มหาเสนาบดีฉู่บีบมือตัวเองแล้วยืนขึ้นทันที "ใต้เท้าหลิว ท่านควรคิดให้รอบคอบก่อนจะพูดอะไรออกมา! บุตรสาวของท่านไม่ใช่ หมายความว่าบุตรสาวของข้าใช่อย่างนั้นรึ?!"เสนาบดีฉู่มีสีหน้ามืดมน ถึงเขาจะยืนประสานมืออยู่ตรงนั้นแต่ก็ยังสร้างแรงกดดันต่อใต้เท้าหลิวได้“ทุกคนในเมืองแห่งรัตติกาล ใครไม่รู้บ้างว่าเมื่อก่อนพระชายาหลีไม่ใช่แค่ไล่ตามองค์ชายหลีตลอดทั้งวันเท่านั้น แต่ยังก่อปัญหาไปทั่ว ได้ยินมาว่าลูกชายคนโตของเสนาบดีฉู่มีอาการขาพิการก็อาจจะมีสาเหตุจากนาง ถ้าจะกล่าวหาว่าใครคือหายนะ คนผู้นั้นก็ต้องเป็นพระชายาหลีอย่างแน่นอน” ใต้เท้าหลิวพยายามเพิกเฉยต่อแรงกดดันของเสนาบดีฉู่ และพูดขึ้นทีละคำการแสดงออกของจักรพรรดินั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วในขณะที่มองดูพวกเขาทั้งสองจากนั้นเสนาบดีฉู่ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านพูดเองว่าเป็นเรื่องในอดีต! เป็นความจริงที่ลูกชายคนโตของข้าบาดเจ็บ แต่บุตรสาวของข้าเป็นคนรักษาเขาจนกลับมาเดินได้อีกครั้ง”ทุกคนต่างเฝ้าดูความตื่นเต้น แต่พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อได้ยินว่าฉู่เนี่ยนซีเป็นผู้รักษาฉู่เจี้ยนอี้ พวกเขานึกมาโดยตลอดว่าเฮ่อหลานหมอมหัศจรรย์เป็นผู้
ผู้คนบนแท่นบูชาต่างงงงวยอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นนางเข้ามาใกล้ แต่เมื่อนางพูดแบบนั้นออกมา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล ทันใดนั้นฮ่องเฮาก็ตะโกนขึ้นมาว่า "ฉู่เนี่ยนซี นี่เจ้าจะทำอะไร? เจ้าคิดจะฆ่าคนเพื่อปิดปากอย่างนั้นรึ? รีบเข้าไปหยุดนางเร็วเข้า!" "“ใครกล้า!” ดวงตาของฉู่เนี่ยนซีดูเหมือนจะเปล่งแสงเย็น ๆ ออกมา นางมองไปที่องครักษ์ที่กำลังจะเข้ามา ก่อนจะหันไปหาฮ่องเฮา “ท่านแม่หมายความว่าอย่างไรเพคะ ไม่ว่ายังไงซีเออร์ก็เป็นคนของราชวงศ์ ตอนนี้กำลังถูกคนใส่ร้ายว่าเป็นตัวหายนะ ยังไงก็ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนเสียก่อน หากหม่อมฉันเป็นตัวหายนะจริง หม่อมฉันจะเห็นแก่ไทเฮา จักรพรรดิ และแผ่นดิน หม่อมฉันจะโยนตัวเองเข้าไปในกองไฟเอง เป็นเช่นไรเพคะ เพียงแต่จะให้หม่อมฉันถูกเผาอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไรกัน”คำพูดของฉู่เนี่ยนซีนั้นชอบธรรมและน่าเกรงขาม จนผู้คนอดไม่ได้ที่จะประทับใจแม้ว่าจะเชื่อในเทพเจ้ามากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเผาคนให้ตายอย่างไม่มีเหตุมีผลได้ไทเฮามองนางอย่างอึ้ง ๆ ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ในใจ ในด้านหนึ่งนางเชื่อนักพรต แต่ในทางกลับกันก็เห็นว่าการกระทำของฉู่เนี่ยนซีนั้นทั้งสง่างามและสมเหตุสมผล ไม่ได
“ใครกล้า!”"ช้าก่อน!""ช้าก่อน!"มีเสียงสามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เย่เฟยหลีทะยานขึ้นไปก่อนจะลงไปยืนข้าง ๆ ฉู่เนี่ยนซี เสนาบดีฉู่และฉู่เจี้ยนอี้ก็รีบวิ่งไปที่แท่นบูชาเพื่อปกป้องนาง“เสด็จย่าโปรดทรงพิจารณาให้รอบคอบ หลานรู้จักพระยาชาเป็นอย่างดี หลานเอาชีวิตเป็นประกัน นางไม่ใช่ตัวหายนะอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ” เย่เฟยหลียืนนิ่ง ๆ ต่อหน้านาง แม้ว่านางจะมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นบนร่างกายของเขาเมื่อไทเฮาเห็นว่าหลานชายคนโปรดปกป้องนางด้วยชีวิต สามารถทำให้คนที่โหดเหี้ยมและเย็นชาอย่างเขาเป็นเช่นนี้ได้ ดาวหายนะนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ “ไร้สาระ! เจ้าไม่สามารถสื่อสารกับสวรรค์ได้เสียหน่อย แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางคือหายนะหรือไม่! ถ้านางไม่ใช่หายนะ แล้วจะเป็นใครกันล่ะ?!”“ถึงหลานจะไม่สามารถสื่อสารกับสวรรค์ได้ แต่หลานก็เป็นคนที่ใกล้ชิดนางที่สุด ดังนั้นหลานย่อมจึงรู้อย่างแน่นอน หลานเคยถูกวางยาพิษจนเกือบตาย นางพยายามอย่างมากเพื่อช่วยชีวิตหลานเอาไว้อาการป่วยของท่านพ่อนางก็เป็นคนรักษาเช่นกัน แม้ว่าในอดีตนางจะมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น เสด็จย่าสามา
“กบฏ ขุนนางไม่เหมือนขุนนาง ลูกชายไม่เหมือนลูกชาย! นี่มันกบฏชัด ๆ!” ใบหน้าของไทเฮาซีดเผือด นางชี้ไปที่พวกเขาด้วยนิ้วอันสั่นเทา “ทหาร นำพวกเขาไปขังที่กรมอาญา และนำตัวหายนะไปประหารชีวิตเสีย!”“ช้าก่อน” จู่ ๆ จักรพรรดิก็พูดขึ้น และในขณะที่พยายามช่วยไทเฮาสงบสติอารมณ์เขาก็พูดขึ้นว่า "ทั้งสามอาจทำตามอำเภอใจไปบ้าง แต่ก็สามารถเข้าใจได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อ๋องสามพูดนั้นก็มีเหตุผล เด็กคนนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขาไว้เท่านั้น แต่ยังช่วยชีวิตของกระหม่อมไว้ด้วย หากไม่มีนาง เสด็จแม่ก็คงไม่ได้เห็นหน้าลูกอยุ่เช่นนี้”“จิจิจิ...จักรพรรดิทรงตรัสอะไรน่ะ อย่าพูดอะไรไม่มงคลสิ นางเป็นคนเดียวในโลกที่รู้วิธีการรักษาหรืออย่างไร ดูเหมือนว่าเจ้าก็หลงคารมตัวหายนะนี้ไปด้วยอีกคนสินะ"“ครานั้นหมอหลวงในสำนักต่างก็หมดหนทางกับอาการของข้า หลังจากเด็กคนนี้ฝังเข็มให้สองสามครั้ง ข้าก็สามารถลุกจากเตียงและกลับมาเดินเหินได้ ในโลกนี้ใครมีทักษะทางการแพทย์เช่นนางบ้าง ข้าไม่ได้พูดเกินจริง เด็กคนนี้อาจมีอะไรบางอย่างที่บังเอิญตรงกับเงื่อนไขที่ท่านนักพรตพูด แต่บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดของนักพรตก็ได้พะย่ะค่ะ”จู่ ๆ นักพรตที่ม
“ข้าหัวเราะไทเฮาและนายท่านต่างหาก คนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า อีกคนไม่เชื่อในพระเจ้า” แววตาของนางเต็มไปด้วยการประชดประชัน คำพูดที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยการเหน็บแนม“เจ้าหมายความว่าไง!” ชายชราหนวดเครายาวถลึงตาจ้องมองด้วยความโกรธ“แน่นอนว่าไทเฮาคิดว่าท่านเป็นผู้ส่งสารของเหล่าเทพเทวดา แต่ความจริงท่านก็เป็นเพียงแค่นักต้มตุ๋นพูดจาไร้สาระ การที่ท่านกล้าจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่งในนามของสวรรค์แบบนี้ก็หมายความว่า ตัวท่านเองก็ไม่ได้เชื่อในเทพเทวดาที่ไหนเลย ข้าพูดผิดตรงไหน?”ฉู่เนี่ยนซีลุกขึ้นยืนตัวตรงก่อนจะมองหน้าทุกคนในที่นั้นโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว นางเป็นคนแรกเลยที่กล้าประชดเสียดสีไทเฮาสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่าสีหน้าของแต่ละคนในที่นี้เป็นอย่างไรในเวลานั้นเลือดก็ขึ้นหน้าชายชราในทันที ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้าง ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจหนึ่งก็รู้สึกละอายท่าทีที่ฉู่เนี่ยนซีมองเขา จากนั้นแสงความเจ้าเล่ห์ก็แวบผ่านดวงตาไป เฮ้อ ถึงเวลาต้องชดใช้!“อั่ก…”ทันใดนั้นเอง นักพรตก็ล้มลงกับพื้น เอามือทั้งสองกุมหน้าท้องและโอดครวญ ใบหน้าของเขาเหยเกเพราะความเจ็บปวดเมื่อทุกคนได้เห็นภาพนี้ ต่างพากันยืดคอมองไปรอบ ๆ
ชายชราเครายาวยังคงนอนทุรนทุรายอยู่ที่พื้น สองมือของเขากุมท้องเอาไว้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงจากหน้าผากของเขาเขาต้มตุ๋นผู้คนเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์อะไรเลย เขารู้ว่าคนที่เป็นตัวการในเรื่องนี้จะต้องเป็นสตรีนางนี้แน่แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขาเจ็บปวดราวกับมีมดนับพันรุมกัดกินท้องของเขาอยู่ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองนางด้วยความขมขื่นฉู่เนี่ยนซีทำราวกับมองไม่เห็นและถอนหายใจอย่างหนักด้วยความจนปัญญา“เฮ้อ…ช่างเถิด ใครใช้ให้ข้าใจดีกัน แม้ว่าตัวข้าจะรักษาท่านไม่ได้ แต่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้อยู่ ถ้าเจ้าเห็นด้วยก็พยายามพยักหน้าหน่อย”ฉู่เนี่ยนซีในตอนนี้มีความดีที่หาได้ยากจากคนอื่น หลายคนมักตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง แต่นางเป็นคนส่วนน้อยที่ตอบแทนความเกลียดชังด้วยความเมตตาสิ่งที่นางทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่มีไม่กี่คนที่จะทำนักพรตที่ได้ยินฉู่เนี่ยนซีเอ่ยดังนั้นก็รีบพยักหน้าด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามีฉู่เนี่ยนซีเดินไปหาเขาแล้วนั่งยอง ๆ ลง เข็มเงินสองสามเล่มก็ตกลงในมือนาง“วันนี้ข้ายังปลอดภัยสบายดี เจ้าก็จะสบายใจได้อยู่ แต่ไม่รับ
“จับเขาไว้!”เสียงของจักรพรรดิดังขึ้น เย่เฟยหลีจึงรีบไปด้านหน้าเพื่อหยุดคนที่ลอบสังหาร แต่มุมปากของเขากำลังขยับ เลือดสดได้ไหลออกมาจากมุมปากของเขา และเขาก็ล้มลงไปกับพื้น“เขาโดนพิษ” สีหน้าของเย่เฟยหลีหม่นลง และเสียงของเขาก็เย็นชามากขึ้นฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปที่ฮองเฮา เห็นเพียงมุมปากของนางที่ยกยิ้มขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความสะใจฉู่เนี่ยนซีกำหมัดทั้งสองข้างแน่น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญสมกับที่เป็นนางจริง ๆ ไม่แยแสต่ออะไรทั้งนั้น“ดูเหมือนว่า อาการบาดเจ็บอย่างกระทันหันของนักพรตจะมีสาเหตุมาจากองครักษ์คนนี้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้เราควรทำเช่นไรดี ท่านนักพรตยังไม่ทันได้อธิบายให้ชัดเจนเลย” ฮองเฮายกมือปิดปาก ก่อนจะมองไปยังไทเฮาตอนนี้ไทเฮาก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฮองเฮาพูดก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือว่าองครักษ์คนนี้จะเป็นคนของฉู่เนี่ยนซี หรือนี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้นักพรตโดนบทลงโทษของสวรรค์?เหตุใดนางถึงได้คิดฆ่าคนเพื่อปิดปากเล่า หรือกลัวว่านักพรตจะเจรจากับสวรรค์อีกครั้ง แล้วนางจะถูกจับไปเผางั้นหรือ?ไทเฮายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าองครักษ์คนนี้ก็อาจจะเ
ในเวลานี้ ทุกคนต่างเข้าใจได้อย่างชัดเจน และรู้ว่าเรื่องนี้เป็นกลอุบายใส่ร้ายฉู่เนี่ยนซีเท่านั้น ในตอนนั้นเองความวุ่นวายโกลาหลก็ได้เกิดขึ้น“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ คนผู้นี้ช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก ถึงขั้นคิดจะจับคนเผาทั้งเป็น โชคดีที่พระชายาหลีเป็นคนฉลาด และรู้ทันกลโกงนี้เข้าเสียก่อน”“ข้าน้อยเห็นว่าเรื่องนี้ตั้งใจเพ่งเล็งไปที่พระชายาหลี ไม่เช่นนั้นทำไมต้องพูดวันเกิดของนางออกมา ไหนจะเพ่งเล็งรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางอีก ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครกันที่มีความแค้นกับนาง และคิดแผนการที่เลวร้ายเช่นนี้ขึ้นมา”……ทุกคนต่างพากันซุบซิบ บางคนก็ด่าคนที่คิดแผนขึ้นมา บางคนชื่นชมฉู่เนี่ยนซีที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ สรุปแล้วทุกคนต่างพากันพูดถึงเหตุการณ์นี้ด้วยกันทั้งนั้นใบหน้าเหี่ยวย่นของไทเฮาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง นางคิดไม่ถึงว่าจะมีคนจงใจกล้าทำแบบนี้ และนางก็เป็นเพียงหมากที่ถูกหลอกใช้แค่นั้นฉู่เนี่ยนซีเพียงมองนางนิ่ง ๆ อย่างไม่แยแส นางไม่ใช่แม่พระ นางไม่สามารถอภัยให้กับคนที่เกือบจะเผานางทั้งเป็นได้ แต่นางก็จะไม่ผูกใจเจ็บ อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่คนที่ได้ผลกระทบจากในสังคมนี้เพียงแ
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เนี่ยนซีจึงฟาดไปที่ไหล่ของเขาหนึ่งที พลางมองดูสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย “เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออก ข้าจะดูแผลให้”เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเห็นเย่เฟยหลีถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นตรงหน้า ฉู่เนี่ยนซีก็หันหน้าหนีด้วยความเขินอาย แม้ว่าเขาจะทำอย่างองอาจ แต่ก็ยังทำให้นางอายจนต้องเบือนหน้าหนี“เสร็จแล้ว”ฉู่เนี่ยนซีหันกลับมาจับแผ่นหลังกว้างของเย่เฟยหลีไว้ แต่นางก็ไม่เขินอายอีกต่อไป เพราะร่องรอยบาดแผลจากการสู้รบในอดีตทำให้ใจของนางสั่นสะท้านนางค่อย ๆ แกะผ้าพันแผลออกทีละชั้น เมื่อแกะชั้นสุดท้าย เย่เฟยหลีก็ทนต่อความเจ็บปวดจนตัวสั่นฉู่เนี่ยนซีรีบโรยผงยาลงบนผ้าผ้าพันแผลทันที ซึ่งไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ปลดผ้าพันแผลออกได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผงยานำความเย็นแพร่ไปตามบาดแผลทั่วทั้งแผ่นหลัง เย่เฟยหลีจึงคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ช้าๆฉู่เนี่ยนซีมองไปยังบาดแผลไฟไหม้ที่สภาพดูไม่ได้“นอนลงบนเตียง ข้าจะทายาให้ท่านใหม่”“ได้”เย่เฟยหลีทำตามอย่างเชื่อฟัง เขาคว่ำตัวเหยียดยาวอยู่บนเตียงฉู่เนี่ยนซีโรยผงยาอีกขวดบนแผลให้เสมอกัน ผงยานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย
ซุนจื่อซีที่อยู่ข้าง ๆ ไทเฮา ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ท่านป้า เนื่องด้วยจื่อซีและพระชายาหลีอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าหากตระกูลไม่มีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด พวกเขาก็จะไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรีให้เติบโตมาอย่างดีเช่นนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยต้องถูกใส่ร้ายแน่นอนเพคะ ได้โปรดทรงอย่าปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องรับผิดอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะเพคะ”องค์จักรพรรดิคิดว่าเขาไม่สามารถลงโทษสนมไป๋ได้เพียงเพราะการคาดเดาของหยางเหอ แต่สนมไป๋ ล่วงเกินฉู่กุ้ยเฟยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนั่นเป็นความจริงที่แน่ชัด จึงมีรับสั่งให้สนมไป๋ถูกปรับเงินเดือนครึ่งปีและถูกกักบริเวณในตำหนักเป็นเวลาหนึ่งเดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกโดยพลการองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้เย่เหลียนและเย่เฟยหลีสืบเรื่องนี้ด้วยกัน หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายพ้นผ่าน งานเลี้ยงในพระราชวังก็สูญเสียบรรยากาศที่สนุกสนานไป องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าไทเฮาจะทรงหวาดกลัว จึงประคองไทเฮาเสด็จกลับไปยังพระตำหนักอันชิ่งเพื่อพักผ่อนทุกคนที่หมดสนุกแล้วจึงหยุดทุกอย่างและรีบพากันกลับจวนช่องว่างเล็ก ๆ ของหน้าต่างหน้าต่างสีแดงลายมังกรถูกปิดลงอย่างเงียบ ๆ อย่างไม่มีใครสังเกตเผย
ฉู่เนี่ยนซีมาอยู่ข้างกายฉู่กุ้ยเฟยร่วมกับหยางเหอ หลังจากจับชีพจรและตรวจดูให้แน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้ว ก็สั่งให้คนรับใช้นำเบาะขนห่านมาวางไว้ด้านหลังฉู่กุ้ยเฟยหยางเหอดูเหมือนจะมีอะไรจะพูด แต่นางก็ไม่กล้าพูด ทว่าเมื่อเห็นฉู่กุ้ยเฟยเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ หัวใจของนางก็เต้นรัวและสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืนทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่หยางเหอ นางหายใจเข้าลึก ๆ พลางมองตรงไปที่องค์จักรพรรดิ“โปรดทรงอภัยในความอวดดีของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่สามารถทนเห็นกุ้ยเฟยถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ เช่นนี้ได้ แม้จะเสี่ยงต่อการถูกบั่นหัว แต่หม่อมฉันก็ต้องพูดอะไรบางอย่างเพคะ”“เกิดอะไรขึ้น?”องค์จักรพรรดิทรงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและหรี่ตามองไปยังหยางเหอที่กำลังคุกเข่าด้วยใบหน้าแห่งความยุติธรรม“สนมไป๋ที่เข้ามาใหม่ไม่มีความเคารพต่อกุ้ยเฟยเลย เมื่อใดก็ตามที่ได้พบกับกุ้ยเฟย นางมักจะใช้คำพูดที่แฝงเป็นนัยเสียดสีอยู่เสมอ ไม่ก็สาปแช่งให้กุ้ยเฟยรักษาพระโอรสไว้ไม่ได้หรือไม่ก็เสียดสีว่ากุ้ยเฟยไม่คู่ควรกับตำแหน่งสูง กุ้ยเฟยไม่ต้องการโต้เถียงกับสนมไป๋จึงลืมมันไปทุกครั้งเพคะ”“สาวใช้ต่ำช้า กล้าพูดจาว่าร้ายข้าอย่างนั้นห
เย่เฟยหลีอาศัยโอกาสนี้จับมือนาง รู้สึกดีกับการตรวจดูอย่างละเอียดของอีกฝ่ายพลางพูดเสียงอ่อน “ข้าไม่เป็นไร แค่เป็นแผลนิดหน่อย หมอหลวงจ่ายยาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”“เจ้ามาดูสิ นี่มันคืออะไร?”เย่เฟยหลีพาฉู่เนี่ยนซีไปยังจุดที่เพิ่งเกิดเพลิงไหม้ พื้นถูกไฟไหม้และมีรอยดำเต็มไปหมด เก้าอี้เอียงตะแคงโดยมีขาหักไปฉู่เนี่ยนซีนั่งยอง ๆ พลางใช้นิ้วชี้ขวาสัมผัสพื้น จากนั้นยกมาที่ปลายจมูกสูดดมเบาๆ ก่อนพูดด้วยความตกใจ “มันคือดินปืน แต่ไม่ใช่ดินปืนบริสุทธิ์ มันจึงไม่ทำให้เกิดการระเบิด แค่ติดไฟเร็วเท่านั้น”“ใช่ มีคนโปรยดินปืนประเภทนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่ท้องฟ้ามืดจนมองไม่เห็น คนจึงคิดว่ามันดูเหมือนฝุ่นกรวดทั่วไป”เย่เฟยหลีเหยียดแขนออกไปประคองให้ฉู่เนี่ยนซียืนขึ้นฉู่เนี่ยนซีขึ้นไปที่ลานถงฮวาอีกครั้งและมองไปที่เครื่องมือที่ฉู่กุ้ยเฟยใช้ในการจุดไฟ มันปนเปื้อนด้วยเศษสะเก็ดไฟบางส่วน แม้จะเผาไหม้ได้ แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานและเปลวไฟก็ไม่ลุกลามมากเท่ากับดินปืนโดยทั่วไปนางยืนอยู่บนลานพลางมองไปที่เย่เฟยหลี ดวงตาของนางก็ค่อย ๆ ดูน่ากลัวมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็เยือกเย็นลงตามลมหนาว“รู้หรือไม่ว่าใครมาที่นี่บ้างก่อ
เหล่าขันทีและนางกำนัลที่รีบรุดมาพร้อมกับอ่างน้ำเย็น นำมาราดลงบนเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบ ๆ องค์จักรพรรดิและเย่เฟยหลี ทำให้เกิดเสียงน้ำสาดกระเซ็นเย่เฟยหลีไม่รู้สึกถึงความรู้สึกแสบร้อนที่แผ่นหลัง เขาจึงประคององค์จักรพรรดิลุกขึ้นยืนไทเฮาถูกนางกำนัลอาวุโสซิวเหลียงประคองมา ทว่าพระนางยังไม่หายตกใจ องค์จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นคิ้วคมเข้มของเย่เฟยหลีที่ขมวดเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด จึงทอดพระเนตรมองไปยังแผ่นหลังของเขา พบว่าอาภรณ์สีดำของเขาถูกไฟไหม้เป็นวงกว้าง และร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาถูกเปลวเพลิงเผาจนเป็นสีแดงเข้ม เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดขึ้นไปอีก“ฝ่าบาท” ฉู่กุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ รีบคุกเข่าคำนับด้วยความตื่นตระหนกเย่เหลียนตะโกนทันที “ฉู่กุ้ยเฟย นี่ท่านคิดลอบปลงพระชนม์หรือ? ท่านจงใจล่อลวงทุกคนมาที่นี่เพื่อวางแผนลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ เอาคนมา จับฉู่กุ้ยเฟยไว้!”“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำ! หม่อมฉันไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด! ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยเพคะ!”เมื่อเห็นเหล่าราชองครักษ์ในชุดเกราะเข้ามาใกล้ ฉู่กุ้ยเฟยก็ตะโกนทูลต่อองค์จักรพรรดิด้วยความตื่นกลัว“โอหัง!
ทุกคนเดินไปที่ลานถงฮวาและเห็นว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านล่าง อีกทั้งยังมีน้ำชากับผลไม้ที่จัดอย่างประณีตวางไว้ด้วยบนเวทีมีเสาไม้ห้าต้นสูงประมาณหกศอก ติดตั้งล้อมรอบมุมทั้งสี่และด้านบนตรงกลาง เสาไม้ทั้งหมดนั้นถูกพันด้วยเชือกหากมองลงมาจากหลังคาตำหนักที่อยู่ใกล้ ๆ จะรู้สึกว่าเชือกนั้นเปรียบเสมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเสาไม้ไว้แม้องค์จักรพรรดิจะทรงสับสน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตรัสถามอะไรมากนัก เพียงแค่ทรงยิ้มมุมปากแล้วตรัสกับไทเฮา “ดูเหมือนว่าฉู่กุ้ยเฟยจะมีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ เสด็จแม่ทรงนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขันทีและนางกำนัลมาช่วยบรรดาผู้เป็นนายหาที่นั่งเพื่อไม่ให้ทุกคนพากันสับสนวุ่นวายนางกำนัลผู้น้อยจัดให้เย่เฟยหลีและฉู่เนี่ยนซีนั่งด้วยกันที่ฝั่งหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะได้นั่งลง ก็เห็นหลานชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เย่หลิงเอ๋อร์เดินมาเชิญฉู่เนี่ยนซีไปพูดคุยหลานชุ่ยมาเชิญนางด้วยตนเอง คงจะไม่มีเรื่องหลอกลวง ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่เฟยหลีอย่างสบายใจ หลังจากทำความเคารพองค์จักรพรรดิและไทเฮา นางก็ตามหลานชุ่ยไปทันใดนั้น ลานถงฮวาก็สว่างขึ้นมาก ทุกคนเงยหน้าเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบห
“ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ ช่วงนี้เราเข้ากันได้ดี นางอ่อนโยน มีน้ำใจและใฝ่เรียนใฝ่รู้ ข้าชอบนางมาก ดีที่มีนางอยู่ที่จวนแห่งนี้ ข้าจึงคลายความเบื่อลงไปได้บ้าง”สิ่งที่ฉู่เนี่ยนซีพูดนั้นเป็นความจริง ตอนแรกนางสงสัยในเจตนาของซุนจื่อซีที่ช่วยนางจากการตกน้ำ แต่ตอนที่นางตกจากรถม้า ซุนจื่อซีกลับไม่ห่วงตนเองและเอาตัวมารองรับนางไว้ ช่างเป็นสตรีที่จิตใจงามอย่างแท้จริงทันใดนั้น ท้องฟ้าก็สว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟ ส่องแสงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับแสงสว่างของรุ่งอรุณส่องขึ้นมาจากความมืดมิดประกายแสงนั้นส่องสว่างราวกับหมู่ดาวที่โอบล้อมภูเขาและแม่น้ำอันกว้างใหญ่ที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก รวมไปถึงป่าอันงดงามและที่ราบอันไร้ขอบเขต ทำให้ความขุ่นข้องในใจของคนสองคนจางลง และคนทั้งคู่ก็ยังได้มองดูความยิ่งใหญ่ที่พร่างพราวนี้ไปด้วยกันณ พระตำหนักเจาฮุย ซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอย่างงดงามดุจนางสวรรค์ หลังจากการแสดงสิ้นสุดลง ผู้คนในโถงยังคงตกอยู่ในภวังค์องค์จักรพรรดิทรงปรบมือใหญ่แล้วหันไปหาไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม “ทักษะการร่ายรำของจื่อซีดีขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่านางจะฝึกฝนอย่างหนักและลำบากไม่น้อย เป็นเสด็จแม่
ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ จนแทบมองเห็นแสงสว่าง เช่นนี้เขาเห็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่สุดที่ว่านั่นจากที่ใดกัน?“ท่านอ๋องชื่นชมดวงจันทร์ได้อย่างไรหรือ?”ฉู่เนี่ยนซีมองดูแสงสีเหลืองจาง ๆ ที่ขอบฟ้านั้น อย่างกับมันถูกขัดถูจนไร้ซึ่งความแวววาวเย่เฟยหลีทัดผมฉู่เนี่ยนซีไว้ข้างหลังใบหูของนาง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เพราะดวงจันทร์ที่สุกสกาวที่ว่านี้ไม่ใช่ดวงจันทร์ดวงนั้น”ฉู่เนี่ยนซีหันมาสบตาที่เป็นประกายของเย่เฟยหลี มือที่ค้างเติ่งในตอนแรกเลื่อนมาตรงแก้มของนาง เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงความร้อนที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือ เขาคลี่ยิ้มออกมาเพราะรู้ว่าฉู่เนี่ยนซีกำลังเขินอาย“ข้าได้ยินจากน้องเจ็ดว่าเจ้าคิดว่าซุนจื่อซีกับข้าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากหรือ?”เย่เฟยหลีดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน หางตาของเขาเห็นท่าทางหงุดหงิดของฉู่เนี่ยนซีพลางคิดว่าช่างน่าสนุกฉู่เนี่ยนซีแอบด่าทอเย่ฉงเฉิงในใจว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ นางพูดความในใจออกไปเพียงนิดเดียวเขาก็นำไปบอกเจ้าตัวในพริบตาเสียอย่างนั้น“ก็คิดบ้าง เป็นบางครั้ง”ฉู่เนี่ยนซีกะพริบตาและพยายามอย่างมากเพื่อรักษาท่าทางสงบนิ่งอย่างเคย นางไม่สามารถปฏิเส
เย่เฟยหลีเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าว่าเจ้ารู้จักข้าดีที่สุดไม่ใช่หรือ?”“แต่พี่สะใภ้สามไม่รู้จักท่านดีเท่าข้า หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบแก้ไขเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ช่วยท่านไม่ได้”เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังมาจากพระตำหนักเจาฮุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่างานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว เย่เฟยหลีจึงให้เย่ฉงเฉิง เรียกฉู่เนี่ยนซีมาที่นี่เพราะเขามีเรื่องจะพูดกับนางเย่ฉงเฉิงรับคำสั่งแล้วจากไป ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องจัดงาน เขาก็เห็นซุนจื่อซีกำลังร่ายรำอยู่อย่างอ่อนช้อย นางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงราวกับดอกเหมยที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ท่ามกลางหิมะขาว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งเขาหันไปด้านข้างและกระซิบกับฉู่เนี่ยนซี “พี่สะใภ้สาม พี่สามกำลังรอท่านอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของ พระตำหนักเจาฮุย ท่านรีบไปเถิด”ฉู่เนี่ยนซีเหลือบมองเย่ฉงเฉิงอย่างสงสัยและบอกให้เสี่ยวเถารออยู่ที่นี่ หากใครถามหาก็บอกว่านางออกไปเดินรับลมข้างนอกให้สร่างเมาในห้องจัดงาน ซุนจื่อซีออกท่วงท่าราวกับต้นหลิวที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขาอย่างเพลินใจ ชายแขนเสื้อในมือของนางกระพือเบา ๆ แขนเรียวยาวใต้เสื้อคดเคี้ยวราวกับดอกบ๊วยแดงที่ล่องลอยในอากาศแต่ไม่ว่านางจะพย