ด้วยความช่วยเหลือจากแสงเทียน ทันใดนั้นฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกหวาดกลัว ‘งูพิษหรือ? ทั้งยังไม่ได้มีเพียงชนิดเดียวด้วย ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าถึงแม้งูพวกนี้จะมีพิษร้ายแรงแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะปรากฏตัวในที่ที่มีคนพร้อม ๆ กัน และโจมตีคนตามใจชอบ เหตุใดจู่ ๆ พวกมันถึงมาปรากฏตัวที่นี่?’ เมื่อฉู๋เนี่ยนซีมองไปยังพวกมัน ดวงตาสีแดงสดของงูพวกนั้นก็จ้องมาที่ฉู่เนี่ยนซีราวกับกำลังรอโอกาส เมื่อใดก็ตามที่นางขยับ มันจะอ้าปากสีแดงสดและพุ่งเข้าโจมตีทันที แม้ฉู่เนี่ยนซีจะได้รับพลังจากห้วงว่างเปล่าและร่างกายของนางก็คงกระพันต่อพิษทั้งหมดอยู่แล้ว แต่การถูกงูจำนวนมากกัดนั้นก็ทำให้เกิดเจ็บปวดมากเสียจนอาจทำให้นางแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดเช่นนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็ระมัดระวังมากขึ้น เวลาที่สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน มักจะมีฝ่ายหนึ่งที่ไม่สามารถอยู่เฉยได้ นางพบว่างูเห่าตัวหนึ่งลักษณะหัวรูปไข่ มีลายแถบตาสีขาวที่หลังคอ และลำตัวสีน้ำตาลเข้มชูคอขึ้นมาทันที ลายแถบตาบนหลังของมันชัดเจนมาก ปากของมันอ้ากว้าง พลางแลบลิ้นสีแดงสดออกมา และส่งเสียง ‘ฟ่อ’ ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้น งูเห่าตัวนั้นก็เลื้อยมาทางฉู่เ
เมื่อเย่เฟยหลีเห็นงูพิษเลื้อยวนอยู่ทั่วพื้น เขาก็รู้สึกเครียดขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล เพราะกลัวว่าฉู่เนี่ยนซีจะได้รับบาดเจ็บ เห็นนางยืนอยู่อีกฝั่งด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง เม็ดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก “เกิดอะไรขึ้น?” ริมฝีปากบางของเย่เฟยหลีเอ่ยถามอย่างเย็นชา “ตอนที่ข้ากำลังจะออกไปพบว่าประตูถูกล็อค แล้วก็เห็นงูพิษพวกนี้เลื้อยเข้ามา ท่านระวังตัวด้วย!” ฉู่เนี่ยนซีอธิบายง่าย ๆ โดยไม่ลืมเตือนเขา งูพิษไม่สนใจความคิดของคนสองคน เนื่องจากเสียงดังที่เย่เฟยหลีทำ งูพิษจึงตกใจ และแต่ละตัวก็เข้าโจมตีทั้งสอง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เย่เฟยหลีรู้สึกอ่อนแอด้วยเหตุผลบางอย่างและเป็นการยากมากที่จะยกมือขึ้น เขาต้องอาศัยความพยายามอย่างมากในการถ่างตาเอาไว้ พวกเขาสองคนไม่รู้ว่าอากาศโดยรอบถูกโรยด้วยพิษสลายเส้นเอ็น ซึ่งไม่มีสีและไม่มีกลิ่น ฉู่เนี่ยนซีที่มีภูมิต้านทานต่อพิษทั้งหมดจึงไม่รู้สึก แต่คนอื่น ๆ นั้นกลับทนไม่ได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติกับคนที่อยู่ข้างกาย ฉู่เนี่ยนซีจึงจับข้อมือของเย่เฟยหลีเพื่อตรวจชีพจรขณะจัดการกับงูพิษ หลังจากบดขยี้งูพิษจนตาย กลุ่มงูพิษก็ค่อย ๆ สงบลง แต่ล
เมื่อมองไปยังเย่เฟยหลีที่นิ่งเฉยด้วยความสับสนเล็กน้อย ฉู่เนี่ยนซีก็บ่นในใจ เกิดอะไรขึ้นกับชายคนนี้? หรือเขาจะถูกงูพิษกัดตอนที่นางออกไปข้างนอก? เมื่อเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียวของเย่เฟยหลีและมีเหงื่อบาง ๆ อยุ่บนหน้าผากของเขา ฉู่เนี่ยนซีก็ยืนยันความคิดของตัวเองทันทีและรีบตรวจสอบว่าเขามีอาการบาดเจ็บบนร่างกายบ้างหรือไม่ เมื่อคว้ามือที่กำลังทำรุ่มร่ามของฉู่เนี่ยนซี เย่เฟยหลีก็จ้องมองนางอย่างใกล้ชิด “เจ้าจะทำอะไร?” น้ำเสียงเย็นชาของมีความเคอะเขินแฝงอยู่ในที “ข้าคิดว่าท่านถูกงูพิษกัด ข้ากังวลก็เลย... นี่ อย่าเข้าใจผิดนะ!” เมื่อปล่อยมือนาง เย่เฟยหลีก็เม้มปากบาง ความเยือกเย็นในดวงตาของเขาจางลงเล็กน้อย และรังสีแห่งความนุ่มนวลก็เอ่อล้นออกมา “ข้าไม่ได้ถูกกัด” แสงจันทร์ช่างน่ารื่นรมย์ และสายลมก็พัดผ่านผมปลิวไสว ภายใต้แสงจันทร์สลัว ทั้งสองมองหน้ากัน หัวใจของพวกเขาปะทะกันท่ามกลางความว่างเปล่า และบรรยากาศก็เริ่มคลุมเครือขึ้นมา ด้วยความรู้สึกของเขาที่มี เย่เฟยหลีจึงก้าวไปข้างหน้าและค่อย ๆ ก้มศีรษะลงราวกับต้องมนตร์ ในทางกลับกัน ฉู่เนี่ยนซีที่ยืนอยู่อย่างงงงวย ก็จ้องมองเย่เฟยหลีด้วย
ฉู่เนี่ยนซีเดินอย่างรวดเร็วไปที่เรือน อวี๋ตงและคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่รอบ ๆ เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวพวกเขาก็ติดตามเสียงนั้นไปผมของฉู่เนี่ยนซียุ่งเหยิงเล็กน้อยและใบหน้าของนางก็แดงก่ำเนื่องจากการก้าวที่เร่งรีบ ทุกคนดูสับสนเมื่อได้เห็นดังนั้นเสี่ยวเถาเดินออกไปอย่างสบาย ๆ พร้อมจานขนม เมื่อนางเห็นฉู่เนี่ยนซีที่ยืนหอบนางก็ก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อพยุงนางไว้“พระชายามาทางนี้เพคะ” เสี่ยวเถารีบรินน้ำให้ฉู่เนี่ยนซีพลางมองนางด้วยความกังวล“นายหญิง เกิดอะไรขึ้น?” ดวงตาของอวี๋ตงจริงจังและหรี่ตาลงอย่างระแวดระวังฉู่เนี่ยนซีดื่มชาหมดถ้วยในอึกเดียว หลังจากถอนหายใจออกมาสองสามทีก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาของนางซับซ้อนและแสดงความน่ากลัวออกมา“อวี๋ตง พรุ่งนี้เจ้าไปตรวจสอบปริมาณการขายผงสลายเส้นเอ็นและจัดทำรายชื่อคนซื้อมาให้ข้า”อวี๋ตงพยักหน้าโดยไม่ถามเหตุผล “พ่ะย่ะค่ะนายหญิง”ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พระจันทร์เต็มดวงซ่อนตัวอยู่ในเมฆหนาทึบจนมองไม่เห็นอีกครั้ง ทำให้บรรยากาศมืดมนอย่างแปลกประหลาดวันรุ่งขึ้น เนื่องด้วยเหตุการณ์เรื่องงูที่เกิดขึ้น ฉู่เนี่ยนซีจึงตรงไปยังพระตำหนักหย่างซินเพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรร
“ฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันมาที่นี่เพราะมีเรื่องจะมากราบทูลเพคะ!” เนื่องจากนางอยู่ในตำหนักของไทเฮา ฉู่เนี่ยนซีจึงขี้คร้านเกินกว่าจะอยู่ต่อไปได้ ดังนั้นนางจึงเริ่มเปิดประเด็นและเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ในตอนแรกองค์จักรพรรดิดูไม่แยแส แต่สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ จริงจังขึ้น และนั่งตัวตรงไทเฮาที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ทำเหมือนว่าสิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีเล่าเป็เพียงเรื่องตลกที่ถูกแต่งขึ้น“ข้าก็ได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เหมือนกัน แต่ไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้” หลังจากฟังเรื่องราวของฉู่เนี่ยนซีแล้ว องค์จักรพรรดิก็พูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าหมายถึง…นี่เป็นฝีมือของคนเช่นนั้นหรือ? มีคนต้องการจะทำร้ายเจ้าหรือ?”“เพคะ!” ริมฝีปากสีแดงของฉู่เนี่ยนซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อวานมีคนนำกระถางดอกสายน้ำผึ้งมา ตอนนั้นซีเอ๋อร์ไม่ได้ใส่ใจ ดังนั้นจึงประสบปัญหาเช่นนี้เพคะ!”ได้ยินดังนั้น องค์จักรพรรดิและไทเฮาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ซุนจื่อซีที่อยู่ด้านข้างกลับสูดลมหายใจลึกและมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความกลัวประกอบกับมีความกังวลบนใบหน้าของนาง“เกิดเรื่องเช่นนี้ในหอตำราได้อย่
ฉู่เนี่ยนซีมองไทเฮาด้วยสายตาเย็นชา แม้ว่าสีหน้าของนางจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดใด แต่ดวงตาของนางก็เผยให้เห็นอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้โดยปกติแล้ว นางไม่สามารถพูดเรื่องการมีภูมิต้านทานต่อพิษทุกชนิดได้ ความคิดที่ไม่เป็นมิตรของไทเฮาในปัจจุบันที่มีต่อนาง บวกกับความจริงที่ว่านางคาดเดาซุนจื่อซีอยู่ข้าง ๆ ไม่ออก ปัจจัยที่ไม่แน่นอนเหล่านี้ หากเล่าเรื่องนี้ไปมีแต่จะสร้างปัญหาและนำอันตรายมาสู่ตัวเองคิ้วของฉู่เนี่ยนซีขมวดเล็กน้อย จากนั้นดูเหมือนนางจะนึกถึงอะไรออก นางได้สติกลับมา จากนั้นก็ค่อย ๆ หยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วชูขึ้นสูง“ยาเม็ดนี้เรียกว่ายาล้างพิษ สามารถแก้พิษได้หลายร้อยชนิด นอกจากนี้ยังสามารถแก้พิษจากผงสลายเส้นเอ็นได้ด้วยเพคะ”ฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ หรี่ตาลงขณะที่พูด พลางมองไปรอบ ๆ ยังนางกำนัลและขันทีอย่างใจเย็น เสียงของนางดังขึ้นและเยือกเย็น “ทันทีที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ หม่อมฉันก็กินยาดักไว้ แม้ว่าผงนั้นจะไม่มีสีและกลิ่นก็ตาม...การโจมตีที่กะทันหันนั้นมีกระบวนการ ตราบใดที่แก้ทันไขเวลาก็จะไม่ติดพิษเพคะ”ขณะที่ฉู่เนี่ยนซีพูด นางก็มองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่มีนางกำนัลหรือขันทีคนไหนแสดงสีหน้าผิดปก
ฉู่เนี่ยนซีมองไทเฮาด้วยดวงตาที่เย็นชาอย่างอธิบายไม่ถูก และพูดอีกครั้งว่า “ไทเฮาทรงถามหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าและโต้แย้งหม่อมฉันตลอด...ทรงไม่อยากตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือทรงแค่มีความเห็นต่อต้านหม่อมฉัน เพิกเฉยต่อกฎหมายและปล่อยให้คนอื่นทำตามที่พวกเขาต้องการ อีกทั้งยังทำให้ระเบียบในพระราชวังปั่นป่วนเล่าเพคะ?”ขณะที่พูด เสียงของฉู่เนี่ยนซีก็ต่ำลงเรื่อย ๆ แต่น้ำเสียงของนางไม่สั่นคลอนราวกับว่าอากาศรอบตัวกำลังเบาบางลง“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตั้งคำถามกับข้า?!” ไทเฮาขมวดคิ้วด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวฉู่เนี่ยนซีส่งเสียงหึ ดวงตาของนางสุกใสเสมือนหลุดเข้าไปในทางช้างเผือกขนาดมหึมา แม้ว่านางจะยิ้ม แต่กลับให้รู้สึกเย็นยะเยือก“ไทเฮาทรงตั้งคำถามกับหม่อมฉันได้ เหตุใดหม่อมฉันจะตั้งคำถามกับพระองค์บ้างไม่ได้ล่ะเพคะ?”“เจ้า...” ไทเฮาสะอึกและพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง“ดื้อด้านนัก! ไยเจ้ายังไม่ขอโทษเสด็จย่าของเจ้าอีก?!” องค์จักรพรรดิทรงดุฉู่เนี่ยนซีทันที แม้ว่าน้ำเสียงขอบเขาจะเต็มไปด้วยความเข้มงวดและไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ตำหนินางเลยท้ายที่สุด ในฐานะองค์จักรพรรดิผู้ชาญฉลาด เขาก็มองเห็นเจตนาที่ไทเฮามีต่อฉู่
วันรุ่งขึ้น มีองครักษ์เพิ่มมากขึ้นมายืนเฝ้ายามที่หอตำราหลวงวันถัดมา ฉู่เนี่ยนซีมาที่หอตำราแต่เช้าอีกครั้ง ก่อนที่นางจะเข้าไป นางก็ถูกนางกำนัลข้างกายของไทเฮาพาตัวไปหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งก่อนฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกเสียใจ หากไทเฮาทรงตั้งใจจะทำให้นางอับอายจริง ๆ คงไม่ง่ายนักที่จะตอบโต้ฉู่เนี่ยนซีมองดูทิวทัศน์รอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว พบว่านางกำนัลไม่ได้พานางไปที่ตำหนักบรรทมของไทเฮา แต่กลับพามาที่ศาลาศาลาแต่ละหลังมีแปดทิศ ล้อมรอบด้วยน้ำ และแต่ละด้านถูกคลุมด้วยผ้าโปร่ง ทำให้ดูพร่ามัวและลึกลับฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีเฉยเมย สีหน้าของนางสงบและไม่ได้หงุดหงิด นางโค้งคำนับเล็กน้อยไปทางศาลา “ถวายบังคมไทเฮาเพคะ”“เข้ามาได้!” เสียงอันสง่างามและเศร้าหมองของไทเฮาดังมาจากศาลาหลังจากนั้นไม่นาน นางกำนัลสองคนก็เปิดทางให้เมื่อเห็นดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็เดินเข้าไปอย่างสบาย ๆ ภายนอกค่อนข้างเย็น แต่ไม่ใช่กับข้างในเลย คงเป็นผลจากม่านเมื่อมองไปรอบ ๆ อย่างใจเย็น มีนางกำนัลแปดคนยืนอยู่ทุกด้าน ในศาลามีตั่งยาวและโต๊ะทรงจีนวางอยู่ด้านหนึ่งไทเฮาทรงเอนกาย พลางถือผลไม้ไว้ในพระหัตถ์ ชิมอย่างละเมียด มีนางกำนัลสองคนอย