เมื่อเห็นว่าในที่สุด อวี๋ตงก็ให้ความสนใจเขา ดวงตาของเย่ฉงเฉิงก็เปล่งประกายด้วยความสำเร็จ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น แววตานั้นก็หายไปครู่หนึ่ง และสีหน้าเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่“โอ๊ย โอ๊ย ข้าเจ็บเหลือเกิน !”เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังขึ้นเรื่อย ๆ อวี๋ตงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสั่งให้เด็กรับใช้ไปตามหมอไม่นาน หมอก็มาถึง ขณะที่เขากำลังจะตรวจชีพจร ลูกละตาของเย่ฉงเฉิงก็เบิกโพลงขึ้นมา พลางตะโกนขึ้น “เจ็บ!” เสียงตะโกนทำให้หมอตกใจ และรีบถามอย่างกังวลใจว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเฉิงเจ็บตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ? ตรงนี้ หรือว่าตรงนี้?”ขณะที่พูด หมอก็ยื่นมือออกไปสัมผัสหลายจุดบนร่างกายของเย่ฉงเฉิงมาแตะกันแบบนี้ก็ดีเลยสิ! เย่ฉงเฉิงตะโกนอีกครั้งโดยบอกว่าเขาทนเจ็บไม่ไหวคราวนี้หมอกำลังลำบากและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเขาไม่เคยเห็นโรคแปลก ๆ เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากอวี๋ตง และถามอย่างเงียบ ๆ ว่าเขาควรทำ แน่นอนว่าอวี๋ตงไม่อยากสนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเย่ฉงเฉิง แต่ด้วยฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ อย่างหนาแน่นที่ด้านนอก เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันเชิญฉู่เนี่ยนซีมาลองตรวจดู
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากถูกบุคคลต้นแบบของเขาเกลียดและเข้าใจผิด เย่ฉงเฉิงรู้สึกกังวลจึงรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว “ขออภัยด้วย! ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ!”หลังจากนั้นในทันใด เย่ฉงเฉิงก็คุกเข่าลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาของเขาร้อนรน พลางขอร้องว่า "ได้โปรดขอให้ท่านหมอเทวดาซานเซิงยอมรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”ฉู่เนี่ยนซีเคยได้ยินเย่ฉงเฉิงพูดถึงการขอเป็นศิษย์มานานแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะละทิ้งความหยิ่งยโสและคุกเข่าลงเช่นนี้แม้ว่าจะประหลาดใจ แต่ฉู่เนี่ยนซีก็พูดตรง ๆ โดยไม่ต้องคิดว่า “กระหม่อมไม่รับศิษย์! ท่านอ๋องเฉิงโปรดกลับไปเถอะ!”"ไม่! ท่านหมอเทวดาซานเซิงโปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านเถอะ!” เย่ฉงเฉิงปฏิเสธที่จะยอมแพ้และขวางทางฉู่เนี่ยนซีอย่างรวดเร็ว “ข้ามีความสามารถและเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ไว! อีกทั้งข้าเองก็เป็นอ๋อง ข้าจะให้ความเคารพท่านมาก ๆ เลยด้วย! หากเลือกข้าก็ไม่เสียหายอะไร! ท่านหมอเทวดาซานเซิงโปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านเถิด!”เมื่อเห็นเย่ฉงเฉิงเซ้าซี้ไม่หยุดหย่อน ฉู่เนี่ยนซีก็นึกถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีก่อนหน้านี้ของเขาที่เคยทำใส่นาง จึงเผยรอยยิ้มที่เหมือนจะไม่ใช่รอยยิ้ม สายตาฉายแววเยาะเย้ยและ
“จะ…เจ้า…”“เจ้าอะไร?! แค่พูดให้เข้าใจยังทำไม่ได้เลย หรือว่าข้าควรหาแม่นมมาสอนท่านพูดจะดีกว่าล่ะ! หึ!” เหยียนตั่วกล่าว พลางส่งเสียงหึอย่างเย็นชา อีกทั้งแลบลิ้นใส่เย่ฉงเฉิงอีกด้วย ท่าทางเช่นนี้ทำให้คนโกรธสุดชีวิตเย่ฉงเฉิงจ้องนางด้วยความโกรธ พลางชี้ไปที่นางด้วยนิ้วอันสั่นเทา “เด็กนิสัยไม่ดีเช่นเจ้าเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้ปากคอเราะร้ายเช่นนี้?! ระ...ระวังไว้เถอะ! ข้าจะจับเจ้าโยนเข้าคุกให้โดนอดข้าวเสีย!”“ท่านอ๋องเฉิงจะใช้อำนาจเพื่อกดขี่ผู้อื่นในหอการแพทย์ของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เสียงเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีดังขึ้นจากด้านข้าง ทำให้เย่ฉงเฉิงขนลุกขึ้นมาเมื่อเห็นดังนั้น เหยียนตั่วก็ทำเป็นตัวสั่นและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉู่เนี่ยนซี มือขาวละเอียดคู่หนึ่งดึงแขนเสื้อของฉู่เนี่ยนซีไว้ ใบหน้าเล็ก ๆ อันข่าวผ่องดุจเครื่องเคลือบของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีน้ำใส ๆ คลออยู่นั้นก็แสดงความคับข้องใจ “ท่านอาจารย์ ท่านอ๋องเฉิงผู้นี้กำลังคุกคามข้า ดุขนาดนี้ เขาต้องชอบรังแกคนที่อ่อนแอแน่ ๆ ตั่วเอ๋อร์กลัว ท่านต้องปกป้องตั่วเอ๋อร์นะเจ้าคะ!”พูดจบ นางก็แลบลิ้นใส่เย่ฉงเฉิงอย่างสะใจ ดวงตา
“ทั้งหมดเป็นเพราะท่านเอาแต่โหวกเหวกโวยวาย ท่านอาจารย์ถึงได้รำคาญ! นั่นคือเหตุผลที่เขาออกไป!” เหยียนตั่วชี้ไปที่เย่ฉงเฉิงและพูดด้วยความโกรธเย่ฉงเฉิงกัดฟัน กลอกตาและชี้ไปที่เหยียนตั่ว “เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่ตะโกน ท่านอาจารย์ถึงได้เดินหนีไป! เจ้านี่ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย”ทั้งสองต่างไม่พอใจอีกฝ่ายและยังคงทะเลาะกันบนบันไดด้านบนอีกด้านหนึ่ง ฉู่เนี่ยนซีก้าวฉับ ๆ รวดเดียว รีบไปที่ห้องเล็กข้าง ๆ อย่างรวดเร็วหัวใจของนางเต้นแรงเนื่องจากการเดินอย่างรวดเร็ว และความเย็นชาในดวงตาของนางถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นคำพูดของเหยียนตั่วทำให้นางค้นพบบางสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสังเกตเห็นและนึกถึงมาก่อนแม้จะค้นหาบันทึกในหนังสือทุกเล่มแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เจอข้อมูลของพิษกู่ชนิดนี้เลยมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ที่เฉินเกอถูกวางยาพิษไม่ได้มีแค่พิษกู่เพียงชนิดเดียว แต่บางทีอาจเป็นพิษชนิดหนึ่งผสมกับพิษกู่ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบหยิบอุปกรณ์การเขียนออกมาอย่างรวดเร็ว ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา จับปากกาเขียนบางอย่างด้วยความว่องไวพิษกู่ทั่วไปจะไม่ไหลเวียนไปมาในร่างกาย แต่จะปรากฏบนผิวหนังแทน เว้นเสีย
ในขณะที่เดินเข้าไป ฉู่เนี่ยนซีก็สามารถจินตนาการได้ถึงสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องระหว่างคนทั้งสองได้“อ่ะแฮ่ม!” ฉู่เนี่ยนซีกระแอมขัดจังหวะความต้องการของทั้งสองที่จะต่อสู้กันเมื่อได้ยินเสียง ทั้งคู่ก็มองตามเสียงนั้นไป เมื่อพบว่าเป็นฉู่เนี่ยนซีพวกเขาก็แสร้งทำเป็นประพฤติตัวดีในทันที“ท่านอาจารย์ ท่านไปไหนมา?” เหยียนตั่วเรียกอย่างอ่อนหวานพลางมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยรอยยิ้มเย่ฉงเฉิงทำท่าทางดูแคลน แอบบ่นคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่าทำตัวเสแสร้ง แต่เขาก็ยังก้าวไปข้างหน้าและเบียดเหยียนตั่วออกไป พร้อมกับเผยรอยยิ้มบนใบหน้าที่ค่อนข้างประจบประแจง“ท่านหมอเทวดาซานเซิง! ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าได้เตรียมสถานที่สะอาดในหอหมื่นบุปผาไว้แล้ว ข้ามั่นใจว่าจะไม่มีใครรบกวนท่าน และแน่นอนว่าจะไม่มีแมลงวันหน้าไม่อายบินไปมาให้รำคาญใจ! ขอท่านหมอโปรดเพลิดเพลินกับอภินันทนาการนี้ด้วย”“ท่าน! กล้าดีอย่างไรมาเรียกคุณหนูเช่นข้าว่าแมลงวัน?!”เหยียนตั่วได้ยินเย่ฉงเฉิงพูด จึงกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ทันใดนั้น นางก็สงบลงและยิ้มให้เขาด้วยกลัวรอยยิ้มแปลก ๆ ของเหยียนตั่ว เย่ฉงเฉิงจึงถอยหลังพลางมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น มันก็บิดตัวเหมือนหนอนผีเสื้อ และรอยแผลเป็นที่มีขนาดใหญ่ครึ่งหนึ่งของใบหน้าก็ซ้อนทับกับผิวหนังอย่างสมบูรณ์หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงอย่างรวดเร็ว ฉู่เนี่ยนซีก็จัดระเบียบทุกอย่างและกลับไปที่จวนอ๋องภายใต้การดูแลของอวี๋ตงและอวี๋หนานในรถม้า ฉู่เนี่ยนซีหลับตาลง พลางคิดว่าพรุ่งนี้นางจะแก้พิษให้เฉินเกออย่างไรด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ ฉู่เนี่ยนซีก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวไม่นานก็มาถึงจวนอ๋องหลีสิ่งที่ทำให้อวี๋หนานและอวี๋ตงประหลาดใจคือการพบเย่เฟยหลียืนอยู่ที่ประตูจวน ดูเหมือนเขาจะรออยู่นานแล้ว“นายหญิง ถึงแล้วขอรับ” อวี๋ตงเม้มริมฝีปาก ปิดบังความประหลาดใจในดวงตาของเขา พลางพูดอย่างเฉยเมยเป็นเวลานานที่ไม่มีคำตอบจากภายในรถม้า และทั้งสองก็มองตากันภายใต้การมองที่เย็นชาของเย่เฟยหลี เขาเปิดม่านรถด้วยความสับสนและพบว่าฉู่เนี่ยนซีเผลอหลับอยู่ตรงมุมหนึ่ง“เกิดอะไรขึ้น?” เย่เฟยหลีก้าวไปข้างหน้าเมื่อเขาเห็นพวกเขาทั้งสองตัวแข็งทื่อ และพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความกังวลก่อนที่อวี๋ตงจะได้ตอบอะไร เย่เฟยหลีก็เห็นฉู่เนี่ยนซีนอนหลับอย่างสงบสีหน้าเย็นชาของเขามีความอบอุ่นเล็กน้อย เขา
วันต่อมา แสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าพาให้อากาศดีเมื่อคืนคิดว่าคงจะนอนไม่หลับ แต่หลังจากหลับตาไม่กี่นาทีก็เผลอหลับไปหลังจากฉู่เนี่ยนซีอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ตรงไปที่โรงพนันหุยหุนโดยไม่รับประทานอาหารหลังจากดื่มชาเสร็จ เป่ยถูก็ปรากฏตัวที่โรงพนันหุยหุนสถานที่แห่งนี้ยังคงคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เป่ยถูดูเฉยเมย เขาเดินไปที่โต๊ะต้อนรับแล้วใช้พัดเคาะโต๊ะ“ข้ามาหาผู้ดูแลของพวกเจ้า!”เด็กรับใช้คิดว่าเขากำลังมองพินิจเป่ยถูอยู่นิ่ง ๆ แต่จริง ๆ แล้วกลับถูกมองออกทั้งหมดรู้สึกได้ว่านายท่านตรงหน้าไม่ใช่คนที่ควรล้อเล่นด้วย จึงรีบทักทายเขาด้วยรอยยิ้มทันที“ไม่ทราบว่านายท่านมีธุระอะไรถึงมาหาผู้ดูแลของพวกเราขอรับ?”เป่ยถู ขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยความเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ ความกดอากาศรอบตัวของเขาต่ำลง และดวงตาของเขาก็เยือกเย็นลงเล็กน้อยเด็กรับใช้ที่เพิ่งมาใหม่ก็ไม่กล้าทำให้แขกขุ่นเคือง ดังนั้นเขาจึงยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “เช่นนั้นรอสักครู่ขอรับ!”จากนั้นเขาก็จึงรีบขอตัวออกไปโชคดีที่อวี๋เป่ยกำลังเดินตรวจตราอยู่แถวนี้ ปรายตามองไปเห็นเด็กรับใช้เดินไปมาโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ละเลยหน
หลังจากนั้นไม่นาน เป่ยถูและฉู่เนี่ยนซีก็เดินไปด้านในสุดของห้องมืดทุกอย่างที่นี่สร้างจากหิน เพราะอยู่ลึกเข้าไปดังนั้นจึงรู้สึกเย็นมากฉู่เนี่ยนซีมองเฉินเกอที่ถูกห่อไว้แน่นบนเตียงหินตรงกลาง แล้ววางหีบห่อลง พร้อมกับสั่งการกับเป่ยถู"ช่วยเอาของที่ไม่จำเป็นบนร่างกายของเขาออกที"เขามองเตียงหินอย่างลังเลด้วยสายตาที่เป็นกังวล "มันจะไม่เป็นอะไรหรือ?"ฉู่เนี่ยนซีจัดการวางสมุนไพรและสิ่งอื่น ๆ และไม่แม้แต่จะมองดูเขาด้วยซ้ำก่อนจะตอบไปทันทีว่า "ไม่ต้องกังวล มันจะไม่มีปัญหาอะไร"หลังจากจ้องมองฉู่เนี่ยนซีอยู่ครู่หนึ่ง เป่ยถูก็เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะดึงผ้าออกจากตัวของเฉินเกอทันใดนั้น อุณหภูมิในห้องมืดก็อุ่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยเฉินเกอหลับลึกอยู่บนเตียงหินด้วยใบหน้าที่สงบฉู่เนี่ยนซียื่นมือออกไปสัมผัสร่างกายของเฉินเกอ อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงเล็กน้อย นางดึงมือกลับ และสวมถุงมืออย่างใจเย็นจากนั้นก็หยิบถุงมืออีกคู่ส่งให้เป่ยถู “สวมมันแล้วช่วยข้าถอดเสื้อผ้าของเขาด้วย”"ได้"เป่ยถูสวมถุงมืออย่างรวดเร็ว หลังจากมีประสบการณ์ครั้งที่แล้วจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อผ้าของเฉินเกอออกภายในไม่กี่ขั้นตอนเมื่อม