เมื่อก่อนนางเข้าใจผิดคิดว่าคนที่ตามนางคือเย่เฟยหลีเสียอีกความรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นในใจของฉู่เนี่ยนซี และนางก็พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีเงียบไป เย่ฉงเฉิงก็รู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก“พูดไม่ออกแล้วล่ะสิ! เจ้า...”ขณะที่เย่ฉงเฉิงกำลังจะเยาะเย้ยนางต่อ จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาและไม่อดทน ดวงตาของนางน่ากลัว สิ่งนี้ทำให้เย่ฉงเฉิงพูดไม่ออกเมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นว่าเขาหยุดพูดแล้ว นางก็มองออกไปข้างนอก ดวงอาทิตย์อขึ้นสูงแล้ว นางไม่อยากต้องค้นหาพิษกู่ล่าช้า จึงค่อย ๆ กล่าวขึ้นว่า“อย่าให้หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ส่งคนมาตามหม่อมฉันอีก!”เย่ฉงเฉิงกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดที่เขากลัวสตรีที่อัปลักษณ์และโหดร้ายผู้นี้!‘นางจะทรงพลังเท่าพี่สามได้อย่างไร?’‘ภาพลวงตา! มันต้องเป็นภาพลวงตาอย่างแน่นอน!’เย่ฉงเฉิงส่ายหน้า ปัดเป่าความวุ่นวายในใจ และจ้องมองนาง "เจ้าควรยับยั้งใจตัวเองจะดีกว่า!"ทันใดนั้นดวงตาของฉู่เนี่ยนซีก็มืดลงหลายเท่า มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ซึ่งทำให้เย่ฉงเฉิงรู้สึกหนาวไปถึงกร
ฉู่เนี่ยนซีมองท่าทางที่สั่นเทาของเขาอย่างเหยียดหยามแล้วจึงเก็บเข็มเงินกลับคืนไป“หม่อมฉันขอตัวไปหอตำราก่อนนะเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีโบกมือไปทางเย่เฟยหลี โดยไม่สนใจเย่ฉงเฉิง"อืม"เย่เฟยหลีพยักหน้าอย่างอ่อนโยน เขายังคงรู้สึกมีความสุขกับคำว่าสามีที่นางเรียกคำว่าสามีของนางนั้นโดนใจเขามาก! ดูเหมือนว่าในอนาคตเขาจะต้องพยายามให้มากขึ้นเสียแล้วหลังจากที่นางจากไป เย่ฉงเฉิงก็กอดสมุนไพรไว้อย่างโศกเศร้า“พี่สาม! ดูนางสิ! เหตุใดท่านถึงไม่ช่วยข้าเลย?!”ความนุ่มนวลในดวงตาของเย่เฟยหลีหายไปกลายเป็นเย็นชาขึ้นหลายเท่า “ข้าจะพูดอีกครั้ง นางเป็นพี่สะใภ้ของเจ้า ในอนาคตหากพบนาง จงอย่าได้ล้ำเส้นอีก! อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อย่าให้ข้าต้องเตือน!”เดิมทีเสียงของเย่เฟยหลีนั้นทุ้มต่ำและเย็นชาอยู่แล้ว ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งกดเสียงให้ต่ำลงเรื่อย ๆ ทำให้อากาศเบาบางลงจนคนฟังหายใจลำบากเย่ฉงเฉิงก็หายใจไม่ออกและแววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาพยักหน้าอย่างสิ้นหวังเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจแล้ว เย่เฟยหลีมองเย่ฉงเฉิงอย่างไม่แยแสก่อนจะรีบจากไปขณะที่เขาจากไปแล้ว เย่คงเฉิงก็เหมือนกับปลาบนเขียงที่ในที่สุดก็ได้กลับลงน้
“ไทเฮาทรงให้ข้ารอ แต่ไม่ได้บอกให้ยืนรอนี่ คนที่เมตตาเช่นพระองค์ หากทรงรู้ว่าพวกเจ้าละเลยข้า พระองค์คงต้องตำหนิพวกเจ้าแน่” ฉู่เนี่ยนซีทำราวกับว่าตัวเองกำลังเอ่ยคำพูดรื่นหูให้พวกนางฟัง แม้จะไม่อยากฟังแต่ก็ทำไม่ได้ อย่างไรเสีย นางผู้นี้ไม่ใช่บุคคลที่จะล้อเล่นด้วยได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือก นางกำนัลอาวุโสจึงทำได้เพียงตะโกนเรียกองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างให้นำเก้าอี้เข้ามา เมื่อเห็นนางนั่งลงสบาย ๆ อย่างสง่างาม คิดว่านางคงจะลงไปได้แล้ว แต่จู่ ๆ ฉู่เนี่ยนซีก็หยิบป้ายคำสั่งที่องค์จักรพรรดิมอบให้ออกมา จากนั้นก็ชี้ไปที่องครักษ์แล้วพูดเนิบ ๆ “ไปที่หอตำราหลวงแล้วนำตำรามาด้วย ข้าอยากอ่านตำรา!” องครักษ์ที่ได้รับคำสั่งมองนางกำนัลอาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซีอย่างระมัดระวัง พลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “อะไร? นี่ข้าจะสั่งให้เจ้าทำอะไรก็ต้องขออนุญาตนางกำนัลอาวุโสก่อนเช่นนั้นหรือ?” ทันใดนั้นนางก็ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ อีกทั้งยังทำสีหน้าเคร่งขรึมเยือกเย็น “กระหม่อมมิกล้า! กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากชาหมดถ้วย องค์รักษ์ก็ถือกองตำรามาและวางลงเบา ๆ เมื่อฉู่เนี่ยนซีเห็นดังนั้นก็ยิ้มมุมปาก
ฉู่เนี่ยนซีมองไปยังนางกำนัลอาวุโสที่เดินจากไป พลางยิ้มมุมปากขึ้นอย่างช้า ๆ ‘หึ! แค่สองชั่วยามก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ? อีกทั้งยังจะหาทางใช้อำนาจมาข่มนางอีก? น่าขันนัก!’ หลังจากนั้นไม่นาน นางกำนัลอาวุโสก็เดินออกมาอีกครั้งและโค้งตัวให้ฉู่เนี่ยนซี “ไทเฮาทรงตื่นแล้ว พระชายาหลีโปรดเข้าไปตอบคำถามพระองค์ด้วยเพคะ!”“พระองค์ตื่นแล้วหรือ? เช่นนั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ!” ฉู่เนี่ยนซีปกปิดแววตาของตัวเอง แต่สีหน้าของนางยังคงเหมือนเดิม จากนั้นก็วางตำราลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ยืนขึ้นยืดตัวพลางมองขันทีและนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูดเบา ๆ ว่า “พวกเจ้าอย่าลืมเอาตำราทั้งหมดกลับเข้าไปคืนที่หอตำราด้วย” พูดจบ ฉู่เนี่ยนซีก็เดินตามนางกำนัลอาวุโสเข้าไปในห้อง โดยทิ้งกลุ่มคนรับใช้ไว้พลางสูดลมหายใจลึก ทันทีที่ฉู่เนี่ยนเข้ามา ก็เห็นไทเฮาประทับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไท่ชือกำลังดื่มชา โดยมีซุนจื่อซีอยู่ข้าง ๆ พลางพูดคุยหัวเราะสนุกสนาน ‘หึ! คนที่เพิ่งตื่นนอนเขาอยู่ในสภาพนี้กันหรือ? นี่ไม่แม้แต่จะแสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งตื่นด้วยซ้ำรึ?’ “ถวายบังคมไทเฮาเพคะ!” ฉู่เนี่ยนซีโค้งคำนับแล้วลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม ไทเฮาหยุดหัวเราะ ใบหน้า
“น่าเสียดายที่คนมีความสามารถโดดเด่นเช่นนั้นคงมีน้อยมาก ข้ารู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น” ฉู่เนี่ยนซียิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร คาดเดาบางอย่างในใจอย่างคลุมเครือ ไทเฮาทรงเรียกนางมาที่นี่เป็นพิเศษ หลังจากใช้อำนาจกดขี่นางแล้ว ก็ตรัสเรื่องของซุนจื่อซีต่อ คนที่นางรักและเอ็นดูจะแต่งงาน แต่กลับมาถามความเห็นกับคนที่เกลียด คงมีจุดประสงค์อะไรอยู่แน่... “ข้าคิดว่าหากเป็นหลีเอ๋อร็คงไม่เลว” ขณะที่พูด ดวงตาของไทเฮาก็คมกริบราวกับมีดที่พุ่งตรงไปยังฉู่เนี่ยนซี ท่าทีของฉู่เนี่ยนซียังคงเหมือนเดิมพลางเยาะเย้ยในใจ ‘นั่นไงเล่า!’ ไม่แปลกใจที่ไทเฮาทรงไม่ชอบนางแต่แรก อีกทั้งรังเกียจนางด้วยซ้ำ ที่แท้ก็เพราะเย่เฟยหลีเป็นคนที่ไทเฮาทรงได้เลือกไว้เป็นสามีของซุนจื่อซีผู้เป็นที่รักของนางมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งองค์จักรพรรดิทรงสัญญาว่าจะให้นางเป็นชายาเอกของเย่เฟยหลี ในหัวใจของไทเฮา ฉู่เนี่ยนซีจึงกลายเป็นก้างขวางคอไปโดยปริยาย! ฉู่เนี่ยนซียังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าพลางพยักหน้า “ท่านอ๋องก็เป็นคนเช่นนั้นจริง ๆ เพคะ” “ในเมื่อเจ้าเห็นด้วย ก็ให้ซีเอ๋อร์แต่งงานกับหลีเอ๋อร์เถิด ภายภาคหน้า เราจะต้องรักใคร่กลมเกลียวกันไว
หลังจากได้ยินคำพูดของไทเฮา จู่ ๆ ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา พลางมองไทเฮาอย่างไม่เกรงกลัว จากนั้นเสียงเย็นชาก็ออกมาจากปากของนาง “หากพระองค์ทรงไม่พอพระทัยอะไรหม่อมฉัน ก็ทรงแจ้งกับองค์จักรพรรดิให้ปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งพระชายาเถอะเพคะ อีกอย่าง พระองค์ก็ทรงเรียกท่านอ๋องให้มาหย่ากับหม่อมฉันก็ได้! หรือไม่เช่นนั้น ก็ทรงให้องค์จักรพรรดิกับบิดามารดาของหม่อมฉันลงความเห็นร่วมกันว่าเราสองคนควรจะหย่ากันก็ได้หมดเลยเพคะ! ตอนนี้คนที่ไทเฮาควรจะเสด็จไปพบไม่ใช่หม่อมฉัน แต่เป็นองค์จักรพรรดิกับเย่เฟยหลีสิเพคะ!” “บังอาจ!” ไทเฮามองฉู่เนี่ยนซีใกล้ ๆ ร่างกายของนางสั่นสะท้านด้วยความโกรธ พลางกุมหน้าอกตัวเองในทันทีและระบายความโกรธออกมาเฮือกใหญ่ “เสด็จย่า โปรดทรงสงบสติอารมณ์และอย่าปล่อยให้ความโกรธมาทำร้ายร่างกายของพระองค์นะเพคะ ซีเอ๋อร์ไม่ต้องการแต่งงานกับใครเลย! ซีเอ๋อร์แค่อยากอยู่ข้าง ๆ เสด็จย่าเพคะ!” ซุนจื่อซีลูบหลังของไทเฮา พลางทำให้นางสงบลงด้วยสีหน้ากังวล “เสด็จย่า พระชายาหลีคงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เสด็จย่าขุ่นเคือง นางรักท่านอ๋องหลีมาก จึงพูดไม่ดีอยู่สักหน่อย ทรงอย่ากริ้วเลยเพคะ ทั้งหมดเ
ด้วยความช่วยเหลือจากแสงเทียน ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกหวาดกลัว ‘งูพิษหรือ? ทั้งยังไม่ได้มีเพียงชนิดเดียวด้วย ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าถึงแม้งูพวกนี้จะมีพิษร้ายแรงแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะปรากฏตัวในที่ที่มีคนพร้อม ๆ กัน และโจมตีคนตามใจชอบ เหตุใดจู่ ๆ พวกมันถึงมาปรากฏตัวที่นี่?’ เมื่อฉู๋เนี่ยนซีมองไปยังพวกมัน ดวงตาสีแดงสดของงูพวกนั้นก็จ้องมาที่ฉู่เนี่ยนซีราวกับกำลังรอโอกาส เมื่อใดก็ตามที่นางขยับ มันจะอ้าปากสีแดงสดและพุ่งเข้าโจมตีทันที แม้ฉู่เนี่ยนซีจะได้รับพลังจากห้วงว่างเปล่าและร่างกายของนางก็คงกระพันต่อพิษทั้งหมดอยู่แล้ว แต่การถูกงูจำนวนมากกัดนั้นก็ทำให้เกิดเจ็บปวดมากเสียจนอาจทำให้นางแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดเช่นนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็ระมัดระวังมากขึ้น เวลาที่สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน มักจะมีฝ่ายหนึ่งที่ไม่สามารถอยู่เฉยได้ นางพบว่างูเห่าตัวหนึ่งลักษณะหัวรูปไข่ มีลายแถบตาสีขาวที่หลังคอ และลำตัวสีน้ำตาลเข้มชูคอขึ้นมาทันที ลายแถบตาบนหลังของมันชัดเจนมาก ปากของมันอ้ากว้าง พลางแลบลิ้นสีแดงสดออกมา และส่งเสียง ‘ฟ่อ’ ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้น งูเห่าตัวนั้นก็เลื้อยมาทางฉู่เ
เมื่อเย่เฟยหลีเห็นงูพิษเลื้อยวนอยู่ทั่วพื้น เขาก็รู้สึกเครียดขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล เพราะกลัวว่าฉู่เนี่ยนซีจะได้รับบาดเจ็บ เห็นนางยืนอยู่อีกฝั่งด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง เม็ดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก “เกิดอะไรขึ้น?” ริมฝีปากบางของเย่เฟยหลีเอ่ยถามอย่างเย็นชา “ตอนที่ข้ากำลังจะออกไปพบว่าประตูถูกล็อค แล้วก็เห็นงูพิษพวกนี้เลื้อยเข้ามา ท่านระวังตัวด้วย!” ฉู่เนี่ยนซีอธิบายง่าย ๆ โดยไม่ลืมเตือนเขา งูพิษไม่สนใจความคิดของคนสองคน เนื่องจากเสียงดังที่เย่เฟยหลีทำ งูพิษจึงตกใจ และแต่ละตัวก็เข้าโจมตีทั้งสอง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เย่เฟยหลีรู้สึกอ่อนแอด้วยเหตุผลบางอย่างและเป็นการยากมากที่จะยกมือขึ้น เขาต้องอาศัยความพยายามอย่างมากในการถ่างตาเอาไว้ พวกเขาสองคนไม่รู้ว่าอากาศโดยรอบถูกโรยด้วยพิษสลายเส้นเอ็น ซึ่งไม่มีสีและไม่มีกลิ่น ฉู่เนี่ยนซีที่มีภูมิต้านทานต่อพิษทั้งหมดจึงไม่รู้สึก แต่คนอื่น ๆ นั้นกลับทนไม่ได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติกับคนที่อยู่ข้างกาย ฉู่เนี่ยนซีจึงจับข้อมือของเย่เฟยหลีเพื่อตรวจชีพจรขณะจัดการกับงูพิษ หลังจากบดขยี้งูพิษจนตาย กลุ่มงูพิษก็ค่อย ๆ สงบลง แต่ล