หลังจากนั้นไม่นาน เป่ยถูและฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปด้านในสุดของห้องมืดทุกอย่างที่นี่สร้างจากหิน เพราะอยู่ลึกเข้าไปดังนั้นจึงรู้สึกเย็นมากฉู่เนี่ยนซีมองเฉินเกอที่ถูกห่อไว้แน่นบนเตียงหินตรงกลาง แล้ววางหีบห่อลง พร้อมกับสั่งการกับเป่ยถู"ช่วยเอาของที่ไม่จำเป็นบนร่างกายของเขาออกที"เขามองเตียงหินอย่างลังเลด้วยสายตาที่เป็นกังวล "มันจะไม่เป็นอะไรหรือ?"ฉู่เนี่ยนซีจัดการวางสมุนไพรและสิ่งอื่น ๆ และไม่แม้แต่จะมองดูเขาด้วยซ้ำก่อนจะตอบไปทันทีว่า "ไม่ต้องกังวล มันจะไม่มีปัญหาอะไร"หลังจากจ้องมองฉู่เนี่ยนซีอยู่ครู่หนึ่ง เป่ยถูก็เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะดึงผ้าออกจากตัวของเฉินเกอทันใดนั้น อุณหภูมิในห้องมืดก็อุ่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเฉินเกอหลับลึกอยู่บนเตียงหินด้วยใบหน้าที่สงบฉู่เนี่ยนซียื่นมือออกไปสัมผัสร่างกายของเฉินเกอ อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงเล็กน้อย นางดึงมือกลับ และสวมถุงมืออย่างใจเย็นจากนั้นก็หยิบถุงมืออีกคู่ส่งให้เป่ยถู “สวมมันแล้วช่วยข้าถอดเสื้อผ้าของเขาด้วย”"ได้"เป่ยถูสวมถุงมืออย่างรวดเร็ว หลังจากมีประสบการณ์ครั้งที่แล้วจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อผ้าของเฉินเกอออกภายในไม่กี่ขั้นตอนเมื่อม
ฉู่เนี่ยนซีรู้ดีว่าเป่ยถูเป็นห่วงเฉินเกอ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่นางก็จะไม่ยอมถูกคนโมโหใส่โดยเปล่าประโยชน์“อะแฮ่ม!” ฉู่เนี่ยนซีกระแอมไอเบา ๆ ทำลายความเงียบ ทำให้เป่ยถูหันไปมอง ฉู่เนี่ยนซีชูสองนิ้วขึ้นมาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่น "ข้าไม่ยอมถูกโมโหใส่โดยเปล่าประโยชน์หรอกนะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สมุนไพรที่เคยสัญญากับข้าไว้ปรับขึ้นเป็นสองเท่า! ว่าอย่างไร?"เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหาทางออกให้แล้ว บวกกับเขาที่ใจร้อนเกินไปจริง ๆ เป่ยถูจึงพยักหน้าอย่างจำยอม "ตกลง"“อ้อ เมื่อครู่ท่านบอกว่ามันคือพิษ แต่ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่ามันคือพิษกู่ไม่ใช่หรือ?”ฉู่เนี่ยนซีดึงเข็มเงินออกมาจากเฉินเกอทีละเล่ม นางยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่นางยืนยันว่ามันคือพิษ เมื่อวานนี้ นางก็คิดวิธีรักษานี้ขึ้นมาได้ด้วยเช่นกันหน้าที่ของยาผายพิษแตกต่างจากยาฆ่าเชื้อ ยาผายพิษสามารถขับเซลล์ที่คุกคามร่างกายได้ก่อนหน้านี้นางสงสัยมาโดยตลอดว่าพิษชนิดใดที่อยู่ในร่างกายของเฉินเกอ มันถึงได้ขัดแย้งกับพิษกู่และกระตุ้นซึ่งกันและกันเช่นนี้เนื่องจากความคิดเริ่มซับซ้อนเกินไป จึงลืมไปว่าตัวเองสามารถถอนพิษจากวิ
แต่ผ่านไปสักครู่มันก็นูนขึ้นมาบนผิวหนังของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันปรากฏที่หน้าท้องของเขาหลังจากผ่านไปหลายครั้ง ฉู่เนี่ยนซีก็พบว่าสิ่งนี้ยอมเคลื่อนย้ายไปที่อื่นมากกว่าจะเข้าใกล้แขนขวาของเฉินเกอดวงตาที่เย็นชาของนางดูสงสัยมากขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าวิธีการที่นางเคยใช้ไปก่อนหน้านี้มันจะไม่มีผลกับสิ่งนี้เลย“เกิดอะไรขึ้น?” เป่ยถูรู้สึกเป็นกังวลเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วและดูหนักใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้วและไม่ตอบเป่ยถู นางเม้มริมฝีปากสีแดงแน่นและมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากนางยกมือขึ้นและลองฝังเข็มลงไปอีกครั้ง นางต้องการทำให้ส่วนที่นูนขึ้นมานี้หายไปน่าเสียดายที่ส่วนที่นูนขึ้นมามันค่อย ๆ กระสับกระส่าย และเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในร่างกายของเขาราวกับถูกกระตุ้นแม้แต่ฉู่เนี่ยนซีก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เม็ดเหงื่อรวมตัวกันระหว่างปีกจมูกของฉู่เนี่ยนซี นางงอนิ้วเล็กน้อย และกัดริมฝีปากสีแดง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสนเป่ยถูที่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นความสับสนของคนตรงหน้า และสีหน้าที่ไม่อาจเข้าใจได้ เสียงเย็นชาจึงดังขึ้นในห้องมืด “หรือท่านจะลองดึงม
ทุกสิ่งในโลกล้วนส่งผลกระทบต่อกันเป็นทอด ๆ พิษกู่เองก็มีสิ่งที่กลัวเช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่สามารถอยู่รอดในร่างกายได้คือพิษกู่อีกชนิดหนึ่งที่สามารถเอาชนะพิษกู่หลับใหลได้เพียงแต่ไม่รู้ว่าพิษกู่ชนิดนี้คืออะไร?ฉู่เนี่ยนซีมองเห็นความสับสนในดวงตาของเป่ยถู และคิดว่าเขาคงไม่ยอมพูดอะไร นางจึงกำลังจะหันหลังกลับและจากไปเงียบ ๆ ก็ได้ยินเสียงต่ำที่น่าสะพรึงกลัวของเป่ยถูดังมาจากด้านหลัง“ข้าเต็มใจเชื่อคุณหนู เพียงแต่เรื่องนี้มันสำคัญมาก และมันก็ไม่ใช่เรื่องของข้าเองด้วย หวังว่าคุณหนูจะเก็บสิ่งที่จะได้ยินข้าพูดต่อไปนี้เป็นความลับ”ท่าทีขี้เล่นของเป่ยถูตอนนี้เต็มไปด้วยความจริงจัง แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูให้ความเคารพ แต่ดวงตาที่เย็นชาของเขาก็เต็มไปด้วยคำเตือนเขาบอกนางอย่างไม่มีทางเลือก ถ้าฉู่เนี่ยนซีมีความคิดอื่นใด ความตายจะรอคอยนางอยู่!เพราะคนตายจะเก็บความลับได้ดีที่สุด!ฉู่เนี่ยนซีหยุดฝีเท้า หันกลับมาและพบกับสายตาอันน่ากลัวของเป่ยถูม่านตาสีเข้มเหล่านั้นเย็นชาราวกับน้ำเย็น และมีกลิ่นอายของการเยาะเย้ย“สายตาของท่านคงหมายความว่าหากข้าคิดที่จะเปิดเผยออกไป เกรงว่าวันนี้ในปีหน้าจะเ
“ข้าไม่ลืมแน่นอน!” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีก็เย็นชายิ่งขึ้น แม้แต่น้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก“แต่ท่านจงใจปกปิดมันกับข้า ดังนั้นต้องเพิ่มเบี้ยเสียหน่อย”เป่ยถูอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก ตำแหน่งชายาหลีนี้ องค์ชายหลีไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูนางสินะ"ตกลง!"ฉู่เนี่ยนซีไม่ได้สนใจเป่ยถูอีกต่อไป นางหันกลับมาและหยิบเข็มเงินออกจากร่างกายของเฉินเกอช่วงนี้นางอ่านตำรามาเยอะมาก และรู้เกี่ยวกับวิธีการกำจัดพิษกู่ ดังนั้นฉู่เนี่ยนซีจึงมีวิธีจัดการอยู่ในใจแล้วดวงตาของฉู่เนี่ยนซีสว่างขึ้นแล้วสงบลง การกำจัดพิษนับว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตอนนี้ขาดสมุนไพรอยู่หนึ่งอย่าง และสิ่งที่ขาดไปก็คืออำพันทะเลก่อนหน้านี้หุบเขาสมุนไพรเคยจะมอบให้นางเป็นของขวัญ แต่นางปฏิเสธอย่างสุภาพ พอตอนนี้มาคิดดู ดูเหมือนว่าจะต้องใช้ความพยายามเสียหน่อยแล้วเป่ยถูมองฉู่เนี่ยนซีอย่างลังเล ดวงตาของเขาสั่นไหว และถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า "เกิดอะไรขึ้น? มีปัญหาอะไรหรือ?"เป่ยถูรู้จักพิษกู่ดี และเขาก็รู้ว่าการกำจัดมันเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ฉู่เนี่ยนซีจะมีสีหน้าเช่นนี้ฉู่เนี่ยนซี มอ
นางใช้ยาพิเศษลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า และสวมอาภรณ์บุรุษหลังจากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออก และบุรุษในชุดขาวก็เดินออกมา อวี๋หนานเดินเข้ามายืนอยู่เคียงข้าง “ไปที่หุบเขาสมุนไพรกันเถอะ!”“ขอรับนายท่าน” อวี๋หนานตอบรับทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขเพราะเขาไม่ต้องอยู่แต่ในเรือนท้องฟ้าสีคราม สายลมเย็นพัดมาอย่างเปี่ยมสุขไม่รู้ว่าการเดินทางไปหุบเขาสมุนไพรในวันนี้จะสามารถหยิบยืมอำพันทะเลได้สำเร็จหรือไม่เพราะก่อนหน้านี้นางได้คืนของกลับไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องการยืมมันค่อนข้างน่าอายเล็กน้อยหลังจากจุดธูปแล้ว รถม้าก็ข้ามทุ่งป่าและขับไปโดยไม่ทราบระยะเวลาก่อนที่จะหยุดอย่างช้า ๆ“ถึงแล้ว!” ฉู่เนี่ยนซีพูด แล้วก้าวนำลงจากรถม้าอวี๋หนานอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบ ๆ ป่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นฉู่เนี่ยนซีมองไปที่ป่าพิษขนาดใหญ่ตรงหน้าอย่างเย็นชา จากนั้นก็หยิบยาล้างพิษออกจากแขนเสื้อแล้วมอบให้อวี๋หนานเมื่อเห็นอวี๋หนานกลืนยาล้างพิษแล้ว ฉู่เนี่ยนซีจึงเดินนำเข้าไปในป่าพิษทั้งสองเดินไปสักพัก และเพิ่งหลุดออกมาจากป่าพิษ ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเข้ากับเซวียเล่อทันทีเช่นนี้“คุณชายซี! เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?
”นายใหญ่!” นางตะโกนในใจด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ไม่ ไม่ ไม่ นางไม่น่าจะใช่นายใหญ่ อายุไม่สอดคล้องกันเลย! หรือว่าจะเป็นลูกชายของนายใหญ่อย่างนั้นหรือ? ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะตอนที่ได้พบกับนายใหญ่ นางบอกว่ากำลังจะมีลูกสาวแต่สุดท้ายก็ได้ข่าวว่านางแท้งและเสียชีวิตไปแล้วแม้ว่าจะเป็นข่าวเท็จในตอนนั้น ก็ควรจะเป็นลูกสาวถึงจะถูก!หัวหน้าหุบเขาพยักหน้า และส่ายหัวสลับกันไปมา ร่องรอยของความประหลาดใจแวบผ่านดวงตาของนางอย่างรวดเร็ว และในพริบตาเดียวดวงตาของนางก็กลับมาเย็นชา ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันเมื่อถูกจ้องมองจากนั้นหัวหน้าหุบเขาก็รีบเดินไปหาเซวียหนานคงและตบหัวเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ และพูดด้วยความโกรธว่า "เจ้าคนฟุ่มเฟือย อีกไม่นานยาในหุบเขาสมุนไพรจะถูกเจ้าส่งออกไปจนหมด!"น้ำเสียงเย็นชา แต่ก็มีอำนาจที่ไม่อาจอธิบายได้เซวียหนานคงผู้ถูกทุบตีกุมศีรษะของตัวเองและมองหัวหน้าหุบเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก“ข้าโตขนาดนี้แล้วยังโดนตบหัวอยู่ ไม่ไว้หน้าข้าเลยหรือ!”เมื่อได้ยินว่านางเป็นหัวหน้าหุบเขา ฉู่เนี่ยนซีก็รีบก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับอย่างสุภาพ "หัวหน้าหุบเขา ข้าคือซานเซิง วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่
“ท่านอาจารย์...” ศิษย์น้องลืมตาขึ้นมา เหงื่อท่วมตัวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่แฝงด้วยความเสียใจ“อย่าเพิ่งพูดอะไร ออมแรงเอาไว้” หัวหน้าหุบเขาดูกังวล ดวงตาที่เย็นชาของนางอ่อนลงทันที นางหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วป้อนเข้าไปในปากของศิษย์น้องอย่างอ่อนโยนผ่านไปสักพัก ศิษย์น้องก็กระพริบตาช้า ๆ นางรู้สึกเปลือกตาหนักอึ้ง ก่อนจะค่อย ๆ หลับไปเมื่อเห็นว่านางหลับแล้ว หัวหน้าหุบเขาก็แก้ผ้าพันแผลทีละชั้นแล้วถอดออกทันใดนั้น นิ้วชี้ที่เชื่อมต่อกับผิวหนังที่เต็มไปด้วยเลือดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า“เฮ้อ!” หัวหน้าหุบเขาตรวจสอบ และถอนหายใจแรงอาการบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแต่นิ้วชี้ก็พิการไปแล้ว“หัวหน้าหุบเขา นิ้วชี้ของศิษย์น้องสามารถต่อกลับได้หรือไม่?”เซวียหนานคงถามด้วยเสียงทุ้มพร้อมกับอารมณ์ที่ซับซ้อนแวบขึ้นมาในดวงตาของเขา“เกรงว่าจะทำไม่ได้”หัวหน้าหุบเขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญาทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ทั้งห้องก็ตกอยู่ในอารมณ์ที่หนักอึ้งแม้ว่าหัวหน้าหุบเขาจะมีชื่อเสียงในด้านยาพิษ แต่ในฐานะหัวหน้าหุบเขาทักษะทางการแพทย์ของนางก็ไม่ได้ด้อยเลย ถ้าแม้แต่นางยังบอกว่าไม่ได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าไม
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย