่งให้คนขับม้าหยุดรถพาสาว ๆ ไปชิมขนมของหอจุ้ยเยว่“หากรสชาติดีก็ซื้อมาไว้บนโต๊ะจัดเลี้ยงแขกได้”ฉู่เนี่ยนซีหัน
หน้าต่างบนชั้นสองของหอจุ้ยเยว่เผยให้เห็นสตรีที่สง่างาม แต่นางสวมหมวกม่านยาวจนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของนางได้ นางยื่นมือเรียวยาวออกเพื่อเปิดช่องเผยให้เห็นดวงตาที่ดุร้ายและงดงาม นางดูโกรธเล็กน้อยเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างนอกจากนี้ยังมีบุรุษผู้แข็งแกร่งอยู่ข้าง ๆ ห้องนี้ และกำลังจ้องมองการเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างเช่นกัน แต่ต่างจากสตรีตรงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสนอกสนใจอย่างมาก พระอาทิตย์ส่องแสงตรงเข้ามา ทำให้เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างชัดเจน บุรุษผู้นี้คือเย่เหลียน“องค์ชาย เหตุใดพระองค์ถึงไม่ทรงช่วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นเวลาที่ดีที่จะได้แสดงทักษะของพระองค์ไม่ใช่หรือ?”บุรุษที่อยู่ข้าง ๆ ถามขึ้นด้วยความเคารพและสับสน “ชายสวมหน้ากากเหล่านี้ล้วนแต่มีทักษะด้านศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลัง เดิมทีข้าต้องการเข้าไปช่วยฉู่เนี่ยนซีก็จริง แต่เมื่อเห็นว่านางสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แถมยังเปลี่ยนศัตรูให้เป็นพวกของตัวเอง ข้าจึงคิดว่าควรรออีกหน่อย มาดูกันว่านางมีความสามารถอะไรอีก”เย่เหลียนอธิบายให้คนที่อยู่ข้าง ๆ ฟังด้วยท่าทางขี้เล่นและประทับใจ จากนั้นก็สั่งการกับพวกเขาว่า “เฝ้าดูให้ด