เมื่อฮว่านเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากเข็มที่ทิ่มลงบนร่างกายของตัวเอง ก็คิดจะตอบโต้ แต่ทันใดนั้นพวกนางก็รู้สึกว่าร่างกายไม่มีแรงจนล้มลงกับพื้น และมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความตกตะตึง “หากจะเอาชนะข้าผู้นี้ก็คงยากหน่อยนะ!” ฉู่เนี่ยนซียิ้มมุมปาก แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา เข็มเงินที่นางใช้ในวันนี้ได้ถูกแช่พิษเอาไว้ ต่างจากยากล่อมประสาทก่อนหน้านี้ นี่คือพิษชนิดใหม่ที่นางศึกษาค้นคว้าเอาไว้ เมื่อถูกพิษนี้เข้าจะส่งผลต่อสติสัมปชัญญะ เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เท่านั้น แม้ว่านางจะใช้วิธีนี้ได้ด้วยการโจมตีเข้าที่จุดฝังเข็ม แต่ถึงกระนั้นก็จะต้องโจมตีให้โดนจุดฝังเข็มด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว และเมื่อพิษได้สัมผัสเข้ากับจุดเหล่านั้น ก็จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ! เย่เซวียนเล่อตกใจเมื่อเห็นทั้งสองคนทรุดตัวลงกับพื้น ทำให้จู่ ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป “ไยเจ้าสองคนถึงลงไปนั่งกับพื้นเช่นนั้น รีบไปจัดการนางเร็วเข้าสิ!” “องค์หญิง พวกบ่าวถูกวางยาพิษเพคะ!” สีหน้าของฮว่านเอ๋อร์นิ่งเฉย สีหน้าไม่อยากเชื่อที่ปรากฏเมื่อครู่นี้ก็กลับมาไร้อารมณ์อีกครั้ง นั่น
ฉู่เนี่ยนซีมองเย่เซวียนเล่อราวกับว่ากำลังดูตัวตลก พลางยิ้มเยาะขึ้น “ฉีกเป็นชิ้น ๆ ? หม่อมฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าองค์หญิงห้าไปเอาความกล้าและความมั่นใจมาจากไหน?! หรือเพียงเพราะว่าท่านเป็นองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮางั้นรึ?” “แน่อยู่แล้ว ข้าที่เป็นองค์หญิงนั้นมีฐานะสูงส่งมากกว่าคนอัปลักษณ์เช่นเจ้ามากนัก!” เย่เซวียนเล่อทำท่าทางหยิ่งผยองพลางมองฉู่เนี่ยนซีด้วยความรังเกียจ และพูดต่อ “มารดาของข้าคือฮองเฮา เป็นผู้สูงส่งที่สุดในใต้หล้า ขณะที่มารดาของเจ้าเป็นเพียงสตรีที่แม้แต่ชื่อก็ไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งบิดาของข้าก็เป็นถึงองค์จักรพรรดิ และบิดาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่เสนาบดีต๊อกต๋อยที่เป็นสุนัขรับใช้ข้างกายเสด็จพ่อของข้า!” “การที่มารดาของเจ้าให้กำเนิดบุตรสาวที่อัปลักษณ์และไร้ความสามารถเช่นนี้ออกมาได้ นางก็คงจะเป็นคนที่ไร้ความสามารถและต่ำต้อยด้วยเช่นกัน!” ยิ่งเวลาผ่านไปเย่เซวียนเล่อก็ยิ่งพูดยั่วยุมากขึ้น ขณะที่พูด นางก็แสดงความเย่อหยิ่งเจือความรังเกียจไปด้วย โดยไม่ทันสังเกตเห็นความโกรธเกรี้ยวที่ปะทุอยู่ในดวงตาคมปลาบของฉู่เนี่ยนซีซึ่งกำลังจะระเบิดออกมา “ดังนั้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าและตบ
เหล่าองครักษ์เหลือบมองฉู่เนี่ยนซีและมองหน้ากัน ช่วงนี้ชื่อเสียงของพระชายาหลีกำลังแพร่หลาย และความคิดของผู้คนในวังที่มีต่อนางก็เปลี่ยนไปมาก ในโลกนี้ คนที่มีความรู้ด้านการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมย่อมได้รับความเคารพจากทุกคน นอกจากนี้ องค์หญิงห้า เย่เซวียนเล่อผู้นี้เดิมทีเป็นคนหยิ่งผยองและบ้าอำนาจ เหล่าขันทีและองครักษ์ต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ในเมื่อเป็นคนของนาง ด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องทำตามคำสั่งของนางและลงมือเท่านั้น หากแต่ตอนนี้คนที่นางต้องการจับกุมคือพระชายาหลี! หากลงมือไปพวกเขาก็คงโง่แล้ว เย่เซวียนเล่อเห็นทุกคนทำเหมือนไม่ได้ยินที่ตัวเองพูดก็โกรธ “พวกเจ้าหูหนวกกันรึ? ข้าสั่งให้จับนางสารเลวนั่น!” “นางสารเลว...” ริมฝีปากของฉู่เนี่ยนซีเผยอเล็กน้อย พูดคำว่า ‘นางสารเลว’ โดยพูดสองพยางค์แรกด้วยเสียงเบาและเน้นเสียงที่พยางค์สุดท้าย ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน จากนั้น นางก็เคลื่อนไหวไปอยู่ตรงหน้าเย่เซวียนเล่อราวกับสายลม เสียงดัง ‘เพียะ! เพียะ!’ ทำเอาทุกคนเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ “กรี๊ด! นะ...นางคนอัปลักษณ์ กล้าดียังไงมาตบข้า?!” เสียง “เพียะ!!!” ดังขึ้นอีกเสี
ไม่นาน ฉู่เนี่ยนซีก็มาถึงห้องทรงงานขององค์จักรพรรดิ ณ เวลานี้ ในห้องทรงงาน องค์จักรพรรดิกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางลูบจี้หยกในมือของตัวเองอย่างครุ่นคิด ในขณะที่ใบหน้าอันสวยงามของเย่เซวียนเล่อนั้นบวมแดง แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับยาแล้ว นางกำลังน้ำตานองหน้านั่งซบอยู่ข้าง ๆ ฮองเฮา สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีคาดไม่ถึงคือเย่เฟยหลีก็อยู่ที่นี่ด้วย และตอนนี้เขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ขณะที่กำลังดื่มชาอย่างนิ่งเฉย เมื่อเห็นฉู่เนี่ยนซีเข้ามา ความหนาวเย็นในดวงตาของเขาก็ลดลงเล็กน้อยพลางมองมาที่นาง เมื่อฉู่เนี่ยนซีคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ในใจก็รู้สึกขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก นางจึงเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็วและเดินต่อไป “ถวายบังคมเสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ” องค์จักรพรรดิเคยรับปากว่าต่อไปนางไม่ต้องคุกเข่าอีก ดังนั้นฉู่เนี่ยนซีจึงทำเพียงโค้งตัวทำความเคารพ เมื่อเย่เซวียนเล่อเห็นฉู่เนี่ยนซี ดวงตาที่โศกเศร้าของนางก็มีความไม่พอใจเข้ามาแทนที่ในทันที อีกทั้งรีบตะโกนออกมา “ฉู่เนี่ยนซี สามหาวนัก! ทำความเคารพเสด็จพ่อเสด็จแม่แต่กลับไม่คุกเข่ารึ!” ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เซวียนเล่อพลางพู
องค์จักรพรรดิมองฉู่เนี่ยนซีด้วยดวงตาที่เฉียบคมราวกับนกอินทรี ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ ไม่โกรธ แต่ทรงพลัง หากเป็นคนธรรมดา คงหายใจไม่ออกเสียจนต้องก้มศีรษะตัวสั่นไปแล้ว แต่ฉู่เนี่ยนซีกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแม้จะดูดุดันก็ก็ยังคงดูสงบ ริมฝีปากของเขาเผยอออกเล็กน้อยและพูดเนิบ ๆ “การทำร้ายองค์หญิงห้าถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่นั่นเป็นเพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ส่วนสาเหตุนั้นก็เป็นสิ่งที่ซีเอ๋อร์กำลังจะขอให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินเพคะ” ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองใบหน้าที่จริงจังขององค์จักรพรรดิและพูดต่อ “ในหอตำราหลวงนั้น องค์หญิงห้าทรงดูถูกบิดามารดาของซีเอ๋อร์โดยพลการก่อน อีกทั้งยังสั่งให้คนของนางจัดการซีเอ๋อร์ ซึ่งเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของหม่อมฉันอย่างร้ายแรง ดังนั้น ซีเอ๋อร์จึงร้องขอให้ทรงตัดสินใหม่ด้วยเถอะเพคะ!” หลังจากที่ฉู่เนี่ยนซีพูดจบ นางก็โค้งตัวอย่างนอบน้อม ด้วยท่าทางที่จริงใจอย่างคนที่ไม่ได้ทำผิดอะไร องค์จักรพรรดิทรงขมวดคิ้วและมองไปที่เย่เซวียนเล่อ “มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นหรือ?” “ลูก…” เย่เซวียนเล่ออ้ำอึ้ง เมื่อฮองเฮาที่อยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าของพระธิดาของตัวเอง ก็รู้
“ฉู่เนี่ยนซี! ฉู่เนี่ยนซีต้องเป็นคนฆ่านางแน่ ๆ!” เย่เซวียนเล่อชี้ไปที่ฉู่เนี่ยนซีพลางตะโกน ฉู่เนี่ยนซีคิ้วขมวดด้วยความโกรธ ในดวงตาอาฆาตกระหายเลือด ‘ฆ่าคนเพื่อจะลงโทษนางเนี่ยนะ พวกเขาทำกันได้อย่างไร!’ ‘ชั่วร้ายเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว!’ เมื่อเห็นท่าทีของนาง เย่เซวียนเล่อก็รู้สึกเจ็บบริเวณคอเล็กน้อย และหายใจไม่ออกขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงขยับเข้าไปใกล้ฮองเฮามากขึ้น ฮองเฮาตบมือของนางเพื่อปลอบโยน และมองฉู่เนี่ยนซีด้วยสายตาอำมหิต “เหตุใดพระชายาหลีจึงมีสีหน้าเช่นนั้น? แม้เล่อเอ๋อร์จะพูดตรงไปสักหน่อย แต่ข้อสงสัยนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เจ้าเพิ่งขอให้องค์จักรพรรดิรับสั่งให้ซูเซียงมาเข้าเฝ้า แต่ซูเซียงก็กลับถูกพบว่าเสียชีวิตในทะเลสาบไปเสียแล้ว คงจะตั้งใจไว้ล่ะสิ” “หากซีเอ๋อร์เป็นคนทำ จำเป็นที่จะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เพื่อที่จะเรียกคนมาหรือพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมคิดว่าคนมีสมองคงไม่พูดอะไรเช่นนั้นออกมา!” ดวงตาสีเข้มราวกับสระน้ำอันมืดมิดของเย่เฟยหลีปรายตามองฮองเฮา ทำเอาฮองเฮาถึงกับพูดไม่ออก ดวงตาขององค์จักรพรรดิขรึมขึ้น เขาจ้องมองไปที่ทุกคน และในที่สุดก็มองไปยังขันทีผู้น้อยที่กำ
เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้รับอนุญาต เหล่าองครักษ์ก็หลีกทางให้ ฉู่เนี่ยนซีค่อย ๆ เปิดผ้าขาวที่คลุมศีรษะของซูเซียง ความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันอยู่ในใจและเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกอยากจะหนีไปจากตรงนี้ คนที่กำลังมีช่วงวัยที่ดีที่สุดต้องมาตายเพราะนาง! นางรักษาคนมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นคนแรกที่จากไปเพราะนาง เย่เฟยหลีมองมือที่ลังเลและท่าทางที่ลำบากของนาง ความสงสารก็แวบขึ้นมาในใจของเขา เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและจับมือนางไว้ “หากไม่อยากดูก็ไม่ต้องดู นางทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก!” ฉู่เนี่ยนซีมองเย่เฟยหลีที่มีสีหน้าเป็นกังวล ภาพเมื่อวานก็ฉายซ้ำในหัวของนางอีกครั้ง นางสะบัดมือออกและมากุมมือตัวเองไว้อย่างไม่เป็นธรรมมชาติ “ข้าทำได้!” นางพูดเบา ๆ ราวกับว่านางกำลังบอกทั้งเขาและตัวเอง จากนั้นด้วยความมุ่งมั่น นางจึงเอื้อมมือออกไปเลิกผ้าขาวขึ้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาคือใบหน้าที่ซีดเซียวของซูเซียง โดยมีผมที่เปียกชุ่มปรกอยู่บนใบหน้าของนาง ช่างดูน่าแปลก ฉู่เนี่ยนซีเอื้อมมือไปเขี่ยผมสีดำคล้ายสาหร่ายออกและพบว่ามีบาดแผลเล็ก ๆ บนหน้าผากของซูเซียง เมื่อพิจารณาจากความรุนแรงแล้วคงจะใช้เวลานานทีเดียวถึงจะเห็นได้ชัดเจนข
ฮองเฮาถึงกับใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ความตื่นตระหนกในดวงตาของนางสั่นไหว แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็วนางก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและมองไปที่องค์จักรพรรดิ “ฝ่าบาท คงเป็นเพราะซูเซียงไม่ระวังจึงพลาดท่าตกลงไปในสระไท่เย่ฉือ จะไปมีเหตุผิดปกติอะไรได้เพคะ ว่ากันว่าดวงจิตของผู้ตายจะได้พักผ่อนเมื่อกลับลงสู่ผืนดิน แล้วเหตุใดถึงยังปล่อยนางเอาไว้เช่นนี้เล่า? จัดพิธีศพให้นางเถิด! ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่จากองค์จักรพรรดิเลยนะเพคะ” “ใช่เพคะเสด็จพ่อ” เย่เซวียนเล่อที่อยู่ตรงนั้นตอบรับอย่างรวดเร็ว แล้วมองไปที่ฉู่เนี่ยนซี องค์จักรพรรดิเลียริมฝีปากที่แห้งผากของเขา เขาไม่ได้พูดอะไรมาสักพักแล้ว ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “เสด็จพ่อเคยคิดไหมเพคะ ว่าเหตุใดอยู่ดี ๆ นางถึงตกลงไปในสระไทเย่ฉือ? อีกทั้งยังเป็นวันที่อากาศแจ่มใสเช่นนี้ ไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?” ฉู่เนี่ยนซียิ้มบาง ๆ และเข้าใกล้ฮองเฮาอย่างไม่รีบร้อน “ฮองเฮาพูดอยู่เสมอว่าผู้ตายควรถูกฝังอย่างสงบ แต่หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลก ดังนั้นควรทำให้ชัดเจนจะดีกว่าเพคะ” “แปลกรึ?” ฮองเฮาเลิกคิ้วอย่างเย็นชา “มีอะไรแปลก? เป็นไปได้ว่าซูเซียงจะสะด
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย