“ทั้งหมดเป็นเพราะท่านเอาแต่โหวกเหวกโวยวาย ท่านอาจารย์ถึงได้รำคาญ! นั่นคือเหตุผลที่เขาออกไป!” เหยียนตั่วชี้ไปที่เย่ฉงเฉิงและพูดด้วยความโกรธเย่ฉงเฉิงกัดฟัน กลอกตาและชี้ไปที่เหยียนตั่ว “เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่ตะโกน ท่านอาจารย์ถึงได้เดินหนีไป! เจ้านี่ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย”ทั้งสองต่างไม่พอใจอีกฝ่ายและยังคงทะเลาะกันบนบันไดด้านบนอีกด้านหนึ่ง ฉู่เนี่ยนซีก้าวฉับ ๆ รวดเดียว รีบไปที่ห้องเล็กข้าง ๆ อย่างรวดเร็วหัวใจของนางเต้นแรงเนื่องจากการเดินอย่างรวดเร็ว และความเย็นชาในดวงตาของนางถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นคำพูดของเหยียนตั่วทำให้นางค้นพบบางสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสังเกตเห็นและนึกถึงมาก่อนแม้จะค้นหาบันทึกในหนังสือทุกเล่มแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เจอข้อมูลของพิษกู่ชนิดนี้เลยมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ที่เฉินเกอถูกวางยาพิษไม่ได้มีแค่พิษกู่เพียงชนิดเดียว แต่บางทีอาจเป็นพิษชนิดหนึ่งผสมกับพิษกู่ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบหยิบอุปกรณ์การเขียนออกมาอย่างรวดเร็ว ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา จับปากกาเขียนบางอย่างด้วยความว่องไวพิษกู่ทั่วไปจะไม่ไหลเวียนไปมาในร่างกาย แต่จะปรากฏบนผิวหนังแทน เว้นเสีย
ในขณะที่เดินเข้าไป ฉู่เนี่ยนซีก็สามารถจินตนาการได้ถึงสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องระหว่างคนทั้งสองได้“อ่ะแฮ่ม!” ฉู่เนี่ยนซีกระแอมขัดจังหวะความต้องการของทั้งสองที่จะต่อสู้กันเมื่อได้ยินเสียง ทั้งคู่ก็มองตามเสียงนั้นไป เมื่อพบว่าเป็นฉู่เนี่ยนซีพวกเขาก็แสร้งทำเป็นประพฤติตัวดีในทันที“ท่านอาจารย์ ท่านไปไหนมา?” เหยียนตั่วเรียกอย่างอ่อนหวานพลางมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยรอยยิ้มเย่ฉงเฉิงทำท่าทางดูแคลน แอบบ่นคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่าทำตัวเสแสร้ง แต่เขาก็ยังก้าวไปข้างหน้าและเบียดเหยียนตั่วออกไป พร้อมกับเผยรอยยิ้มบนใบหน้าที่ค่อนข้างประจบประแจง“ท่านหมอเทวดาซานเซิง! ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าได้เตรียมสถานที่สะอาดในหอหมื่นบุปผาไว้แล้ว ข้ามั่นใจว่าจะไม่มีใครรบกวนท่าน และแน่นอนว่าจะไม่มีแมลงวันหน้าไม่อายบินไปมาให้รำคาญใจ! ขอท่านหมอโปรดเพลิดเพลินกับอภินันทนาการนี้ด้วย”“ท่าน! กล้าดีอย่างไรมาเรียกคุณหนูเช่นข้าว่าแมลงวัน?!”เหยียนตั่วได้ยินเย่ฉงเฉิงพูด จึงกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ทันใดนั้น นางก็สงบลงและยิ้มให้เขาด้วยกลัวรอยยิ้มแปลก ๆ ของเหยียนตั่ว เย่ฉงเฉิงจึงถอยหลังพลางมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น มันก็บิดตัวเหมือนหนอนผีเสื้อ และรอยแผลเป็นที่มีขนาดใหญ่ครึ่งหนึ่งของใบหน้าก็ซ้อนทับกับผิวหนังอย่างสมบูรณ์หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงอย่างรวดเร็ว ฉู่เนี่ยนซีก็จัดระเบียบทุกอย่างและกลับไปที่จวนอ๋องภายใต้การดูแลของอวี๋ตงและอวี๋หนานในรถม้า ฉู่เนี่ยนซีหลับตาลง พลางคิดว่าพรุ่งนี้นางจะแก้พิษให้เฉินเกออย่างไรด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ ฉู่เนี่ยนซีก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวไม่นานก็มาถึงจวนอ๋องหลีสิ่งที่ทำให้อวี๋หนานและอวี๋ตงประหลาดใจคือการพบเย่เฟยหลียืนอยู่ที่ประตูจวน ดูเหมือนเขาจะรออยู่นานแล้ว“นายหญิง ถึงแล้วขอรับ” อวี๋ตงเม้มริมฝีปาก ปิดบังความประหลาดใจในดวงตาของเขา พลางพูดอย่างเฉยเมยเป็นเวลานานที่ไม่มีคำตอบจากภายในรถม้า และทั้งสองก็มองตากันภายใต้การมองที่เย็นชาของเย่เฟยหลี เขาเปิดม่านรถด้วยความสับสนและพบว่าฉู่เนี่ยนซีเผลอหลับอยู่ตรงมุมหนึ่ง“เกิดอะไรขึ้น?” เย่เฟยหลีก้าวไปข้างหน้าเมื่อเขาเห็นพวกเขาทั้งสองตัวแข็งทื่อ และพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความกังวลก่อนที่อวี๋ตงจะได้ตอบอะไร เย่เฟยหลีก็เห็นฉู่เนี่ยนซีนอนหลับอย่างสงบสีหน้าเย็นชาของเขามีความอบอุ่นเล็กน้อย เขา
วันต่อมา แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าพาให้อากาศดีเมื่อคืนคิดว่าคงจะนอนไม่หลับ แต่หลังจากหลับตาไม่กี่นาทีก็เผลอหลับไปหลังจากฉู่เนี่ยนซีอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ตรงไปที่โรงพนันหุยหุนโดยไม่รับประทานอาหารหลังจากดื่มชาเสร็จ เป่ยถูก็ปรากฏตัวที่โรงพนันหุยหุนสถานที่แห่งนี้ยังคงคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เป่ยถูดูเฉยเมย เขาเดินไปที่โต๊ะต้อนรับแล้วใช้พัดเคาะโต๊ะ“ข้ามาหาผู้ดูแลของพวกเจ้า!”เด็กรับใช้คิดว่าเขากำลังมองพินิจเป่ยถูอยู่นิ่ง ๆ แต่จริง ๆ แล้วกลับถูกมองออกทั้งหมดรู้สึกได้ว่านายท่านตรงหน้าไม่ใช่คนที่ควรล้อเล่นด้วย จึงรีบทักทายเขาด้วยรอยยิ้มทันที“ไม่ทราบว่านายท่านมีธุระอะไรถึงมาหาผู้ดูแลของพวกเราขอรับ?”เป่ยถู ขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยความเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ ความกดอากาศรอบตัวของเขาต่ำลง และดวงตาของเขาก็เยือกเย็นลงเล็กน้อยเด็กรับใช้ที่เพิ่งมาใหม่ก็ไม่กล้าทำให้แขกขุ่นเคือง ดังนั้นเขาจึงยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “เช่นนั้นรอสักครู่ขอรับ!”จากนั้นเขาก็จึงรีบขอตัวออกไปโชคดีที่อวี๋เป่ยกำลังเดินตรวจตราอยู่แถวนี้ ปรายตามองไปเห็นเด็กรับใช้เดินไปมาโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ละเลยหน
หลังจากนั้นไม่นาน เป่ยถูและฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปด้านในสุดของห้องมืดทุกอย่างที่นี่สร้างจากหิน เพราะอยู่ลึกเข้าไปดังนั้นจึงรู้สึกเย็นมากฉู่เนี่ยนซีมองเฉินเกอที่ถูกห่อไว้แน่นบนเตียงหินตรงกลาง แล้ววางหีบห่อลง พร้อมกับสั่งการกับเป่ยถู"ช่วยเอาของที่ไม่จำเป็นบนร่างกายของเขาออกที"เขามองเตียงหินอย่างลังเลด้วยสายตาที่เป็นกังวล "มันจะไม่เป็นอะไรหรือ?"ฉู่เนี่ยนซีจัดการวางสมุนไพรและสิ่งอื่น ๆ และไม่แม้แต่จะมองดูเขาด้วยซ้ำก่อนจะตอบไปทันทีว่า "ไม่ต้องกังวล มันจะไม่มีปัญหาอะไร"หลังจากจ้องมองฉู่เนี่ยนซีอยู่ครู่หนึ่ง เป่ยถูก็เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะดึงผ้าออกจากตัวของเฉินเกอทันใดนั้น อุณหภูมิในห้องมืดก็อุ่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเฉินเกอหลับลึกอยู่บนเตียงหินด้วยใบหน้าที่สงบฉู่เนี่ยนซียื่นมือออกไปสัมผัสร่างกายของเฉินเกอ อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงเล็กน้อย นางดึงมือกลับ และสวมถุงมืออย่างใจเย็นจากนั้นก็หยิบถุงมืออีกคู่ส่งให้เป่ยถู “สวมมันแล้วช่วยข้าถอดเสื้อผ้าของเขาด้วย”"ได้"เป่ยถูสวมถุงมืออย่างรวดเร็ว หลังจากมีประสบการณ์ครั้งที่แล้วจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อผ้าของเฉินเกอออกภายในไม่กี่ขั้นตอนเมื่อม
ฉู่เนี่ยนซีรู้ดีว่าเป่ยถูเป็นห่วงเฉินเกอ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่นางก็จะไม่ยอมถูกคนโมโหใส่โดยเปล่าประโยชน์“อะแฮ่ม!” ฉู่เนี่ยนซีกระแอมไอเบา ๆ ทำลายความเงียบ ทำให้เป่ยถูหันไปมอง ฉู่เนี่ยนซีชูสองนิ้วขึ้นมาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น "ข้าไม่ยอมถูกโมโหใส่โดยเปล่าประโยชน์หรอกนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สมุนไพรที่เคยสัญญากับข้าไว้ปรับขึ้นเป็นสองเท่า! ว่าอย่างไร?"เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหาทางออกให้แล้ว บวกกับเขาที่ใจร้อนเกินไปจริง ๆ เป่ยถูจึงพยักหน้าอย่างจำยอม "ตกลง"“อ้อ เมื่อครู่ท่านบอกว่ามันคือพิษ แต่ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่ามันคือพิษกู่ไม่ใช่หรือ?”ฉู่เนี่ยนซีดึงเข็มเงินออกมาจากเฉินเกอทีละเล่ม นางยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่นางยืนยันว่ามันคือพิษ เมื่อวานนี้ นางก็คิดวิธีรักษานี้ขึ้นมาได้ด้วยเช่นกันหน้าที่ของยาผายพิษแตกต่างจากยาฆ่าเชื้อ ยาผายพิษสามารถขับเซลล์ที่คุกคามร่างกายได้ก่อนหน้านี้นางสงสัยมาโดยตลอดว่าพิษชนิดใดที่อยู่ในร่างกายของเฉินเกอ มันถึงได้ขัดแย้งกับพิษกู่และกระตุ้นซึ่งกันและกันเช่นนี้เนื่องจากความคิดเริ่มซับซ้อนเกินไป จึงลืมไปว่าตัวเองสามารถถอนพิษจากวิ
แต่ผ่านไปสักครู่มันก็นูนขึ้นมาบนผิวหนังของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันปรากฏที่หน้าท้องของเขาหลังจากผ่านไปหลายครั้ง ฉู่เนี่ยนซีก็พบว่าสิ่งนี้ยอมเคลื่อนย้ายไปที่อื่นมากกว่าจะเข้าใกล้แขนขวาของเฉินเกอดวงตาที่เย็นชาของนางดูสงสัยมากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าวิธีการที่นางเคยใช้ไปก่อนหน้านี้มันจะไม่มีผลกับสิ่งนี้เลย“เกิดอะไรขึ้น?” เป่ยถูรู้สึกเป็นกังวลเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วและดูหนักใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วและไม่ตอบเป่ยถู นางเม้มริมฝีปากสีแดงแน่นและมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากนางยกมือขึ้นและลองฝังเข็มลงไปอีกครั้ง นางต้องการทำให้ส่วนที่นูนขึ้นมานี้หายไปน่าเสียดายที่ส่วนที่นูนขึ้นมามันค่อย ๆ กระสับกระส่าย และเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในร่างกายของเขาราวกับถูกกระตุ้นแม้แต่ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เม็ดเหงื่อรวมตัวกันระหว่างปีกจมูกของฉู่เนี่ยนซี นางงอนิ้วเล็กน้อย และกัดริมฝีปากสีแดง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสนเป่ยถูที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นความสับสนของคนตรงหน้า และสีหน้าที่ไม่อาจเข้าใจได้ เสียงเย็นชาจึงดังขึ้นในห้องมืด “หรือท่านจะลองดึงม
ทุกสิ่งในโลกล้วนส่งผลกระทบต่อกันเป็นทอด ๆ พิษกู่เองก็มีสิ่งที่กลัวเช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่สามารถอยู่รอดในร่างกายได้คือพิษกู่อีกชนิดหนึ่งที่สามารถเอาชนะพิษกู่หลับใหลได้เพียงแต่ไม่รู้ว่าพิษกู่ชนิดนี้คืออะไร?ฉู่เนี่ยนซีมองเห็นความสับสนในดวงตาของเป่ยถู และคิดว่าเขาคงไม่ยอมพูดอะไร นางจึงกำลังจะหันหลังกลับและจากไปเงียบ ๆ ก็ได้ยินเสียงต่ำที่น่าสะพรึงกลัวของเป่ยถูดังมาจากด้านหลัง“ข้าเต็มใจเชื่อคุณหนู เพียงแต่เรื่องนี้มันสำคัญมาก และมันก็ไม่ใช่เรื่องของข้าเองด้วย หวังว่าคุณหนูจะเก็บสิ่งที่จะได้ยินข้าพูดต่อไปนี้เป็นความลับ”ท่าทีขี้เล่นของเป่ยถูตอนนี้เต็มไปด้วยความจริงจัง แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูให้ความเคารพ แต่ดวงตาที่เย็นชาของเขาก็เต็มไปด้วยคำเตือนเขาบอกนางอย่างไม่มีทางเลือก ถ้าฉู่เนี่ยนซีมีความคิดอื่นใด ความตายจะรอคอยนางอยู่!เพราะคนตายจะเก็บความลับได้ดีที่สุด!ฉู่เนี่ยนซีหยุดฝีเท้า หันกลับมาและพบกับสายตาอันน่ากลัวของเป่ยถูม่านตาสีเข้มเหล่านั้นเย็นชาราวกับน้ำเย็น และมีกลิ่นอายของการเยาะเย้ย“สายตาของท่านคงหมายความว่าหากข้าคิดที่จะเปิดเผยออกไป เกรงว่าวันนี้ในปีหน้าจะเ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย