เมื่อฮองเฮาเห็นท่าทางของนางเช่นนั้น ใจที่กำลังวิตกกังวลของฮองเฮาก็ผ่อนคลายลง และทำสีหน้ามั่นใจนิด ๆ “ชายาหลี นี่เจ้าจะบอกข้ากับฝ่าบาทว่าซูเซียงตายตรงนี้เช่นนั้นหรือ?” ฉู่เนี่ยนซีมองท่าทางมั่นใจของฮองเฮา คิ้วที่ขมวดอยู่ของนางก็ผ่อนคลายลง และรอยยิ้มที่ชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง “แน่นอนว่า...ไม่ใช่เพคะ!” ฉู่เนี่ยนซีจงใจพูดลากเสียงยาว ๆ ส่วนฮองเฮาที่ยังดูมั่นใจในตอนแรก เมื่อได้ยินสองคำสุดท้าย รวมไปถึงเห็นสีหน้าของนาง ก็เกิดหวาดกลัวและตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แววตาของฉู่เนี่ยนซีฉายแววเยาะเย้ยนิด ๆ จากนั้นก็ไม่สนใจฮองเฮาอีกและหันไปมององค์จักรพรรดิ “เมื่อพิจารณาจากศพของซูเซียง นางจมน้ำเสียชีวิตเพคะ แต่นางคงไม่ได้ตายในสระไท่เย่ฉือแน่นอน ดังนั้นซีเอ๋อร์จึงตัดสินว่า อ่างใบใหญ่ ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ซูเซียงตายเพคะ” “แต่ว่า...ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสก ๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่ฆาตกรจะก่อเหตุฆาตกรรมอย่างโจ่งแจ้ง ฉะนั้น หากเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ รกร้างไร้ผู้คน อีกทั้งยังใกล้กับที่นี่ นั่นจึงจะเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมที่ฆาตกรเลือกไว้เพคะ” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็ชำเลืองมองฮองเฮาพร้อมยิ้มที่ไม
ฉู่เนี่ยนซีรู้อยู่แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางคือฆาตกรที่ฆ่าซูเซียง เพราะพวกนางกลัวว่าซูเซียงจะเปิดเผยทุกอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ในหอตำราหลวง หากปล่อยซูเซียงไปนางก็จะไม่ได้รับการลงโทษ ฉู่เนี่ยนซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และชี้ไปที่อ่างน้ำ “อะไร? ตรงนั้นมีปัญหาอะไร?” เย่เซวียนเล่อพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพื่อปกปิดความตื่นตระหนกในใจของนาง นางและฮองเฮาร่วมมือกันทำเรื่องนี้ แต่พวกนางก็จัดการร่องรอยทั้งหมดอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือหลักฐาน ‘นางคนอัปลักษณ์นี่ก็แค่แสร้งทำไปเท่านั้นเอง’ เมื่อเทียบกับเย่เซวียนเล่อที่กำลังตื่นตระหนก แต่ฮองเฮากลับดูสงบกว่ามาก นางเหลือบมองฉู่เนี่ยนซีพลางเยาะเย้ยในทันที “หรือในมุมมองของชายาหลีนั้นแม้แต่อ่างน้ำก็พูดได้?” “เป็นอย่างที่ฮองเฮาทรงตรัสเพคะ อ่างน้ำนี่พูดได้จริง ๆ” ฉู่เนี่ยนซียิ้มอย่างมั่นใจพลางยกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นข้อมือสีขาว นิ้วเรียวล้วงเข้าไปในอ่างน้ำแล้วคลำไปรอบ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน มือเรียวงามของนางก็หยิบเอาผมสีดำสนิทจำนวนหนึ่งออกมาจากอ่าง “นั่นคืออะไร?” ทุกคนเข้ามาใกล้อย่างประหลาดใจด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน “เส้นผมเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีชูเส้นผมในมือขึ
“ฉู่เนี่ยนซี อย่าก่อเรื่องเลย รูปร่างของสิ่งนี้ดูแปลกมาก อีกทั้งวิธีใช้งาน ข้าคิดว่าเจ้าก็แค่อวดอ้างเท่านั้น!” เย่เซวียนเล่อมองสิ่งที่อยู่ในมือของฉู่เนี่ยนซี พลางเยาะเย้ยอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นว่าเย่เซวียนเล่อเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ ฮองเฮาก็เหลือบมองนางด้วยความโกรธและแสร้งทำเป็นดุว่า “เล่อเอ๋อร์ ระวังปากด้วย!” เย่เซวียนเล่อเบ้ปากอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยังสงบปากสงบคำไว้ เมื่อเห็นว่าเย่เซวียนเล่อหยุดพูด นางก็มองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยท่าทีเคร่งขรึม ริมฝีปากสีแดงของนางก็เผยอขึ้นเล็กน้อย “อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าพูดนั้นไม่ได้อัศจรรย์เท่าไหร่ ไม่ทราบว่าให้ข้าลองดูสักหน่อยได้หรือไม่?” “ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ หม่อมฉันจะหันหลัง และอยากขอให้ฮองเฮาและองค์หญิงดึงผมสองสามเส้น วางไว้ข้าง ๆ และทำเครื่องหมายไว้ อีกทั้งหม่อมฉันก็สามารถยืนยันได้เช่นกันว่าเส้นผมเป็นของคนคนเดียวกัน” ฮองเฮาพยักหน้า และฉู่เนี่ยนซีก็หันหลังไปอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นว่าฉู่เนี่ยนซีคงจะแอบมองไม่ได้แล้ว ฮองเฮาและเย่เซวียนเล่อก็ดึงผมของตัวเองออกมาสองสามเส้นแล้ววางไว้ข้าง ๆ “เจ้าหันกลับมาได้แล้ว” เมื่อฉู่เนี่ยนซีไ
เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นที่ประจักษ์ ฉู่เนี่ยนซีก็กล่าวทันทีว่า “เสด็จพ่อ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเส้นผมในอ่างน้ำนี้เป็นของซูเซียง ข้อสันนิษฐานของซีเอ๋อร์ได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยเพคะ!” ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองที่อ่างน้ำ สีหน้าของนางก็ยิ่งเย็นชาจนน่าตกใจ และริมฝีปากของนางก็เอ่ยออกมา “ตามเวลาแล้ว ซูเซียงน่าจะถูกฆ่าตายเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ฆาตกรเคลื่อนย้ายศพเพื่อสร้างสถานการณ์ปลอม ตอนนี้เพียงแค่ต้องหาว่าใครคือฆาตกรที่ใจกล้าก่อเหตุฆาตกรรมในวังกลางวันแสก ๆ เช่นนี้เท่านั้น” “ไปเรียกขันทีที่เข้ากะยามนั้นมาที่นี่” องค์จักรพรรดิพูดอย่างเย็นชา จากนั้นกลุ่มขันทีที่ปฏิบัติหน้าที่ก็มาถึง ทุกคนต่างยืนกันเป็นระเบียบ เนื่องจากอยู่ห่างไกล ขันทีจำนวนมากที่ปฏิบัติหน้าที่จึงไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงขององค์จักรพรรดิ จึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย บริเวณใกล้ ๆ กับตำหนักเย็นมีคนมาปฏิบัติหน้าที่ไม่มากนัก ซึ่งเป็นที่ที่ฆาตกรเหมาะจะลงมือก่ออาชญากรรมมากที่สุด หลังจากสอบสวน ไม่รู้เหตุใด วันนี้คนถึงเดินผ่านที่นี่มากกว่าปกติ หากจะตรวจสอบก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ชั่วขณะหนึ่งเกิดการหยุดชะงักเล็กน้อย เมื่อฮองเฮา
ดวงตาขององค์จักรพรรดิสว่างราวกับสายฟ้า และความจริงก็ปรากฏอยู่ในใจของเขาอย่างช้า ๆ ฮองเฮามองวัตถุขนาดเท่าฝ่ามือในมือของฉู่เนี่ยนซี คิ้วของนางก็กระตุกโดยไม่ตั้งใจ นางกดขมับของตัวเองและรู้สึกถึงเลือดร้อนระอุที่ไหลผ่านเส้นเลือด ‘นางเด็กนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ !’ ‘เกรงว่าจะซ่อนสิ่งต่าง ๆ ไว้ไม่อยู่อีกต่อไป’ ‘ดูเหมือนว่าคงจะต้อง…’ ดวงตาของฮองเฮาสบกับเย่เซวียนเล่อ และปลอบนางให้สงบสติอารมณ์อย่างเงียบ ๆ เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้รับอนุญาต ก็ไม่สนใจฮองเฮากับองค์หญิงอีก นางเดินตรงไปหาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ฮองเฮา “เริ่มกันเลย!” เสียงของฉู่เนี่ยนซีอ่อนโยน แต่บางคนกลับรู้สึกว่าเหมือนเสียงฟ้าคำราม นางกวาดตามองสีหน้าของทุกคนทีละคน และเมื่อเดินมาถึงนางกำนัลอาวุโส นางก็ยิ้มมุมปากทันที “นางกำนัลอาวุโสผู้นี้เชิญมาก่อน!” “บ่าว...” นางเหลือบมองฮองเฮาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นฮองเฮาก็ตกใจกลัวและตะโกนอย่างเร่งรีบ “นางกำนัลอาวุโสหลิว เจ้าจะมองข้าเพื่ออะไร ชายาหลีขอตรวจสอบ เจ้าก็ให้ความร่วมมือไปสิ! ดึงผมสักเส้นสองเส้นคงไม่เจ็บนักหรอก!” เห็นดังนั้น สายตาขอความช่วยเหลือของนางกำนัลอาวุโสหลิวก็เริ่มหายไป นางรู้
“เรื่องนี้กระจ่างแล้ว” เย่เซวียนเล่อเข้าหาองค์จักรพรรดิ “เสด็จพ่อควรจัดการกับนางกำนัลอาวุโสหลิวโดยเร็วจะดีกว่านะเพคะ นอกจากนี้ เรื่องของลูกก็ยังไม่ได้รับการจัดการ ฉู่เนี่ยนซีทำร้ายลูก เรื่องของซูเซียงนั้นเป็นเพียงอุบายไร้สาระ ขอให้เสด็จพ่อโปรดตัดสินด้วยเพคะ” ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ เจ้าเด็กนี่กลับกังวลกลัวว่าจะเสียผลประโยชน์ ฮองเฮาที่เห็นเช่นนั้นจึงมองตาขวางใส่เย่เซวียนเล่อ “เล่อเอ๋อร์...อย่าเพิ่งจุ้น!” “นางเป็นพี่สะใภ้ของเจ้านะ! องค์หญิงผู้แสนสง่างามเช่นเจ้ากลืนมารยาทลงท้องไปหมดแล้วรึ?!” องค์จักรพรรดิถลึงตามองเย่เซวียนเล่อด้วยความโกรธ พลางมีสีหน้าเดือดดาล! “ลูก...” เย่เซวียนเล่อเศร้าสร้อย ขณะที่นางกำลังจะพูด ฮองเฮาก็จับมือนางแล้วส่ายหน้า เย่เซวียนเล่อก็สงบปากสงบคำในทันที ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองพวกเขาทั้งสองอย่างไม่ใส่ใจ นั่งยอง ๆ และมองตรงไปนางกำนัลอาวุโสหลิวด้วยดวงตาวาววับ “นางกำนัลอาวุโสหลิว เจ้าคิดว่าไม่อยากถูกฆ่าทิ้งไปอย่างงง ๆ เช่นนี้ล่ะสิ ตราบใดที่เจ้ายอมบอกชื่อคนที่อยู่เบื้องหลัง เสด็จพ่อจะให้โอกาสเจ้ากลับตัวกลับใจและลดโทษให้อย่างแน่นอน” “เสด็จพ่อ” เมื่อเห็นหน้าด้านข
‘ปิ่นปักผมทองคำ?’นางโน้มตัวลงก่อนจะหยิบปิ่นปักผมทองคำขึ้นมาจากหญ้า ความสุขฉายวาบขึ้นในดวงตาของนาง‘ในเขตพระราชวังแห่งนี้ ผู้ที่มีปิ่นปักผมรูปนกหงษ์เพลิงคือฮองเฮาเพียงผู้เดียวเท่านั้น มาดูกันว่าวันนี้ท่านยังจะโต้แย้งอย่างไร?!’นางถือปิ่นปักผมทองคำไว้ในมือและเดินไปข้างหน้าองค์จักรพรรดิก่อนจะยื่นให้พระองค์“เสด็จพ่อ หม่อมฉันเก็บสิ่งนี้ได้ไม่ไกลจากที่นี่เพคะ”องค์จักรพรรดิหยิบปิ่นปักรูปนกหงษ์เพลิงขึ้นดู เขาค่อย ๆ กระชับฝ่ามือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “นี่เป็นของฮองเฮาใช่หรือไม่?”ฮองเฮาตื่นตระหนกมากและมองที่ปิ่นปักผมในมือขององค์จักรพรรดิองค์จักรพรรดิถือปิ่นปักผมรูปนกหงษ์เพลิงเดินเข้าไปใกล้ฮองเฮา ดวงตาแหลมคมดุจเหยี่ยวของเขาฉายความเย็นชา “ฮองเฮาจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือ?”ฮองเฮาตัวสั่นและก้มศีรษะลงต่ำ นางหาเหตุผลมาโต้ตอบกลับไปไม่ได้เป็นเวลานานเย่เซวียนเล่อที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ นางมองไปที่องค์จักรพรรดิอย่างทำอะไรไม่ถูก“เสด็จพ่อ…” เห็นได้ชัดว่าเย่เซวียนเล่อต้องการช่วยมารดาของตนแก้ตัว แต่นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นจึงทำได้แค่ยืนร้อนรนฉู่เนี่ย
“องค์หญิงจะกลับแล้วหรือเพคะ?” เสียงของฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ดังมาก แต่มันก็ปกคลุมเสียงทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์เสียงของนางโดดเด่นในความเงียบงัน“ข้า... ข้าอยากกลับแล้ว” เย่เซวียนเล่อรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตอนนี้ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด“องค์หญิง ท่านต้องการให้จักรพรรดิให้ความยุติธรรมกับท่านไม่ใช่หรือ?”ฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เย่เซวียนเล่อ และจับมือของนางไว้ด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว“หากองค์หญิงไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดถึงไม่รอดูก่อนละเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีแอบบีบมือเตือนเย่เซวียนเล่อเย่เซวียนเล่อรู้สึกมือชาและเย็นเยียบราวกับเหล็ก“ข้า... แค่... ไม่อยากร่วมสนุกแล้ว เสด็จพ่อ ลูกขอตัวลากลับก่อนนะเพคะ” เย่เซวียนเล่อรีบพูดขึ้นอย่างรนรานก่อนจะรีบจากไป “องค์หญิงห้าเคยบอกว่าเสด็จพ่อยังไม่ได้ตัดสินใจลงโทษให้ท่านไม่ใช่หรือ? เหตุใดไม่อยู่สืบสวนให้ชัดเจนก่อนล่ะเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ นางเข้าไปขวางทางเย่เซวียนเล่อไว้ จู่ ๆ เย่เซวียนเล่อก็โกรธมากเมื่อเห็นใบหน้าที่อัปลักษณ์และไม่แยแสของฉู่เนี่ยนซี!“ข้าอยากกลับก็จะกลับ ใครอนุญาตให้เจ้ามาชี้นิ้วสั่งข้า? เจ้าเป็นแค่ชายา
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย