ในขณะนี้ซุนจื่อซีที่ดูอ่อนแรงราวกับต้นหลิวต้นน้อยที่โอนเอนตามสายลมกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยนและใจดี“หม่อมฉันทำได้เพียงซุกตัวอยู่แต่ในห้องนี้เพราะอาการป่วย โชคดีที่องค์หญิงห้ามาอยู่ที่นี่คุยเป็นเพื่อน ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงจะอึดอัดแย่”นางกำนัลผู้น้อยที่อยู่ข้าง ๆ ขยับผ้าห่มให้ซุนจื่อซีอย่างปวดใจพลางพูดออกมาอย่างเหน็บแหนม“จะไปอึดอัดอะไรล่ะเจ้าคะ คำพูดไม่รื่นหูมีมากเสียขนาดนั้น ไม่อยากฟังก็คงยาก คุณหนูที่เป็นผู้มีจิตใจดีเช่นนี้คงไม่ลงโทษพวกปากมาก แต่คนเหล่านั้นกลับไม่เห็นแก่ความมีน้ำใจของท่านและพูดอะไรไม่เข้าท่ายิ่งกว่าเดิม”“สี่เชว่!”ซุนจื่อซีเอ็ดเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธ นางเริ่มไอไม่หยุด ใบหน้าเล็ก ๆ ซูบเซียวของนางเริ่มแดงจากการไอ“คนชั้นต่ำพวกนั้นคงลืมไปหมดแล้วว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าว!”ความโกรธในใจของเย่เซวียนเล่อปะทุขึ้นมาทันที อีกทั้งในน้ำเสียงก็มีความดุดันเพิ่มขึ้น“เป็นเพราะหม่อมฉันต่ำต้อย โชคดีที่เสด็จย่าทรงสงสาร จึงไม่ปล่อยหม่อมฉันให้เดียวดาย หม่อมฉันไม่อยากสร้างปัญหาให้เสด็จย่า ขอองค์หญิงโปรดทรงเมินเฉยต่อคำพูดเหล่านั้นไปและละโทสะลงเถิดนะเพคะ”ขณะที่พูด ดวงตาของซุนจื่อซ
แม้ว่าฉู่เนี่ยนซีจะสงสัย แต่สีหน้าของนางก็สงบราวกับน้ำแข็ง นางยืนขึ้นพลางก้าวไปหาฮูหยินเหยียน “ฮูหยินเหยียน ไม่ทราบว่า…”ทันใดนั้นฮูหยินเหยียนก็ยกฝ่ามือขึ้นหมายจะฟาดลงไปบนหน้าของฉู่เนี่ยนซี แต่ฉู่เนี่ยนซีคว้ามือของนางเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วด้วยสายตาและมือที่ว่องไวดวงตาของฉู่เนี่ยนซีเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงของนางฟังราวกับลมฤดูหนาวที่เยือกเย็นผสมกับน้ำแข็งและหิมะ “ฮูหยินเหยียน นี่หมายความเช่นไร? ท่านจะตบข้า ท่านรู้ถึงผลที่ตามมาหรือไม่?”“จะมีผลอะไรตามมาล่ะ?! ข้าก็นึกว่าท่านเป็นสตรีบริสุทธิ์ คิดว่าบุตรีที่ถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลฉู่จะเป็นคนดี แต่นึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะชั่วร้ายไม่ต่างกับงูพิษเช่นนี้!”ใบหน้าของฮูหยินเหยียนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ดวงตาของนางมีฟ้าแลบและฟ้าร้องปะทุอยู่ในนั้น นางมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความโกรธมากยิ่งขึ้น“เพียงคำพูดที่ท่านพูดมา ข้าก็สามารถทำให้ท่านถูกลงโทษในข้อหาใส่ความกันได้เลย”ฉู่เนี่ยนซีเหวี่ยงมือของฮูหยินเหยียนออกไป ดวงตาที่สดใสของนางมีประกายเย็นชาราวกับนางกำลังจะแช่แข็งอีกฝ่ายในน้ำแข็งและหิมะ“ใส่ร้ายหรือ? สมแล้วที่เป็นพระชายาหลี ช่างเป็นแผนที่ดี! ข้านึกว่ากา
พวกเขาทั้งสามเดินทางจากจวนอ๋องหลีไปยังจวนตระกูลเหยียน ระหว่างทางฉู่เนี่ยนซีได้ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเหยียนจือซินอย่างระมัดระวัง นางคิดได้อย่างรวดเร็วว่ายาชนิดใดที่ทำให้เกิดบาดแผลดังกล่าว อีกทั้งนางยังถามเหยียนจือซินว่าเจ็บหรือมีอาการคันรวมไปถึงมีอาการอย่างอื่นหรือไม่หลังจากสอบถามอย่างชัดเจนแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็แน่ใจ“มีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง?” ฉู่เนี่ยนซีถามอย่างสงบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“เรื่องรูปลักษณ์ของลูกสาวข้าจะแพร่กระจายไปยังภายนอกได้อย่างไร ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากสาวใช้ที่คอยดูแลนางอย่างใกล้ชิด และเราสองคน” ฮูหยินเหยียนตอบด้วยความโกรธ“หวังว่าจะยังไม่สายเกินไป” ฉู่เนี่ยนซีพึมพำแล้วพูดกับฮูหยินเหยียนและเหยียนจือซิน “เมื่อกลับถึงจวน ให้เรียกทุกคนที่ได้สัมผัสกับวัตถุดิบยามารวมตัวกัน อย่าให้ใครเล็ดลอดไปได้เด็ดขาด”“ท่านสงสัยว่ามีคนปลอมแปลงยาหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? คนเหล่านั้นคือสาวใช้ที่รับใช้ซินเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”ฮูหยินเหยียนมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความเหลือเชื่อ รู้สึกว่านางกำลังพยายามแก้ตัวอย่างชัดเจน“ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง ไหนจะเรื่องท
เมื่อฉู่เนี่ยนซีและเป่าจูกลับไปยังหอนอนของเหยียนจือซิน ก็เห็นสาวใช้ห้าคนและสตรีมีอายุอีกสองคนยืนอยู่ในห้องโถงฮูหยินเหยียนโบกผ้าไหมให้คนเหล่านั้นไปหาฉู่เนี่ยนซี พลางพูดอย่างเย็นชา “ทุกคนที่ทำงานรับใช้ในเรือนของซินเอ๋อร์อยู่นี่แล้วเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้ามองเป่าจู ส่งสัญญาณให้นางกลับไปรวมกลุ่มฉู่เนี่ยนซีสังเกตสีหน้าของทุกคน บนใบหน้าของพวกเขามีความสงสัยมากกว่าความตื่นตระหนกหรือความกลัวใดใดฉู่เนี่ยนซีมีความสงสัยที่คลุมเครืออยู่ในใจ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นนางก็ยังคงถามอย่างสง่าผ่าเผย “ใครที่เป็นคนทำให้รีบก้าวออกมาจะดีกว่า หากข้าสืบเจอเอง ข้าจะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไปง่าย ๆ แน่”สาวใช้สูงอายุคนหนึ่งก้าวออกมาตอบด้วยความเคารพว่า “ทูลพระชายา คนรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่อยู่กับคุณหนูมามากกว่าสิบปี พวกเขาจะทำสิ่งที่เป็นการทรยศเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ?”“ยื่นมือออกมา”เดาว่าสมุนไพรคงจะเพิ่งถูกโยนทิ้งไปเมื่อเช้านี้เองเนื่องจากถูกเรียกมาที่นี่อย่างกะทันหันจึงไม่มีเวลาล้างมือ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีประสาทรับกลิ่นที่เฉียบคม นางสามารถบอกได้ว่าพวกนางคนใดได้สัมผัสสมุนไพรอะไรมาบ้างหรือไม่หลังจ
เหยียนจือซินก็พูดตำหนิฮูหยินเหยียนเช่นกัน“ท่านแม่ใจร้อนเกินไป ข้าเพิ่งจะออกมาได้ไม่นานท่านก็รีบรุดไปที่จวนอ๋องหลีเพื่อกล่าวหาผู้อื่นเกินจริงเช่นนั้น”เหยียนจือซินเดินมาหาฉู่เนี่ยนซีพลางคำนับและกล่าวอย่างรู้สึกผิด “พระชายาหลี แม้ท่านแม่ของหม่อมฉันจะใจร้อน แต่จริง ๆ แล้วนางไม่มีเจตนาไม่ดีใดใด นางแค่รักหม่อมฉันมาก ในเมื่อตอนนี้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้แล้ว พระชายาหลีก็ทรงอย่าถือโทษโกรธนางเลยนะเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไปเมื่อนางได้ยินเสียงอันนุ่มนวลคล้ายขี้ผึ้งของเหยียนจือซิน ขณะที่กำลังจะพูดตอบ หูของนางก็กระตุก ทำเอานางหันหน้าไปมองที่ประตู ซึ่งนางจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของเสี่ยวเถาที่กำลังอยู่ข้างนอก“นั่นใคร?!”มีเสียงตะโกนวุ่นวายอยู่ข้างนอกจากเสี่ยวเถากับสาวใช้คนหนึ่งผสมปนเปกัน “อย่าวิ่ง จับนางไว้!”0 และเสียงของเด็กสาว “ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า” เมื่อทุกคนเปิดประตูมองออกไปข้างนอก ก็พบว่าเสี่ยวเถาและสาวใช้กำลังจับเด็กสาวเอาไว้หลังจากที่เห็นฉู่เนี่ยนซี เสี่ยวเถาก็พูดอย่างเคร่งขรึม “พระชายา นางยืนลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ที่ประตูไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรเพคะ”ในหัวใจของฮูหยินเหยียนเต็มไปด้วยไ
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร?!”เสี่ยวเถากดดันอิ๋นหลิงมากขึ้นอีกเล็กน้อยแล้วตะโกนใส่นางด้วยความตกใจ“ท่านไม่จำเป็นต้องมาบอกใบ้ว่าข้าไม่ควรพูดความจริง เพียงแต่ข้าคาดไม่ถึงว่าพระชายาหลีจะเหยียบศพของข้าเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินเหยียน ตอนนี้เรื่องต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องปกปิดมันแทนพระชายาหลีอีกต่อไป!”อิ๋นหลิงหันไปมองฮูหยินเหยียนด้วยสีหน้าขุ่นเคือง“ฮูหยิน พระชายาหลีทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นมีชีวิตที่ดีกว่านาง นางจึงสั่งให้ข้าวางยาคุณหนูด้วยเจตนาร้าย และจงใจส่งคนออกไปพูดอะไรบางอย่างกับป้าฟางเพื่อคลายข้อสงสัยที่มีต่อนาง“ฮูหยิน ข้าไม่เคยทำสิ่งที่เป็นอันตรายเช่นนี้มาก่อน ข้าเลยกลัวมาก จึงไปที่ประตูเพื่อแอบฟัง คาดไม่ถึงว่า… คาดไม่ถึงว่าพระชายาจะใช้ข้าตัดปัญหา ฮูหยิน อิ๋นหลิงไม่มีทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้จริง ๆ ดังนั้น…”ก่อนที่อิ๋นหลิงจะพูดจบนางไม่รู้ว่ามีพลังจากไหนปะทุออกมาจากทั่วทั้งร่างกายของนางจนหลุดจากการจับกุมของเสี่ยวเถา พาร่างของนางไปกระแทกกับเสาสีแดงหนาที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเต็มแรง อิ๋นหลิงล้มลงกับพื้นแล้วหมดลมหายใจทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหวาดกลัวและตกตะ
หลังจากแจ้งทุกอย่างแล้ว ฉู่เนี่ยนซีก็มาหยุดอยู่ตรงประตูมองคราบเลือดที่ชัดเจนบนเสา ในใจของนางมีร่องรอยของความโกรธ อีกทั้งยังมีสายตาที่น่ากลัวอย่างสุดซึ้งฉายแววออกมา“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเรื่องนี้เพื่ออ๋องเหลียนด้วยนะ คนเช่นนั้นพูดอะไรเชื่อถือได้เสียที่ไหน”นางมองฮูหยินเหยียน น้ำเสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็งสูงเก้าศอก “ฮูหยินเหยียน หากข้าอยากจะทำร้ายใครสักคนจริง ๆ ข้าก็สามารถทำให้พวกเขาทรมานได้โดยใช้เพียงเข็มเงิน ข้าจะคิดการใหญ่อ้อมโลกขนาดนี้ เพียงเพื่อทำร้ายใบหน้าของจือซินน่ะหรือ? ข้าเป็นพระชายาผู้ซื่อตรงและเที่ยงธรรม คงไม่สามารถใช้วิธีการที่น่ารังเกียจและซับซ้อนเช่นนี้ได้หรอก”“วันนี้ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้ว่าข้าไม่สนใจหมาบ้าอย่างอ๋องเหลียนอะไรนั่นแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้าข้าในตอนนี้ ข้าก็กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขา ฮูหยินเหยียน ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องการสร้างความร้าวฉานระหว่างตระกูลเหยียน จวนอ๋องหลีและตระกูลฉู่ ข้าหวังว่าท่านจะคิดอย่างรอบคอบ”ฉู่เนี่ยนซีทิ้งคำพูดทั้งหมดไว้แล้วให้เสี่ยวเถากลับไปตามอวี๋หนานที่จวนอ๋องหลี ส่วนนางและฮูหยินเหยียนก็ไปห้องหนังสือของตระกูลเหยียนใต้
“เจ้ายังจำเด็กหนุ่มที่มาจวนของเราเมื่อเดือนที่แล้วได้หรือไม่ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และมีแรงบันดาลใจ พรสวรรค์ของเขาก็อยู่ในลำดับต้น ๆ เขาเคยพบซินเอ๋อร์สองครั้ง ข้ารู้สึกว่าว่าซีเอ๋อร์ดูเหมือนจะมีใจให้เขาอยู่บ้าง ข้าจึงไปถามเด็กนั่นเป็นการส่วนตัว และดูเหมือนว่าเขาเองก็สนใจซินเอ๋อร์ เหตุใดเราไม่ลองแยกกันไปถามเด็กทั้งสองดูล่ะ…?”“นายท่าน ท่านอ๋องหลีเสด็จมาขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งประกาศขึ้นที่ประตูเมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยินคำว่าท่านอ๋องหลีก็ลุกขึ้นยืนทันที ฮูหยินเหยียนก็เปิดประตูและกล่าวกับชายหนุ่มคนนั้นว่า “รีบเชิญท่านอ๋องหลีไปที่ห้องโถงใหญ่ แล้วนำชาดี ๆ ไปถวายให้พระองค์”“ขอรับ”ฮูหยินเหยียนมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีและทำท่าทางเชิญ “ชายาหลี ในเมื่อท่านอ๋องหลีมาที่นี่แล้วงั้นเราก็ไปด้วยกันเถิด”“ตกลง” ฉู่เนี่ยนซีรู้ว่าเย่เฟยหลีมาที่นี่เพราะนาง ดังนั้นนางจึงคิดที่จะไปพบเขาพร้อมกันฮูหยินเหยียนและฉู่เนี่ยนซีกำลังจะออกไปห้องโถงใหญ่ เหยียนจือซินยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ที่หน้าประตูและเกือบจะชนเข้ากับทั้งสอง นางคุกเข่าลงและมองใต้เท้าเหยียนอย่างอ้อนวอนพลางร้องไห้ “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากแต่งกับท่านอ๋องเหลียน ได้โปรด