หลังจากแจ้งทุกอย่างแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็มาหยุดอยู่ตรงประตูมองคราบเลือดที่ชัดเจนบนเสา ในใจของนางมีร่องรอยของความโกรธ อีกทั้งยังมีสายตาที่น่ากลัวอย่างสุดซึ้งฉายแววออกมา“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเรื่องนี้เพื่ออ๋องเหลียนด้วยนะ คนเช่นนั้นพูดอะไรเชื่อถือได้เสียที่ไหน”นางมองฮูหยินเหยียน น้ำเสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็งสูงเก้าศอก “ฮูหยินเหยียน หากข้าอยากจะทำร้ายใครสักคนจริง ๆ ข้าก็สามารถทำให้พวกเขาทรมานได้โดยใช้เพียงเข็มเงิน ข้าจะคิดการใหญ่อ้อมโลกขนาดนี้ เพียงเพื่อทำร้ายใบหน้าของจือซินน่ะหรือ? ข้าเป็นพระชายาผู้ซื่อตรงและเที่ยงธรรม คงไม่สามารถใช้วิธีการที่น่ารังเกียจและซับซ้อนเช่นนี้ได้หรอก”“วันนี้ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้ว่าข้าไม่สนใจหมาบ้าอย่างอ๋องเหลียนอะไรนั่นแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้าข้าในตอนนี้ ข้าก็กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา ฮูหยินเหยียน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องการสร้างความร้าวฉานระหว่างตระกูลเหยียน จวนอ๋องหลีและตระกูลฉู่ ข้าหวังว่าท่านจะคิดอย่างรอบคอบ”ฉู่เนี่ยนซีทิ้งคำพูดทั้งหมดไว้แล้วให้เสี่ยวเถากลับไปตามอวี๋หนานที่จวนอ๋องหลี ส่วนนางและฮูหยินเหยียนก็ไปห้องหนังสือของตระกูลเหยียนใต้
“เจ้ายังจำเด็กหนุ่มที่มาจวนของเราเมื่อเดือนที่แล้วได้หรือไม่ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และมีแรงบันดาลใจ พรสวรรค์ของเขาก็อยู่ในลำดับต้น ๆ เขาเคยพบซินเอ๋อร์สองครั้ง ข้ารู้สึกว่าว่าซีเอ๋อร์ดูเหมือนจะมีใจให้เขาอยู่บ้าง ข้าจึงไปถามเด็กนั่นเป็นการส่วนตัว และดูเหมือนว่าเขาเองก็สนใจซินเอ๋อร์ เหตุใดเราไม่ลองแยกกันไปถามเด็กทั้งสองดูล่ะ…?”“นายท่าน ท่านอ๋องหลีเสด็จมาขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งประกาศขึ้นที่ประตูเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินคำว่าท่านอ๋องหลีก็ลุกขึ้นยืนทันที ฮูหยินเหยียนก็เปิดประตูและกล่าวกับชายหนุ่มคนนั้นว่า “รีบเชิญท่านอ๋องหลีไปที่ห้องโถงใหญ่ แล้วนำชาดี ๆ ไปถวายให้พระองค์”“ขอรับ”ฮูหยินเหยียนมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีและทำท่าทางเชิญ “ชายาหลี ในเมื่อท่านอ๋องหลีมาที่นี่แล้วงั้นเราก็ไปด้วยกันเถิด”“ตกลง” ฉู่เนี่ยนซีรู้ว่าเย่เฟยหลีมาที่นี่เพราะนาง ดังนั้นนางจึงคิดที่จะไปพบเขาพร้อมกันฮูหยินเหยียนและฉู่เนี่ยนซีกำลังจะออกไปห้องโถงใหญ่ เหยียนจือซินยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ที่หน้าประตูและเกือบจะชนเข้ากับทั้งสอง นางคุกเข่าลงและมองใต้เท้าเหยียนอย่างอ้อนวอนพลางร้องไห้ “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากแต่งกับท่านอ๋องเหลียน ได้โปรด
หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว อวี๋หนานก็รีบกลับจากบ้านพ่อแม่ของอิ๋นหลิง และรายงานกับฉู่เนี่ยนซีว่า “นายหญิง กระหม่อมกำลังจับตาดูทั้งคู่อยู่ แม้ว่าจะไม่เห็นพวกเขาติดต่อกับใคร แต่ได้ยินมาว่าพวกเขาได้รับเงินจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ และมีการคุยกันเรื่องการซื้อเรือนและข้าทาส กระหม่อมคิดว่าพวกเขาคงพบกันก่อนที่กระหม่อมจะไปถึงพ่ะย่ะค่ะ”ดูเหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ใช้ชีวิตลูกสาวเข้าแลกกับความมั่งคั่งของพ่อแม่ฉู่เนี่ยนซีสาปแช่งในใจ ‘ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขาถูกสุนัขกินไปแล้วงั้นหรือ?’วันรุ่งขึ้น เย่เฟยหลีออกจากท้องพระโรง กลับมายังจวนของอ๋องหลีเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีกำลังคัดแยกวัตถุดิบยา เขาจึงถามถึงสรรพคุณทางยาดังกล่าว เมื่อได้ยินว่ายาเหล่านี้เตรียมไว้สำหรับเหยียนจือซิน เขาก็นั่งข้างฉู่เนี่ยนซีและทัดผมของนางที่ตกลงมาขึ้นไว้ข้างหูเย่เฟยหลีกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน “มีสองเรื่อง หนึ่งคือใต้เท้าเหยียนไปหาเสด็จพ่อ เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาได้หมั้นหมายไว้กับบุรุษอื่นแล้ว แต่เขายังลังเลเรื่องที่จะให้บุตรสาวออกเรือน ดังนั้นจึงขอเวลาก่อน เมื่อถึงเวลา เขาจะส่งจอกสุรามงคลให้กับเสด็จพ่อด้วยตั
“ข้าต้องไปท้องพระโรงแล้ว ไม่เช่นนั้นจะสายเอาได้”เตาใหญ่ในความฝันพูดได้ และเสียงของเขาก็ฟังดูคุ้นเคยเป็นพิเศษฉู่เนี่ยนซียังคงสับสนว่าเหตุใดเตาผิงต้องไปท้องพระโรงด้วย แต่เมื่อคิดว่าไม่ควรรั้งเตาผิงไว้ นางจึงยอมปล่อยเตาผิงไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักจนเมื่อมีเสียงเอี๊ยดของประตูดังขึ้น ลมหนาวด้านนอกก็เริ่มพัดเข้ามา ไม่รู้ว่านางตื่นเพราะลมหนาว หรือตื่นเพราะเสียงดังรบกวนกันแน่ฉู่เนี่ยนซีลืมตาขึ้นอย่างง่วงงุน และทันใดนั้นนางก็ได้สติ ‘หา? เตาผิงที่กอดเมื่อคืนคือเย่เฟยหลีอย่างนั้นหรือ?’“เสี่ยวเถา” ฉู่เนี่ยนซีร้องเรียกด้วยเสียงแหบแห้ง หลังจากรออยู่พักหนึ่งจึงได้เห็นเสี่ยวเถาวางเตาไฟสีแดงไว้ข้าง ๆหลังจากที่เสี่ยวเถาไล่ให้คนออกไป นางก็เข้ามาหาฉู่เนี่ยนซีด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อและถามนางว่าจะลุกเลยหรือไม่ ฉู่เนี่ยนซีจ้องไปที่แก้มแดง ๆ ของนางแล้วถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงหน้าแดงนัก?”เสี่ยวเถารู้สึกอับอายจนพูดไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน ฉู่เนี่ยนซีคิดว่าเสี่ยวเถามีคนที่นางชอบ ความอยากรู้อยากเห็นจึงถูกปลุกขึ้น และกดดันให้เสี่ยวเถาพูดออกมา“ก่อนที่ท่านอ๋องจะออกจากจวน พระองค์กำชับบ่าวให้พระชายาเสวยอาห
ฉู่เนี่ยนซีสัมผัสใบหน้าของบุคคลในภาพวาด รู้สึกปิติและซาบซึ้งมากนางมีหน้าตาเช่นนี้นี่เอง เดิมทีคิดว่าตัวเองมีโอกาสได้รูจักมารดาจากคำที่คนอื่นเล่าให้ฟังเพียงเท่านั้นเย่เฟยหลีสังเกตเห็นอารมณ์อันอ่อนไหวของฉู่เนี่ยนซี จึงยืนอยู่ข้างนาง มองดูบุคคลในภาพวาดด้วยกันกับนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ตามหลักแล้ว ข้าควรเรียกนางว่าท่านแม่ยาย นางเสียชีวิตจากการคลอดบุตรในวันที่เจ้าเกิดไม่ใช่หรือ? เจ้ายังไม่เคยกราบไหว้ดวงวิญญาณของนางเลย เหตุใดวันนี้ไม่ไปกราบไหว้นางเสียหน่อยเล่า?”ฉู่เนี่ยนซีหันศีรษะไปมองเย่เฟยหลี รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยกับความใส่ใจของเขา นางพยักหน้าและออกเดินทางไปยังจวนเสนาบดีฉู่พร้อมกันกับเขาบนรถม้า เย่เฟยหลี่หยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าตรงแขนเสื้อแล้วมอบให้ฉู่เนี่ยนซี แววตาของเขาดูไม่สบายใจเล็กน้อย “นี่คือของขวัญวันเกิดจากข้า เจ้าลองเปิดดูสิว่าชอบหรือไม่”หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีเปิดมันออก นางก็เห็นปิ่นหยกที่ขาวใสราวกับหิมะอยู่ภายใน ลวดลายของดอกฮวานฮวา*ถูกแกะสลักไว้อย่างประณีต เมื่อสูดดมกลิ่นพบว่ามีกลิ่นหอมจาง ๆ เจืออยู่เล็กน้อยนางดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออก พลางคลำหาจุดเพื่อสอด
เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกอย่างระมัดระวังเพื่อโอบนางไว้ในอ้อมแขน เขาหันไปด้านข้างเล็กน้อยแล้วแนบศรีษะของฉู่เนี่ยนซีไว้กับแผ่นอกกว้างของตนเมื่อก้มศีรษะลง ก็มองเห็นหน้าผากอิ่มเอิบของฉู่เนี่ยนซี ขนตางอนยาวราวกับขนนกที่ค่อย ๆ ตกลงมาบนยอดหัวใจของเขา มันเงียบแต่ก็เต็มไปด้วยน้ำหนักพลบค่ำกำลังจะสิ้นสุดลง และแสงสุดท้ายก็จางหายไปจากท้องฟ้าอันไร้ขอบเขตฉู่เนี่ยนซีพลิกตัวและรู้สึกว่าภายใต้ร่างกายของตัวเองนั้นนุ่มผิดปกติจึงลืมตาขึ้นด้วยความสับสน และผ้าม่านที่ปักหลากสีเหนือศีรษะก็ปรากฏขึ้นในดวงตานางลุกขึ้นนั่ง มองหมอกที่อยู่นอกหน้าต่างพลางรู้สึกสับสนเล็กน้อย“เสี่ยวเถา”เสี่ยวเถาเปิดม่านลูกปัดและเดินเข้ามาเงียบ ๆ “พระชายาตื่นแล้วหรือเพคะ พระองค์หลับอยู่ตลอดทั้งบ่ายทีเดียว”“ข้า…ข้ากลับมาที่นี่ได้อย่างไร?”ภาพสุดท้ายในความทรงจำของฉู่เนี่ยนซีคือภาพภายในรถม้าที่ง่อนแง่น นางลองคิดถึงอย่างไรก็นึกอะไรไม่ออก“พระชายาผลอยหลับไปบนรถม้า ท่านอ๋องเป็นคนอุ้มพระชายากลับมาเพคะ หลังจากที่ท่านอ๋องสั่งไม่ให้บ่าวปลุกพระชายา พระองค์ก็เสด็จไปห้องอักษร”“ข้า…” ฉู่เนี่ยนซีเกาหลังคอแล้วกระซิบ “ข้าไม่ได้ถามเจ้าว่าเข
ในที่สุดเย่เฟยหลีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเริ่มเพลิดเพลินกับอาหารเย็นของเขาอย่างมีความสุขขณะกำลังทานอาหาร ฉู่เนี่ยนซีก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะถามเย่เฟยหลีหลังจากกลืนบะหมี่ลงคอ “ท่านใส่อะไรผิดแผกลงไปอีกหรือเปล่า?”“ไม่นะ ก็แค่ไข่กับบะหมี่”เย่เฟยหลีมองดูฉู่เนี่ยนซีด้วยความสงสัย กลัวว่าเขาจะทำทุกอย่างพัง“รสชาติมันกรุบกรอบ เหมือน...”เหมือนเปลือกไข่ทันใดนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็รู้แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีมีสีหน้ากังวล และคิดว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาทำบะหมี่ นางจึงกลืนคำพูดกลับลงคอไป“เหมือนกับว่าเส้นบะหมี่ถูกนวดมาเป็นเวลานานจึงมีความเหนียวนุ่มมากน่ะเจ้าค่ะ”“อาจเป็นเพราะท่านอ๋องฝึกวรยุทธตลอดทั้งปี จึงได้แข็งแกร่งกว่าพ่อครัว ดังนั้นแป้งที่นวดออกมาจึงเหนียวนุ่มกว่ากระมังเพคะ”เสี่ยวเถาที่อยู่ด้านข้างคาดเดาฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าและพอใจกับการเดาของเสี่ยวเถามาก เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองอย่างยินดีของเย่เฟยหลี ฉู่เนี่ยนซีจึงทำได้เพียงต้องกินบะหมี่ชามนี้ให้หมดเท่านั้นโชคดีที่เปลือกไข่มีไม่มาก หากมองข้ามข้อบกพร่องนี้ไป รสชาติของมันก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวหลังอาหารเย็น แสงสีฟ
ความยิ่งใหญ่ของพระราชวังทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปในพระราชวังจะยังคงตื่นตาไปกับการตกแต่งอันงดงามซุนจื่อซียืนอยู่ข้างกระจกสี่เหลี่ยมและถอดปิ่นปักผมออกจากศรีษะ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังทั้งห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางยังคงดูอ่อนแรง“ซีเอ๋อร์รู้สึกว่าท่านป้าดูอ่อนเยาว์ลงอีกแล้วนะเพคะ ดูเหมือนว่าอายุจะทำอะไรท่านป้าไม่ได้เลย”เสียงที่อ่อนหวานของซุนจื่อซีทำให้ไทเฮายิ้มไม่หุบ ไทเฮามองผ่านกระจกและเฝ้าดูซุนจื่อซีที่กำลังหวีผมให้นางอย่างอ่อนโยน ความรักในหัวใจของนางก็ลึกซึ้งขึ้นไปอีกนางเอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ “ซีเอ๋อร์ ข้าจะหาผู้ชายดี ๆ ในท้องพระโรงให้เจ้าเอง ในโลกนี้ใช่ว่าจะมีอย่างหลีเอ๋อร์แค่ผู้เดียว”รอยยิ้มบนใบหน้าของซุนจื่อซีจางลง เมื่อนึกถึงการถูกปฏิเสธในวันนั้นนางยังคงรู้สึกเสียใจ แต่นางก็ระงับอารมณ์ไว้ไม่แสดงออกมา“ซีเอ๋อร์รู้ว่าท่านป้ารักและเอ็นดูซีเอ๋อร์เพียงใด และซีเอ๋อร์ก็เคยคิดด้วยว่าหากไม่ได้ท่านป้า ป่านนี้ซีเอ๋อร์อาจกลายเป็นคนเร่ร่อนอยู่ที่ใดสักแห่งก็ได้เพคะ”“ซีเอ๋อร์อยู่ดูแลท่านป้ามานานหลายปี จึงมีนิสัยและความคิดคล้