ฉู่เนี่ยนซีมองเย่เซวียนเล่อราวกับว่ากำลังดูตัวตลก พลางยิ้มเยาะขึ้น “ฉีกเป็นชิ้น ๆ ? หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าองค์หญิงห้าไปเอาความกล้าและความมั่นใจมาจากไหน?! หรือเพียงเพราะว่าท่านเป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮางั้นรึ?” “แน่อยู่แล้ว ข้าที่เป็นองค์หญิงนั้นมีฐานะสูงส่งมากกว่าคนอัปลักษณ์เช่นเจ้ามากนัก!” เย่เซวียนเล่อทำท่าทางหยิ่งผยองพลางมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความรังเกียจ และพูดต่อ “มารดาของข้าคือฮองเฮา เป็นผู้สูงส่งที่สุดในใต้หล้า ขณะที่มารดาของเจ้าเป็นเพียงสตรีที่แม้แต่ชื่อก็ไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งบิดาของข้าก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิ และบิดาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่เสนาบดีต๊อกต๋อยที่เป็นสุนัขรับใช้ข้างกายเสด็จพ่อของข้า!” “การที่มารดาของเจ้าให้กำเนิดบุตรสาวที่อัปลักษณ์และไร้ความสามารถเช่นนี้ออกมาได้ นางก็คงจะเป็นคนที่ไร้ความสามารถและต่ำต้อยด้วยเช่นกัน!” ยิ่งเวลาผ่านไปเย่เซวียนเล่อก็ยิ่งพูดยั่วยุมากขึ้น ขณะที่พูด นางก็แสดงความเย่อหยิ่งเจือความรังเกียจไปด้วย โดยไม่ทันสังเกตเห็นความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุอยู่ในดวงตาคมปลาบของฉู่เนี่ยนซีซึ่งกำลังจะระเบิดออกมา “ดังนั้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าและตบ
เหล่าองครักษ์เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีและมองหน้ากัน ช่วงนี้ชื่อเสียงของพระชายาหลีกำลังแพร่หลาย และความคิดของผู้คนในวังที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไปมาก ในโลกนี้ คนที่มีความรู้ด้านการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมย่อมได้รับความเคารพจากทุกคน นอกจากนี้ องค์หญิงห้า เย่เซวียนเล่อผู้นี้เดิมทีเป็นคนหยิ่งผยองและบ้าอำนาจ เหล่าขันทีและองครักษ์ต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ในเมื่อเป็นคนของนาง ด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องทำตามคำสั่งของนางและลงมือเท่านั้น หากแต่ตอนนี้คนที่นางต้องการจับกุมคือพระชายาหลี! หากลงมือไปพวกเขาก็คงโง่แล้ว เย่เซวียนเล่อเห็นทุกคนทำเหมือนไม่ได้ยินที่ตัวเองพูดก็โกรธ “พวกเจ้าหูหนวกกันรึ? ข้าสั่งให้จับนางสารเลวนั่น!” “นางสารเลว...” ริมฝีปากของฉู่เนี่ยนซีเผยอเล็กน้อย พูดคำว่า ‘นางสารเลว’ โดยพูดสองพยางค์แรกด้วยเสียงเบาและเน้นเสียงที่พยางค์สุดท้าย ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน จากนั้น นางก็เคลื่อนไหวไปอยู่ตรงหน้าเย่เซวียนเล่อราวกับสายลม เสียงดัง ‘เพียะ! เพียะ!’ ทำเอาทุกคนเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ “กรี๊ด! นะ...นางคนอัปลักษณ์ กล้าดียังไงมาตบข้า?!” เสียง “เพียะ!!!” ดังขึ้นอีกเสี
ไม่นาน ฉู่เนี่ยนซีก็มาถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิ ณ เวลานี้ ในห้องทรงงาน องค์จักรพรรดิกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางลูบจี้หยกในมือของตัวเองอย่างครุ่นคิด ในขณะที่ใบหน้าอันสวยงามของเย่เซวียนเล่อนั้นบวมแดง แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับยาแล้ว นางกำลังน้ำตานองหน้านั่งซบอยู่ข้าง ๆ ฮองเฮา สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีคาดไม่ถึงคือเย่เฟยหลีก็อยู่ที่นี่ด้วย และตอนนี้เขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ขณะที่กำลังดื่มชาอย่างนิ่งเฉย เมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีเข้ามา ความหนาวเย็นในดวงตาของเขาก็ลดลงเล็กน้อยพลางมองมาที่นาง เมื่อฉู่เนี่ยนซีคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ในใจก็รู้สึกขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก นางจึงเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วและเดินต่อไป “ถวายบังคมเสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ” องค์จักรพรรดิเคยรับปากว่าต่อไปนางไม่ต้องคุกเข่าอีก ดังนั้นฉู่เนี่ยนซีจึงทำเพียงโค้งตัวทำความเคารพ เมื่อเย่เซวียนเล่อเห็นฉู่เนี่ยนซี ดวงตาที่โศกเศร้าของนางก็มีความไม่พอใจเข้ามาแทนที่ในทันที อีกทั้งรีบตะโกนออกมา “ฉู่เนี่ยนซี สามหาวนัก! ทำความเคารพเสด็จพ่อเสด็จแม่แต่กลับไม่คุกเข่ารึ!” ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เซวียนเล่อพลางพู
องค์จักรพรรดิมองฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตาที่เฉียบคมราวกับนกอินทรี ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ไม่โกรธ แต่ทรงพลัง หากเป็นคนธรรมดา คงหายใจไม่ออกเสียจนต้องก้มศีรษะตัวสั่นไปแล้ว แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแม้จะดูดุดันก็ก็ยังคงดูสงบ ริมฝีปากของเขาเผยอออกเล็กน้อยและพูดเนิบ ๆ “การทำร้ายองค์หญิงห้าถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่นั่นเป็นเพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ส่วนสาเหตุนั้นก็เป็นสิ่งที่ซีเอ๋อร์กำลังจะขอให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองใบหน้าที่จริงจังขององค์จักรพรรดิและพูดต่อ “ในหอตำราหลวงนั้น องค์หญิงห้าทรงดูถูกบิดามารดาของซีเอ๋อร์โดยพลการก่อน อีกทั้งยังสั่งให้คนของนางจัดการซีเอ๋อร์ ซึ่งเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของหม่อมฉันอย่างร้ายแรง ดังนั้น ซีเอ๋อร์จึงร้องขอให้ทรงตัดสินใหม่ด้วยเถอะเพคะ!” หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีพูดจบ นางก็โค้งตัวอย่างนอบน้อม ด้วยท่าทางที่จริงใจอย่างคนที่ไม่ได้ทำผิดอะไร องค์จักรพรรดิทรงขมวดคิ้วและมองไปที่เย่เซวียนเล่อ “มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นหรือ?” “ลูก…” เย่เซวียนเล่ออ้ำอึ้ง เมื่อฮองเฮาที่อยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าของพระธิดาของตัวเอง ก็รู้
“ฉู่เนี่ยนซี! ฉู่เนี่ยนซีต้องเป็นคนฆ่านางแน่ ๆ!” เย่เซวียนเล่อชี้ไปที่ฉู่เนี่ยนซีพลางตะโกน ฉู่เนี่ยนซีคิ้วขมวดด้วยความโกรธ ในดวงตาอาฆาตกระหายเลือด ‘ฆ่าคนเพื่อจะลงโทษนางเนี่ยนะ พวกเขาทำกันได้อย่างไร!’ ‘ชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว!’ เมื่อเห็นท่าทีของนาง เย่เซวียนเล่อก็รู้สึกเจ็บบริเวณคอเล็กน้อย และหายใจไม่ออกขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงขยับเข้าไปใกล้ฮองเฮามากขึ้น ฮองเฮาตบมือของนางเพื่อปลอบโยน และมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาอำมหิต “เหตุใดพระชายาหลีจึงมีสีหน้าเช่นนั้น? แม้เล่อเอ๋อร์จะพูดตรงไปสักหน่อย แต่ข้อสงสัยนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เจ้าเพิ่งขอให้องค์จักรพรรดิรับสั่งให้ซูเซียงมาเข้าเฝ้า แต่ซูเซียงก็กลับถูกพบว่าเสียชีวิตในทะเลสาบไปเสียแล้ว คงจะตั้งใจไว้ล่ะสิ” “หากซีเอ๋อร์เป็นคนทำ จำเป็นที่จะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เพื่อที่จะเรียกคนมาหรือพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมคิดว่าคนมีสมองคงไม่พูดอะไรเช่นนั้นออกมา!” ดวงตาสีเข้มราวกับสระน้ำอันมืดมิดของเย่เฟยหลีปรายตามองฮองเฮา ทำเอาฮองเฮาถึงกับพูดไม่ออก ดวงตาขององค์จักรพรรดิขรึมขึ้น เขาจ้องมองไปที่ทุกคน และในที่สุดก็มองไปยังขันทีผู้น้อยที่กำ
เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้รับอนุญาต เหล่าองครักษ์ก็หลีกทางให้ ฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ เปิดผ้าขาวที่คลุมศีรษะของซูเซียง ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันอยู่ในใจและเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกอยากจะหนีไปจากตรงนี้ คนที่กำลังมีช่วงวัยที่ดีที่สุดต้องมาตายเพราะนาง! นางรักษาคนมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นคนแรกที่จากไปเพราะนาง เย่เฟยหลีมองมือที่ลังเลและท่าทางที่ลำบากของนาง ความสงสารก็แวบขึ้นมาในใจของเขา เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและจับมือนางไว้ “หากไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู นางทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก!” ฉู่เนี่ยนซีมองเย่เฟยหลีที่มีสีหน้าเป็นกังวล ภาพเมื่อวานก็ฉายซ้ำในหัวของนางอีกครั้ง นางสะบัดมือออกและมากุมมือตัวเองไว้อย่างไม่เป็นธรรมมชาติ “ข้าทำได้!” นางพูดเบา ๆ ราวกับว่านางกำลังบอกทั้งเขาและตัวเอง จากนั้นด้วยความมุ่งมั่น นางจึงเอื้อมมือออกไปเลิกผ้าขาวขึ้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาคือใบหน้าที่ซีดเซียวของซูเซียง โดยมีผมที่เปียกชุ่มปรกอยู่บนใบหน้าของนาง ช่างดูน่าแปลก ฉู่เนี่ยนซีเอื้อมมือไปเขี่ยผมสีดำคล้ายสาหร่ายออกและพบว่ามีบาดแผลเล็ก ๆ บนหน้าผากของซูเซียง เมื่อพิจารณาจากความรุนแรงแล้วคงจะใช้เวลานานทีเดียวถึงจะเห็นได้ชัดเจนข
ฮองเฮาถึงกับใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ความตื่นตระหนกในดวงตาของนางสั่นไหว แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็วนางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและมองไปที่องค์จักรพรรดิ “ฝ่าบาท คงเป็นเพราะซูเซียงไม่ระวังจึงพลาดท่าตกลงไปในสระไท่เย่ฉือ จะไปมีเหตุผิดปกติอะไรได้เพคะ ว่ากันว่าดวงจิตของผู้ตายจะได้พักผ่อนเมื่อกลับลงสู่ผืนดิน แล้วเหตุใดถึงยังปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้เล่า? จัดพิธีศพให้นางเถิด! ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่จากองค์จักรพรรดิเลยนะเพคะ” “ใช่เพคะเสด็จพ่อ” เย่เซวียนเล่อที่อยู่ตรงนั้นตอบรับอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี องค์จักรพรรดิเลียริมฝีปากที่แห้งผากของเขา เขาไม่ได้พูดอะไรมาสักพักแล้ว ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “เสด็จพ่อเคยคิดไหมเพคะ ว่าเหตุใดอยู่ดี ๆ นางถึงตกลงไปในสระไทเย่ฉือ? อีกทั้งยังเป็นวันที่อากาศแจ่มใสเช่นนี้ ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?” ฉู่เนี่ยนซียิ้มบาง ๆ และเข้าใกล้ฮองเฮาอย่างไม่รีบร้อน “ฮองเฮาพูดอยู่เสมอว่าผู้ตายควรถูกฝังอย่างสงบ แต่หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลก ดังนั้นควรทำให้ชัดเจนจะดีกว่าเพคะ” “แปลกรึ?” ฮองเฮาเลิกคิ้วอย่างเย็นชา “มีอะไรแปลก? เป็นไปได้ว่าซูเซียงจะสะด
“หากเป็นตามที่เจ้าพูด ซูเซียงก็ไม่ได้จมน้ำตายหรือ?” รอยยิ้มและสีหน้าของฮองเฮาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและมั่นใจ “แน่นอนว่านางจมน้ำตายเพคะ!” ฉู่เนี่ยนซีมองฮองเฮาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพียงแต่นางไม่ได้จมน้ำตายในสระไท่เย่ฉือนี้เพคะ!”ความตื่นตระหนกแวบขึ้นมาในใจของฮองเฮา แต่นางก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พลางพูดขึ้นด้วยความโกรธอย่างนิ่ง ๆ ว่า “ไร้สาระเสียจริง! หากไม่ได้จมน้ำที่นี่ ผู้ใหญ่ตัวโต ๆ จะไปจมน้ำตายได้ที่ไหนอีก!” พูดจบ ฮองเฮาก็หันไปหาองค์จักรพรรดิแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันว่าชายาหลีต้องการจะหลบเลี่ยงเรื่องที่ทำร้ายเล่อเอ๋อร์ นางจึงพูดจาไร้สาระเช่นนี้ แต่คนตายนั้นกว่า ซูเซียงไม่อยู่แล้ว ปล่อยนางนอนตากลมไว้เช่นนี้คงจะไม่ได้ รีบจัดพิธีฝังศพให้นางไปสู่สุคติโดยเร็วที่สุดจะดีกว่าเพคะ” “เหตุใดฮองเฮาถึงทรงมีปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อคำพูดของซีเอ๋อร์เช่นนี้ด้วยเพคะ? สิ่งที่ซีเอ๋อร์พูดนั้นจะน่าเชื่อถือหรือไม่ เสด็จพ่อก็ทรงหาข้อสรุปเองได้เพคะ เพียงแต่ว่า...” ในขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีก็ชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาที่สงบนิ่งไม่ไหวติงเผยความรู้สึกที่ไม่อาจรู้ได้ว่าคืออะไร นางพูดเนิบ ๆ ว่า “ฮองเฮาตรั