“องค์หญิงจะกลับแล้วหรือเพคะ?” เสียงของฉู่เนี่ยนซีไม่ได้ดังมาก แต่มันก็ปกคลุมเสียงทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์เสียงของนางโดดเด่นในความเงียบงัน“ข้า... ข้าอยากกลับแล้ว” เย่เซวียนเล่อรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตอนนี้ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด“องค์หญิง ท่านต้องการให้จักรพรรดิให้ความยุติธรรมกับท่านไม่ใช่หรือ?”ฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เย่เซวียนเล่อ และจับมือของนางไว้ด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว“หากองค์หญิงไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดถึงไม่รอดูก่อนละเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีแอบบีบมือเตือนเย่เซวียนเล่อเย่เซวียนเล่อรู้สึกมือชาและเย็นเยียบราวกับเหล็ก“ข้า... แค่... ไม่อยากร่วมสนุกแล้ว เสด็จพ่อ ลูกขอตัวลากลับก่อนนะเพคะ” เย่เซวียนเล่อรีบพูดขึ้นอย่างรนรานก่อนจะรีบจากไป “องค์หญิงห้าเคยบอกว่าเสด็จพ่อยังไม่ได้ตัดสินใจลงโทษให้ท่านไม่ใช่หรือ? เหตุใดไม่อยู่สืบสวนให้ชัดเจนก่อนล่ะเพคะ?” ฉู่เนี่ยนซีไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ นางเข้าไปขวางทางเย่เซวียนเล่อไว้ จู่ ๆ เย่เซวียนเล่อก็โกรธมากเมื่อเห็นใบหน้าที่อัปลักษณ์และไม่แยแสของฉู่เนี่ยนซี!“ข้าอยากกลับก็จะกลับ ใครอนุญาตให้เจ้ามาชี้นิ้วสั่งข้า? เจ้าเป็นแค่ชายา
ฮองเฮากลัวว่าฉู่เนี่ยนซีจะยังคงไม่ยอมความ และกลัวว่าองค์จักรพรรดิจะโกรธเย่เซวียนเล่อ ดังนั้นนางจึงรีบอธิบาย "เซวียนเล่อยังเด็ก บางทีก็พูดอะไรไปโดยไม่ทันได้คิด ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้งกับชายาหลี มันเป็นเพียงการโต้เถียงระหว่างเด็ก ๆ เท่านั้นเพคะ แถมเด็กคนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว หวังว่าองค์จักรพรรดิจะเมตตาสงสารนางด้วยเพคะ!”"ข้าย่อมสงสารลูกสาวของข้าอยู่แล้ว แต่ในฐานะองค์หญิง นางมีความเย่อหยิ่งและเผด็จการ วันนี้ข้าจะให้ทหารพาเจ้าไปเขียนคำสำนึกผิดที่วัดชิงหลิง เพื่อทำให้จิตใจของเจ้าสงบลง! เจ้าจะกลับวังได้หลังจากคัดจบหนึ่งพันจบแล้วเท่านั้น และหลังจากกลับมาที่วัง เจ้าก็ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับแม่นม หากไม่ได้รับอนุญาติจากข้าก็ห้ามก้าวออกจากวังแม้แต่ก้าวเดียว!”“เสด็จพ่อ...ลูกไม่อยาก...”“ฝ่าบาทได้โปรดเห็นแก่ตระกูลของหม่อมฉันที่หลานชายของหม่อมฉันได้นำความรุ่งโรจน์มาสู่ประเทศด้วย ได้โปรดละเว้นโทษให้เล่อเอ๋อร์ด้วยเถิดเพคะ!”ฮองเฮารีบกล่าวขึ้น นางยอมแบกรับความผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวดีกว่าปล่อยให้เย่เซวียนเล่อได้รับอันตราย“ข้าให้เกียรติเจ้ามามากพอแล้ว อย่าให้มันมากเกินไป!” องค์จักรพรรดิพูดด
“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นความผิดของข้าเอง ในอนาคตมันจะไม่เกิดขึ้นอีก!”เย่เฟยหลีสังเกตเห็นว่าคนข้าง ๆ ร่างกายแข็งทื่อ จึงเปิดปากให้สัญญากับนางฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมองเย่เฟยหลีเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่แยแสพูดตามตรง นางไม่ได้โกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เฟยหลีอยู่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่เย็นชาและดำมืดของเย่เฟยหลี ฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกราวกับว่าถูกปีศาจครอบงำ และเกือบจะตกลงไปในกระแสน้ำวน โดยไม่สามารถหลุดออกมาได้ฉู่เนี่ยนซีมองไปทางอื่นและกระแอมไอเบา ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า"ข้าหวังว่าในอนาคตระหว่างพวกเราจะมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง"ขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีก็เงียบไปครู่หนึ่ง และมองตรงไปที่เย่เฟยหลีก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ "ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะระมัดระวังตำแหน่งชายาหลีของตัวเองอยู่เสมอ และเหตุการณ์กลับบ้านกลางดึกแบบเมื่อคืนจะไม่เกิดขึ้นอีก ในช่วงหนึ่งปีนี้ ข้าจะเป็นชายาหลีให้ดีที่สุด และจะไม่ทำให้ท่านต้องเสียหน้า!”น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแปลกแยก ทำให้เย่เฟยหลีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ปกปิดมันไว้อย่างรว
ร่างหนึ่งสวมเสื้อผ้าสีดำ แขนเสื้อลายเมฆพลิ้วไหวสง่างามท่ามกลางสายลมหันหลังให้ฉู่เนี่ยนซีเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหลัง นางจึงหันกลับมาอย่างช้า ๆ และเห็นดวงตาที่เย็นชาส่องแสงพร่างพราวน่าเกรงขามภายใต้แสงจันทร์ที่พร่ามัว แม้ดูสงบนิ่งแต่กลับซ่อนความคมคายเอาไว้เมื่อบวกกับใบหน้าที่ดูราวกับรูปปั้น ก็ยิ่งดูเร้าใจเป็นพิเศษ“เย่เฟยหลี?” ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยขณะเดียวกันก็สงสัยว่าผู้ชายคนนี้มาทำอะไรที่นี่ หรือว่าเขาไม่เชื่อสิ่งที่นางพูดจึงมาดูด้วยตาตัวเองอย่างนั้นหรือ?เย่เฟยหลีเห็นสีหน้าประหลาดของฉู่เนี่ยนซี และอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นด้วยความสุขเขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว สีหน้ากลับมาสงบตามเดิมและพูดขึ้นนิ่ง ๆ ว่า "ไปกันเถอะ"ฉู่เนี่ยนซีตอบรับโดยไม่ลังเลและเดินไปที่ด้านข้างของเย่เฟยหลีฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองข้างหลังเขาอย่างสงบ และสังเกตเห็นว่าองครักษ์กำลังมองมาที่พวกเขา ทันใดนั้นนางก็เข้าใจว่าเหตุใดเย่เฟยหลีถึงมารอนางอยู่ที่นี่‘เขาต้องการให้คนอื่นรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายหลีกับชายาหลีนั้นไม่ได้ขัดแย้งกันดังข่าวลือสินะ’‘เขาต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดของทุกคน!’
เมื่อถูกฉู่เนี่ยนซีจ้องมอง เย่เฟยหลีก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่น้อย เขามองลงไป และขนมดอกเหมยที่ติดอยู่ที่มุมปากของฉู่เนี่ยนซีก็ดึงดูดความสนใจของเขา“ท่านมองข้าทำไม? มีอะไรติดอยู่ที่หน้าข้าอย่างนั้นหรือ?”ขณะที่พูด ฉู่เนี่ยนซีก็สัมผัสใบหน้าตัวเอง แต่ก็ไม่เห็นอะไรเย่เฟยหลีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของฉู่เนี่ยนซี รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นจากดวงตาที่เย็นชาของเขาซึ่งน่าหลงใหลมากจนผู้คนไม่สามารถละสายตาไปได้"ท่าน ท่านจะทำอะไร?"ไม่รู้ว่าเหตุใดเย่เฟยหลีค่อย ๆ เดินเข้ามาหานาง ทำให้ฉู่เนี่ยนซีพูดติดอ่างระยะห่างเริ่มใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ และอีกนิดเดียวก็เกือบจะจูบริมฝีปากนางอยู่แล้ว‘ผู้ชายคนนี้จะทำเรื่องอย่างเมื่อวันก่อนอีกอย่างนั้นหรือ?’‘หากเป็นเช่นนั้น…’เข็มเงินสองสามเล่มก็ผุดขึ้นมาอยู่ในมือของนางฉู่เนี่ยนซีจ้องไปที่เย่เฟยหลีอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น หัวใจของนางก็เต้นเร็วขึ้นลมหายใจร้อนประสานกัน และบรรยากาศก็เริ่มคลุมเครือทันใดนั้น เสียงของเย่ฉงเฉิงก็ดังเข้ามา“พี่สาม! พี่สาม! ท่านอยู่หรือไม่?”เย่เฟยหลีทำราวกับไม่ได้ยินเสียงของเ
แต่...คนโง่เขลาผู้นี้มักจะหยิ่งยโสและไม่สนใจใคร ดังนั้นนางจึงไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือคนอย่างเขา“ท่านอยากรู้คุณสมบัติของสมุนไพรนี้ไปทำไมกันเพคะ?”แม้ว่าเขาไม่อยากบอกเหตุผล แต่เพื่อที่จะได้เข้าไปในหอการแพทย์โดยเร็วที่สุด เย่ฉงเฉิงจึงลังเลที่จะบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนกลับไปเมื่อวันก่อนเย่ฉงเฉิงซึ่งมีอารมณ์แจ่มใสพอ ๆ กับสภาพอากาศของวันนั้นมาถึงหอการแพทย์ตั้งแต่เช้าตามปกติจะมีการต่อคิวที่ทางเข้าหอการแพทย์ตั้งแต่เช้าตรู่เย่ฉงเฉิงเดินไปที่หน้าคิวด้วยจิตใจเบิกบาน เขาเดินไปข้าง ๆ องครักษ์ที่ยืนต่อแถวคนแรก ก่อนจะโบกมือให้องครักษ์คนนั้นแล้วเดินเข้าไปแทนที่อย่างช้า ๆเย่ฉงเฉิงมองไปรอบ ๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปแผ่นหลังของร่าง ๆ หนึ่ง ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข และรีบวิ่งเข้าไป“ท่านผู้ดูแล ข้าอยากพบท่านหมอมหัศจรรย์ซานเซิง! ข้าอยากเป็นลูกศิษย์ของเขา! ท่านให้ข้าได้พบกับหมอมหัศจรรย์ซานเซิงด้วยเถิด!”ชายคนนั้นได้ยินเสียงใครบางคนจึงหันหลังกลับมาช้า ๆอวี๋ตงเหลือบมองเย่ฉงเฉิง และมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเรียบเฉยปกติท่านอ๋องเฉิงไม่เคารพนายหญิงเลยแม้แต่น้อย แถมยังพ
แพทย์หลวงรู้สึกเสียใจมาก ถึงพวกเขาจะพลิกหาในหนังสือ ก็คงไม่พบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับยาสมุนไพรนี้“หรือว่า...ท่านอ๋องเฉิงจะลองไปถามชายาหลีดูดีไหมพะย่ะค่ะ!” จู่ ๆ แพทย์หลวงคนหนึ่งก็มีความคิดแวบเข้ามาก่อนจะเสนอกับเขา"ใช่แล้ว! ทักษะทางการแพทย์ของพระชายาหลีนั้นยอดเยี่ยมกว่าพวกเราที่นี่เสียอีก นางน่าทึ่งมากนะพะย่ะค่ะ!"“ใช่ ข้าน้อยเห็นด้วย! ความสามารถทางการแพทย์ของชายาหลีอาจสามารถตอบคำถามหนึ่งหรือสองข้อได้ หากท่านอ๋องเฉิงทรงถามกับชายาหลี นางย่อมสามารถไขข้อสงสัยนี้ได้อย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ!”…… มีคนเปิดประเด็น คนอื่น ๆ จึงเริ่มเห็นด้วยทีละคน ทุกคนต่างชื่นชมชายาหลีว่านางเก่งกาจเพียงใด แม้ว่าเย่ฉงเฉิงจะไม่เห็นด้วยโดยสิ้นเชิง แถมยังดูหมิ่นฉู่เนี่ยนซีอยู่ในใจ แต่เพื่อที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของหมอมหัศจรรย์ซานเซิง เขาก็ทำได้เพียงมาหานางอย่างไม่เต็มใจเย่ฉงเฉิงอธิบายเหตุผลกับนาง และเมื่อเห็นว่าฉู่เนี่ยนซียังคงดูไม่แยแส เขาก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล "ดังนั้น รีบบอกข้ามาเร็ว ๆ!"ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นมาและมองตรงไปที่เย่ฉงเฉิงซึ่งกำลังหงุดหงิดเขาไม่มีท่าทางเหมือนคนมาขอความช่วยเหลือเลยสักนิด แต่ในสายต
เมื่อก่อนนางเข้าใจผิดคิดว่าคนที่ตามนางคือเย่เฟยหลีเสียอีกความรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นในใจของฉู่เนี่ยนซี และนางก็พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีเงียบไป เย่ฉงเฉิงก็รู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก“พูดไม่ออกแล้วล่ะสิ! เจ้า...”ขณะที่เย่ฉงเฉิงกำลังจะเยาะเย้ยนางต่อ จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาและไม่อดทน ดวงตาของนางน่ากลัว สิ่งนี้ทำให้เย่ฉงเฉิงพูดไม่ออกเมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นว่าเขาหยุดพูดแล้ว นางก็มองออกไปข้างนอก ดวงอาทิตย์อขึ้นสูงแล้ว นางไม่อยากต้องค้นหาพิษกู่ล่าช้า จึงค่อย ๆ กล่าวขึ้นว่า“อย่าให้หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ส่งคนมาตามหม่อมฉันอีก!”เย่ฉงเฉิงกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดที่เขากลัวสตรีที่อัปลักษณ์และโหดร้ายผู้นี้!‘นางจะทรงพลังเท่าพี่สามได้อย่างไร?’‘ภาพลวงตา! มันต้องเป็นภาพลวงตาอย่างแน่นอน!’เย่ฉงเฉิงส่ายหน้า ปัดเป่าความวุ่นวายในใจ และจ้องมองนาง "เจ้าควรยับยั้งใจตัวเองจะดีกว่า!"ทันใดนั้นดวงตาของฉู่เนี่ยนซีก็มืดลงหลายเท่า มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ซึ่งทำให้เย่ฉงเฉิงรู้สึกหนาวไปถึงกร
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย