ฉู่เนี่ยนซีลองชิมแล้วจึงพบว่ามันรสชาติดีมาก ขณะที่นางกำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เสี่ยวเถาก็เข้ามาส่งกระดาษใบหนึ่งให้กับฉู่เนี่ยนซี“ทูลท่านอ๋องและพระชายา ตระกูลเหยียนส่งข้อความมาว่าจะมีงานรวมตัวของผู้มีการศึกษาในวันพรุ่งนี้ และขอเชิญพระชายาไปร่วมด้วยเพคะ”“ตระกูลเหยียน?” เย่เฟยหลีมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความสับสน “ใต้เท้าเหยียนสำเร็จการศึกษาจากเมืองหลวง และเขาเป็นข้าราชการที่ซื่อตรง เจ้าสามารถไปงานสังสรรค์ของตระกูลเขาได้ แต่เราไม่ได้ติดต่อกับตระกูลเหยียนมากนัก เหตุใดเขาถึงได้ส่งบัตรเชิญมาที่นี่กัน?”ฉู่เนี่ยนซีเล่าเรื่องเกี่ยวกับเหยียนจือซินให้เขาฟัง และบอกเขาว่าอย่าได้บอกใครในเรื่องนี้เกรงว่าวงค์ตระกูลที่มีบุตรสาวคนเดียว โดยเฉพาะคนที่ใสซื่ออย่างเหยียนจือซินมีแต่จะถูกนินทามากยิ่งขึ้น“เช่นนี้นี่เอง” เย่เฟยหลีพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะยกชามแกงปลาไนให้ฉู่เนี่ยนซี เย่ฉงเฉิงก็เข้ามาแล้วพูดว่า "ข้าได้กลิ่นอาหารโชยมา โชคดีที่ข้ายังไม่ได้ทานออะไรพอดี”เย่ฉงเฉิงเพิกเฉยต่อสายตาของเย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซี เขานั่งลงและเอื้อมมือไปหยิบชามน้ำแกงชามนั้นจากมือของเย่เฟยหลี“ขอบพระทัยพี่สามที่
“ไม่ได้ยินว่าฮูหยินฉู่ป่วยนะเพคะ ท่านบอกแค่ว่าอยากให้พระชายากลับไปเยี่ยม คงแค่เพราะคิดถึงท่านกระมัง”เมื่อมาถึงประตูจวนเสนาบดีฉู่ ฉู่เนี่ยนซีก็ลงจากรถม้าก่อนจะหอบชายกระโปรงวิ่งไปยังเรือนหลัก เมื่อนางเห็นฮูหยินฉู่และจ้าวม่อเหยียนนั่งคุยกันอย่างมีความสุข นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ท่านแม่ พี่สะใภ้” ฉู่เนี่ยนซีร้องเรียกและวิ่งไปหาฮูหยินฉู่ ทั้งรู้สึกเป็นกังวลทั้งรีบร้อน “ท่านแม่ไม่บอกว่ามีเรื่องอะไร ข้าก็นึกว่าท่านป่วย จึงรีบมาด้วยความเป็นกังวล”“เป็นพระชายามาครึ่งปีแล้ว ยังไม่มีความน่าเกรงขามใด ๆ เลย โชคดีที่ท่านอ๋องหลีไม่ได้ใส่ใจ”ดวงตาอันเปี่ยมด้วยความรักของฮูหยินฉู่จ้องมองผมถักเปียของฉู่เนี่ยนซี นางดึงฉู่เนี่ยนซีให้ย่อตัวลงก่อนจะเสียบปิ่นหยกให้“ใช่เจ้าค่ะ ทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ถึงความรู้สึกของท่านอ๋องหลีที่มีต่อน้องหญิง และทุกคนต่างก็อิจฉา ไม่มีใครพูดว่าน้องหญิงไม่น่าเกรงขามเลยสักคนเจ้าค่ะ”จ้าวม่อเหยียนยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความสุข นางนั่งเอนกายพิงหมอนขนห่านสีทองและมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยความขอบคุณฮูหยินฉู่จับมือฉู่เนี่ยนซีแล้วขอให้นางนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะพูดกับฉู่เนี่ยนซีด้วยคว
เหยียนจือซินดึงฉู่เนี่ยนซีไปข้างหน้าฝูงชน ไม่มีสตรีนางใดในที่นี้ที่มีสถานะสูงกว่าฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นพวกนางจึงได้แต่โค้งคำนับและทำความเคารพ “ถวายบังคมพระชายาหลีเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีพยักหน้าให้ทุกคนอย่างเย็นชาและนั่งลงโดยไม่พูดอะไรกับพวกนางในการรวมตัวของสตรี หลังจากแต่งบทกวีได้สองสามบทแล้วก็กลายเป็นช่วงเวลาแห่งการสนทนากันเป็นส่วนใหญ่ทุกคนรู้สึกถึงความเย็นชาที่เล็ดลอดออกมาจากฉู่เนี่ยนซี ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้เข้าไปยั่วยุนาง และพูดคุยกันต่อเช่นก่อนหน้านี้“จือซิน ข้าว่าผิวของเจ้าดูขาวขึ้นนะ กระจุดบนใบหน้าก็ดูจางลง ดูไม่เหมือนใช้แป้งปกปิดเสียทีเดียว”สตรีที่มีใบหน้าเป็นมิตรกล่าวขึ้น“ข้า…” เหยียนจือซินมองไปที่สตรีนางนั้น ก่อจะมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี และรวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นว่า “เป็นเพราะพระชายาจ่ายยาให้ข้าน่ะ หลังจากที่ข้าทาบนใบหน้าก็เห็นผลตั้งแต่วันแรก เจ้าสังเกตเห็นด้วยงั้นหรือ?”หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วเหยียนจือซินก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก ทันใดนั้นนางก็รู้สึกราวกับได้ยกก้อนหินออกจากอก สีหน้าของนางก็ดูผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ พวกนางก็ประหลาดใจที่เหยียนจือซินซึ่งป
ในขณะนี้ซุนจื่อซีที่ดูอ่อนแรงราวกับต้นหลิวต้นน้อยที่โอนเอนตามสายลมกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนและใจดี“หม่อมฉันทำได้เพียงซุกตัวอยู่แต่ในห้องนี้เพราะอาการป่วย โชคดีที่องค์หญิงห้ามาอยู่ที่นี่คุยเป็นเพื่อน ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงจะอึดอัดแย่”นางกำนัลผู้น้อยที่อยู่ข้าง ๆ ขยับผ้าห่มให้ซุนจื่อซีอย่างปวดใจพลางพูดออกมาอย่างเหน็บแหนม“จะไปอึดอัดอะไรล่ะเจ้าคะ คำพูดไม่รื่นหูมีมากเสียขนาดนั้น ไม่อยากฟังก็คงยาก คุณหนูที่เป็นผู้มีจิตใจดีเช่นนี้คงไม่ลงโทษพวกปากมาก แต่คนเหล่านั้นกลับไม่เห็นแก่ความมีน้ำใจของท่านและพูดอะไรไม่เข้าท่ายิ่งกว่าเดิม”“สี่เชว่!”ซุนจื่อซีเอ็ดเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธ นางเริ่มไอไม่หยุด ใบหน้าเล็ก ๆ ซูบเซียวของนางเริ่มแดงจากการไอ“คนชั้นต่ำพวกนั้นคงลืมไปหมดแล้วว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าว!”ความโกรธในใจของเย่เซวียนเล่อปะทุขึ้นมาทันที อีกทั้งในน้ำเสียงก็มีความดุดันเพิ่มขึ้น“เป็นเพราะหม่อมฉันต่ำต้อย โชคดีที่เสด็จย่าทรงสงสาร จึงไม่ปล่อยหม่อมฉันให้เดียวดาย หม่อมฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้เสด็จย่า ขอองค์หญิงโปรดทรงเมินเฉยต่อคำพูดเหล่านั้นไปและละโทสะลงเถิดนะเพคะ”ขณะที่พูด ดวงตาของซุนจื่อซ
แม้ว่าฉู่เนี่ยนซีจะสงสัย แต่สีหน้าของนางก็สงบราวกับน้ำแข็ง นางยืนขึ้นพลางก้าวไปหาฮูหยินเหยียน “ฮูหยินเหยียน ไม่ทราบว่า…”ทันใดนั้นฮูหยินเหยียนก็ยกฝ่ามือขึ้นหมายจะฟาดลงไปบนหน้าของฉู่เนี่ยนซี แต่ฉู่เนี่ยนซีคว้ามือของนางเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วด้วยสายตาและมือที่ว่องไวดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงของนางฟังราวกับลมฤดูหนาวที่เยือกเย็นผสมกับน้ำแข็งและหิมะ “ฮูหยินเหยียน นี่หมายความเช่นไร? ท่านจะตบข้า ท่านรู้ถึงผลที่ตามมาหรือไม่?”“จะมีผลอะไรตามมาล่ะ?! ข้าก็นึกว่าท่านเป็นสตรีบริสุทธิ์ คิดว่าบุตรีที่ถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลฉู่จะเป็นคนดี แต่นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะชั่วร้ายไม่ต่างกับงูพิษเช่นนี้!”ใบหน้าของฮูหยินเหยียนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ดวงตาของนางมีฟ้าแลบและฟ้าร้องปะทุอยู่ในนั้น นางมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธมากยิ่งขึ้น“เพียงคำพูดที่ท่านพูดมา ข้าก็สามารถทำให้ท่านถูกลงโทษในข้อหาใส่ความกันได้เลย”ฉู่เนี่ยนซีเหวี่ยงมือของฮูหยินเหยียนออกไป ดวงตาที่สดใสของนางมีประกายเย็นชาราวกับนางกำลังจะแช่แข็งอีกฝ่ายในน้ำแข็งและหิมะ“ใส่ร้ายหรือ? สมแล้วที่เป็นพระชายาหลี ช่างเป็นแผนที่ดี! ข้านึกว่ากา
พวกเขาทั้งสามเดินทางจากจวนอ๋องหลีไปยังจวนตระกูลเหยียน ระหว่างทางฉู่เนี่ยนซีได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเหยียนจือซินอย่างระมัดระวัง นางคิดได้อย่างรวดเร็วว่ายาชนิดใดที่ทำให้เกิดบาดแผลดังกล่าว อีกทั้งนางยังถามเหยียนจือซินว่าเจ็บหรือมีอาการคันรวมไปถึงมีอาการอย่างอื่นหรือไม่หลังจากสอบถามอย่างชัดเจนแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็แน่ใจ“มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง?” ฉู่เนี่ยนซีถามอย่างสงบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“เรื่องรูปลักษณ์ของลูกสาวข้าจะแพร่กระจายไปยังภายนอกได้อย่างไร ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากสาวใช้ที่คอยดูแลนางอย่างใกล้ชิด และเราสองคน” ฮูหยินเหยียนตอบด้วยความโกรธ“หวังว่าจะยังไม่สายเกินไป” ฉู่เนี่ยนซีพึมพำแล้วพูดกับฮูหยินเหยียนและเหยียนจือซิน “เมื่อกลับถึงจวน ให้เรียกทุกคนที่ได้สัมผัสกับวัตถุดิบยามารวมตัวกัน อย่าให้ใครเล็ดลอดไปได้เด็ดขาด”“ท่านสงสัยว่ามีคนปลอมแปลงยาหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? คนเหล่านั้นคือสาวใช้ที่รับใช้ซินเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”ฮูหยินเหยียนมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความเหลือเชื่อ รู้สึกว่านางกำลังพยายามแก้ตัวอย่างชัดเจน“ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง ไหนจะเรื่องท
เมื่อฉู่เนี่ยนซีและเป่าจูกลับไปยังหอนอนของเหยียนจือซิน ก็เห็นสาวใช้ห้าคนและสตรีมีอายุอีกสองคนยืนอยู่ในห้องโถงฮูหยินเหยียนโบกผ้าไหมให้คนเหล่านั้นไปหาฉู่เนี่ยนซี พลางพูดอย่างเย็นชา “ทุกคนที่ทำงานรับใช้ในเรือนของซินเอ๋อร์อยู่นี่แล้วเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเป่าจู ส่งสัญญาณให้นางกลับไปรวมกลุ่มฉู่เนี่ยนซีสังเกตสีหน้าของทุกคน บนใบหน้าของพวกเขามีความสงสัยมากกว่าความตื่นตระหนกหรือความกลัวใดใดฉู่เนี่ยนซีมีความสงสัยที่คลุมเครืออยู่ในใจ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นนางก็ยังคงถามอย่างสง่าผ่าเผย “ใครที่เป็นคนทำให้รีบก้าวออกมาจะดีกว่า หากข้าสืบเจอเอง ข้าจะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไปง่าย ๆ แน่”สาวใช้สูงอายุคนหนึ่งก้าวออกมาตอบด้วยความเคารพว่า “ทูลพระชายา คนรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับคุณหนูมามากกว่าสิบปี พวกเขาจะทำสิ่งที่เป็นการทรยศเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ?”“ยื่นมือออกมา”เดาว่าสมุนไพรคงจะเพิ่งถูกโยนทิ้งไปเมื่อเช้านี้เองเนื่องจากถูกเรียกมาที่นี่อย่างกะทันหันจึงไม่มีเวลาล้างมือ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีประสาทรับกลิ่นที่เฉียบคม นางสามารถบอกได้ว่าพวกนางคนใดได้สัมผัสสมุนไพรอะไรมาบ้างหรือไม่หลังจ
เหยียนจือซินก็พูดตำหนิฮูหยินเหยียนเช่นกัน“ท่านแม่ใจร้อนเกินไป ข้าเพิ่งจะออกมาได้ไม่นานท่านก็รีบรุดไปที่จวนอ๋องหลีเพื่อกล่าวหาผู้อื่นเกินจริงเช่นนั้น”เหยียนจือซินเดินมาหาฉู่เนี่ยนซีพลางคำนับและกล่าวอย่างรู้สึกผิด “พระชายาหลี แม้ท่านแม่ของหม่อมฉันจะใจร้อน แต่จริง ๆ แล้วนางไม่มีเจตนาไม่ดีใดใด นางแค่รักหม่อมฉันมาก ในเมื่อตอนนี้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้แล้ว พระชายาหลีก็ทรงอย่าถือโทษโกรธนางเลยนะเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไปเมื่อนางได้ยินเสียงอันนุ่มนวลคล้ายขี้ผึ้งของเหยียนจือซิน ขณะที่กำลังจะพูดตอบ หูของนางก็กระตุก ทำเอานางหันหน้าไปมองที่ประตู ซึ่งนางจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของเสี่ยวเถาที่กำลังอยู่ข้างนอก“นั่นใคร?!”มีเสียงตะโกนวุ่นวายอยู่ข้างนอกจากเสี่ยวเถากับสาวใช้คนหนึ่งผสมปนเปกัน “อย่าวิ่ง จับนางไว้!”0 และเสียงของเด็กสาว “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า” เมื่อทุกคนเปิดประตูมองออกไปข้างนอก ก็พบว่าเสี่ยวเถาและสาวใช้กำลังจับเด็กสาวเอาไว้หลังจากที่เห็นฉู่เนี่ยนซี เสี่ยวเถาก็พูดอย่างเคร่งขรึม “พระชายา นางยืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ที่ประตูไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรเพคะ”ในหัวใจของฮูหยินเหยียนเต็มไปด้วยไ