ฉู่เนี่ยนซีมองไทเฮาด้วยดวงตาที่เย็นชาอย่างอธิบายไม่ถูก และพูดอีกครั้งว่า “ไทเฮาทรงถามหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าและโต้แย้งหม่อมฉันตลอด...ทรงไม่อยากตามหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือทรงแค่มีความเห็นต่อต้านหม่อมฉัน เพิกเฉยต่อกฎหมายและปล่อยให้คนอื่นทำตามที่พวกเขาต้องการ อีกทั้งยังทำให้ระเบียบในพระราชวังปั่นป่วนเล่าเพคะ?”ขณะที่พูด เสียงของฉู่เนี่ยนซีก็ต่ำลงเรื่อย ๆ แต่น้ำเสียงของนางไม่สั่นคลอนราวกับว่าอากาศรอบตัวกำลังเบาบางลง“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตั้งคำถามกับข้า?!” ไทเฮาขมวดคิ้วด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวฉู่เนี่ยนซีส่งเสียงหึ ดวงตาของนางสุกใสเสมือนหลุดเข้าไปในทางช้างเผือกขนาดมหึมา แม้ว่านางจะยิ้ม แต่กลับให้รู้สึกเย็นยะเยือก“ไทเฮาทรงตั้งคำถามกับหม่อมฉันได้ เหตุใดหม่อมฉันจะตั้งคำถามกับพระองค์บ้างไม่ได้ล่ะเพคะ?”“เจ้า...” ไทเฮาสะอึกและพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง“ดื้อด้านนัก! ไยเจ้ายังไม่ขอโทษเสด็จย่าของเจ้าอีก?!” องค์จักรพรรดิทรงดุฉู่เนี่ยนซีทันที แม้ว่าน้ำเสียงขอบเขาจะเต็มไปด้วยความเข้มงวดและไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่ได้ตำหนินางเลยท้ายที่สุด ในฐานะองค์จักรพรรดิผู้ชาญฉลาด เขาก็มองเห็นเจตนาที่ไทเฮามีต่อฉู่
วันรุ่งขึ้น มีองครักษ์เพิ่มมากขึ้นมายืนเฝ้ายามที่หอตำราหลวงวันถัดมา ฉู่เนี่ยนซีมาที่หอตำราแต่เช้าอีกครั้ง ก่อนที่นางจะเข้าไป นางก็ถูกนางกำนัลข้างกายของไทเฮาพาตัวไปหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งก่อนฉู่เนี่ยนซีก็รู้สึกเสียใจ หากไทเฮาทรงตั้งใจจะทำให้นางอับอายจริง ๆ คงไม่ง่ายนักที่จะตอบโต้ฉู่เนี่ยนซีมองดูทิวทัศน์รอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว พบว่านางกำนัลไม่ได้พานางไปที่ตำหนักบรรทมของไทเฮา แต่กลับพามาที่ศาลาศาลาแต่ละหลังมีแปดทิศ ล้อมรอบด้วยน้ำ และแต่ละด้านถูกคลุมด้วยผ้าโปร่ง ทำให้ดูพร่ามัวและลึกลับฉู่เนี่ยนซีมีท่าทีเฉยเมย สีหน้าของนางสงบและไม่ได้หงุดหงิด นางโค้งคำนับเล็กน้อยไปทางศาลา “ถวายบังคมไทเฮาเพคะ”“เข้ามาได้!” เสียงอันสง่างามและเศร้าหมองของไทเฮาดังมาจากศาลาหลังจากนั้นไม่นาน นางกำนัลสองคนก็เปิดทางให้เมื่อเห็นดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีก็เดินเข้าไปอย่างสบาย ๆ ภายนอกค่อนข้างเย็น แต่ไม่ใช่กับข้างในเลย คงเป็นผลจากม่านเมื่อมองไปรอบ ๆ อย่างใจเย็น มีนางกำนัลแปดคนยืนอยู่ทุกด้าน ในศาลามีตั่งยาวและโต๊ะทรงจีนวางอยู่ด้านหนึ่งไทเฮาทรงเอนกาย พลางถือผลไม้ไว้ในพระหัตถ์ ชิมอย่างละเมียด มีนางกำนัลสองคนอย
ได้ยินเช่นนั้น ไทเฮาก็เบิกตากว้างขึ้นทันที นี่กำลังหลอกด่าทางอ้อมว่านางป่วยจิตรึ?ตอนแรกก็คิกว่าฉู่เนี่ยนซีจงใจหมายความเช่นนั้น นางไม่ได้ดูอบอุ่นหรือเฉยเมย แต่ด้วยสายตาที่ดูเป็นห่วงประกอบกับความกังวลบนใบหน้าของนางกลับทำให้ไทเฮาทรงกลืนคำดุด่านั้นลงคอไป“ไม่ต้อง เจ้าไปเถอะ!”“เช่นนั้น ซีเอ๋อร์ขอตัวก่อนเพคะ!”หลังจากฉู่เนี่ยนซีพูดจบ นางก็หันหลังกลับออกไป ตอนที่หันกลับไปนั้นก็รีบปกปิดสายตาเจ้าเล่ห์ไว้หลายวันต่อมา ฉู่เนี่ยนซีก็ถูกให้ไปอยู่ข้าง ๆ ไทเฮาเสมอ แม้ทุกครั้งจะเป็นสถานการณ์ที่ลำบาก แต่ฉู่เนี่ยนซีก็แก้ไขปัญหาจนผ่านไปได้ด้วยดีอีกทั้งช่วงเย็นในหลายวันมานี้ เย่เฟยหลีมารับฉู่เนี่ยนซีกลับเรือนด้วยตลอด จนทั้งสองคนเข้าใจกันไปโดยปริยายพริบตาเดียว ในเวลาจำกัดเจ็ดวันก็เหลือเพียงวันเดียวเท่านั้นฉู่เนี่ยนซีตรวจสอบความรู้ทางการแพทย์เกือบทั้งหมดในหอตำรา แม้กระทั่งอ่านเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทั้งหมดในหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีวี่แววของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพิษกู่ชนิดนี้ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางทรุดตัวลงกับพื้น พิงชั้นหนังสือ พลางใช้หนังสือปิดหน้าหลังจากงีบไป ฉู่เนี่ยนซีก็จั
เมื่อเห็นว่าในที่สุด อวี๋ตงก็ให้ความสนใจเขา ดวงตาของเย่ฉงเฉิงก็เปล่งประกายด้วยความสำเร็จ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น แววตานั้นก็หายไปครู่หนึ่ง และสีหน้าเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่“โอ๊ย โอ๊ย ข้าเจ็บเหลือเกิน !”เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังขึ้นเรื่อย ๆ อวี๋ตงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสั่งให้เด็กรับใช้ไปตามหมอไม่นาน หมอก็มาถึง ขณะที่เขากำลังจะตรวจชีพจร ลูกละตาของเย่ฉงเฉิงก็เบิกโพลงขึ้นมา พลางตะโกนขึ้น “เจ็บ!” เสียงตะโกนทำให้หมอตกใจ และรีบถามอย่างกังวลใจว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเฉิงเจ็บตรงไหนพ่ะย่ะค่ะ? ตรงนี้ หรือว่าตรงนี้?”ขณะที่พูด หมอก็ยื่นมือออกไปสัมผัสหลายจุดบนร่างกายของเย่ฉงเฉิงมาแตะกันแบบนี้ก็ดีเลยสิ! เย่ฉงเฉิงตะโกนอีกครั้งโดยบอกว่าเขาทนเจ็บไม่ไหวคราวนี้หมอกำลังลำบากและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างคนทำอะไรไม่ถูกเขาไม่เคยเห็นโรคแปลก ๆ เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากอวี๋ตง และถามอย่างเงียบ ๆ ว่าเขาควรทำ แน่นอนว่าอวี๋ตงไม่อยากสนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเย่ฉงเฉิง แต่ด้วยฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ อย่างหนาแน่นที่ด้านนอก เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันเชิญฉู่เนี่ยนซีมาลองตรวจดู
อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากถูกบุคคลต้นแบบของเขาเกลียดและเข้าใจผิด เย่ฉงเฉิงรู้สึกกังวลจึงรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว “ขออภัยด้วย! ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ!”หลังจากนั้นในทันใด เย่ฉงเฉิงก็คุกเข่าลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาของเขาร้อนรน พลางขอร้องว่า "ได้โปรดขอให้ท่านหมอเทวดาซานเซิงยอมรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”ฉู่เนี่ยนซีเคยได้ยินเย่ฉงเฉิงพูดถึงการขอเป็นศิษย์มานานแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะละทิ้งความหยิ่งยโสและคุกเข่าลงเช่นนี้แม้ว่าจะประหลาดใจ แต่ฉู่เนี่ยนซีก็พูดตรง ๆ โดยไม่ต้องคิดว่า “กระหม่อมไม่รับศิษย์! ท่านอ๋องเฉิงโปรดกลับไปเถอะ!”"ไม่! ท่านหมอเทวดาซานเซิงโปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านเถอะ!” เย่ฉงเฉิงปฏิเสธที่จะยอมแพ้และขวางทางฉู่เนี่ยนซีอย่างรวดเร็ว “ข้ามีความสามารถและเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ไว! อีกทั้งข้าเองก็เป็นอ๋อง ข้าจะให้ความเคารพท่านมาก ๆ เลยด้วย! หากเลือกข้าก็ไม่เสียหายอะไร! ท่านหมอเทวดาซานเซิงโปรดรับข้าเป็นศิษย์ของท่านเถิด!”เมื่อเห็นเย่ฉงเฉิงเซ้าซี้ไม่หยุดหย่อน ฉู่เนี่ยนซีก็นึกถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีก่อนหน้านี้ของเขาที่เคยทำใส่นาง จึงเผยรอยยิ้มที่เหมือนจะไม่ใช่รอยยิ้ม สายตาฉายแววเยาะเย้ยและ
“จะ…เจ้า…”“เจ้าอะไร?! แค่พูดให้เข้าใจยังทำไม่ได้เลย หรือว่าข้าควรหาแม่นมมาสอนท่านพูดจะดีกว่าล่ะ! หึ!” เหยียนตั่วกล่าว พลางส่งเสียงหึอย่างเย็นชา อีกทั้งแลบลิ้นใส่เย่ฉงเฉิงอีกด้วย ท่าทางเช่นนี้ทำให้คนโกรธสุดชีวิตเย่ฉงเฉิงจ้องนางด้วยความโกรธ พลางชี้ไปที่นางด้วยนิ้วอันสั่นเทา “เด็กนิสัยไม่ดีเช่นเจ้าเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้ปากคอเราะร้ายเช่นนี้?! ระ...ระวังไว้เถอะ! ข้าจะจับเจ้าโยนเข้าคุกให้โดนอดข้าวเสีย!”“ท่านอ๋องเฉิงจะใช้อำนาจเพื่อกดขี่ผู้อื่นในหอการแพทย์ของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เสียงเย็นชาของฉู่เนี่ยนซีดังขึ้นจากด้านข้าง ทำให้เย่ฉงเฉิงขนลุกขึ้นมาเมื่อเห็นดังนั้น เหยียนตั่วก็ทำเป็นตัวสั่นและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉู่เนี่ยนซี มือขาวละเอียดคู่หนึ่งดึงแขนเสื้อของฉู่เนี่ยนซีไว้ ใบหน้าเล็ก ๆ อันข่าวผ่องดุจเครื่องเคลือบของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีน้ำใส ๆ คลออยู่นั้นก็แสดงความคับข้องใจ “ท่านอาจารย์ ท่านอ๋องเฉิงผู้นี้กำลังคุกคามข้า ดุขนาดนี้ เขาต้องชอบรังแกคนที่อ่อนแอแน่ ๆ ตั่วเอ๋อร์กลัว ท่านต้องปกป้องตั่วเอ๋อร์นะเจ้าคะ!”พูดจบ นางก็แลบลิ้นใส่เย่ฉงเฉิงอย่างสะใจ ดวงตา
“ทั้งหมดเป็นเพราะท่านเอาแต่โหวกเหวกโวยวาย ท่านอาจารย์ถึงได้รำคาญ! นั่นคือเหตุผลที่เขาออกไป!” เหยียนตั่วชี้ไปที่เย่ฉงเฉิงและพูดด้วยความโกรธเย่ฉงเฉิงกัดฟัน กลอกตาและชี้ไปที่เหยียนตั่ว “เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่ตะโกน ท่านอาจารย์ถึงได้เดินหนีไป! เจ้านี่ช่างไม่รู้ตัวเอาเสียเลย”ทั้งสองต่างไม่พอใจอีกฝ่ายและยังคงทะเลาะกันบนบันไดด้านบนอีกด้านหนึ่ง ฉู่เนี่ยนซีก้าวฉับ ๆ รวดเดียว รีบไปที่ห้องเล็กข้าง ๆ อย่างรวดเร็วหัวใจของนางเต้นแรงเนื่องจากการเดินอย่างรวดเร็ว และความเย็นชาในดวงตาของนางถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นคำพูดของเหยียนตั่วทำให้นางค้นพบบางสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสังเกตเห็นและนึกถึงมาก่อนแม้จะค้นหาบันทึกในหนังสือทุกเล่มแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่เจอข้อมูลของพิษกู่ชนิดนี้เลยมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ที่เฉินเกอถูกวางยาพิษไม่ได้มีแค่พิษกู่เพียงชนิดเดียว แต่บางทีอาจเป็นพิษชนิดหนึ่งผสมกับพิษกู่ฉู่เนี่ยนซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบหยิบอุปกรณ์การเขียนออกมาอย่างรวดเร็ว ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา จับปากกาเขียนบางอย่างด้วยความว่องไวพิษกู่ทั่วไปจะไม่ไหลเวียนไปมาในร่างกาย แต่จะปรากฏบนผิวหนังแทน เว้นเสีย
ในขณะที่เดินเข้าไป ฉู่เนี่ยนซีก็สามารถจินตนาการได้ถึงสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องระหว่างคนทั้งสองได้“อ่ะแฮ่ม!” ฉู่เนี่ยนซีกระแอมขัดจังหวะความต้องการของทั้งสองที่จะต่อสู้กันเมื่อได้ยินเสียง ทั้งคู่ก็มองตามเสียงนั้นไป เมื่อพบว่าเป็นฉู่เนี่ยนซีพวกเขาก็แสร้งทำเป็นประพฤติตัวดีในทันที“ท่านอาจารย์ ท่านไปไหนมา?” เหยียนตั่วเรียกอย่างอ่อนหวานพลางมองไปที่ฉู่เนี่ยนซีด้วยรอยยิ้มเย่ฉงเฉิงทำท่าทางดูแคลน แอบบ่นคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่าทำตัวเสแสร้ง แต่เขาก็ยังก้าวไปข้างหน้าและเบียดเหยียนตั่วออกไป พร้อมกับเผยรอยยิ้มบนใบหน้าที่ค่อนข้างประจบประแจง“ท่านหมอเทวดาซานเซิง! ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าได้เตรียมสถานที่สะอาดในหอหมื่นบุปผาไว้แล้ว ข้ามั่นใจว่าจะไม่มีใครรบกวนท่าน และแน่นอนว่าจะไม่มีแมลงวันหน้าไม่อายบินไปมาให้รำคาญใจ! ขอท่านหมอโปรดเพลิดเพลินกับอภินันทนาการนี้ด้วย”“ท่าน! กล้าดีอย่างไรมาเรียกคุณหนูเช่นข้าว่าแมลงวัน?!”เหยียนตั่วได้ยินเย่ฉงเฉิงพูด จึงกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่ทันใดนั้น นางก็สงบลงและยิ้มให้เขาด้วยกลัวรอยยิ้มแปลก ๆ ของเหยียนตั่ว เย่ฉงเฉิงจึงถอยหลังพลางมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระมัดระวัง