“ข้าหัวเราะไทเฮาและนายท่านต่างหาก คนหนึ่งเชื่อในพระเจ้า อีกคนไม่เชื่อในพระเจ้า” แววตาของนางเต็มไปด้วยการประชดประชัน คำพูดที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยการเหน็บแนม“เจ้าหมายความว่าไง!” ชายชราหนวดเครายาวถลึงตาจ้องมองด้วยความโกรธ“แน่นอนว่าไทเฮาคิดว่าท่านเป็นผู้ส่งสารของเหล่าเทพเทวดา แต่ความจริงท่านก็เป็นเพียงแค่นักต้มตุ๋นพูดจาไร้สาระ การที่ท่านกล้าจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่งในนามของสวรรค์แบบนี้ก็หมายความว่า ตัวท่านเองก็ไม่ได้เชื่อในเทพเทวดาที่ไหนเลย ข้าพูดผิดตรงไหน?”ฉู่เนี่ยนซีลุกขึ้นยืนตัวตรงก่อนจะมองหน้าทุกคนในที่นั้นโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว นางเป็นคนแรกเลยที่กล้าประชดเสียดสีไทเฮาสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่าสีหน้าของแต่ละคนในที่นี้เป็นอย่างไรในเวลานั้นเลือดก็ขึ้นหน้าชายชราในทันที ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้าง ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจหนึ่งก็รู้สึกละอายท่าทีที่ฉู่เนี่ยนซีมองเขา จากนั้นแสงความเจ้าเล่ห์ก็แวบผ่านดวงตาไป เฮ้อ ถึงเวลาต้องชดใช้!“อั่ก…”ทันใดนั้นเอง นักพรตก็ล้มลงกับพื้น เอามือทั้งสองกุมหน้าท้องและโอดครวญ ใบหน้าของเขาเหยเกเพราะความเจ็บปวดเมื่อทุกคนได้เห็นภาพนี้ ต่างพากันยืดคอมองไปรอบ ๆ
ชายชราเครายาวยังคงนอนทุรนทุรายอยู่ที่พื้น สองมือของเขากุมท้องเอาไว้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงจากหน้าผากของเขาเขาต้มตุ๋นผู้คนเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์อะไรเลย เขารู้ว่าคนที่เป็นตัวการในเรื่องนี้จะต้องเป็นสตรีนางนี้แน่แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขาเจ็บปวดราวกับมีมดนับพันรุมกัดกินท้องของเขาอยู่ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองนางด้วยความขมขื่นฉู่เนี่ยนซีทำราวกับมองไม่เห็นและถอนหายใจอย่างหนักด้วยความจนปัญญา“เฮ้อ…ช่างเถิด ใครใช้ให้ข้าใจดีกัน แม้ว่าตัวข้าจะรักษาท่านไม่ได้ แต่สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้อยู่ ถ้าเจ้าเห็นด้วยก็พยายามพยักหน้าหน่อย”ฉู่เนี่ยนซีในตอนนี้มีความดีที่หาได้ยากจากคนอื่น หลายคนมักตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง แต่นางเป็นคนส่วนน้อยที่ตอบแทนความเกลียดชังด้วยความเมตตาสิ่งที่นางทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่มีไม่กี่คนที่จะทำนักพรตที่ได้ยินฉู่เนี่ยนซีเอ่ยดังนั้นก็รีบพยักหน้าด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามีฉู่เนี่ยนซีเดินไปหาเขาแล้วนั่งยอง ๆ ลง เข็มเงินสองสามเล่มก็ตกลงในมือนาง“วันนี้ข้ายังปลอดภัยสบายดี เจ้าก็จะสบายใจได้อยู่ แต่ไม่รับ
“จับเขาไว้!”เสียงของจักรพรรดิดังขึ้น เย่เฟยหลีจึงรีบไปด้านหน้าเพื่อหยุดคนที่ลอบสังหาร แต่มุมปากของเขากำลังขยับ เลือดสดได้ไหลออกมาจากมุมปากของเขา และเขาก็ล้มลงไปกับพื้น“เขาโดนพิษ” สีหน้าของเย่เฟยหลีหม่นลง และเสียงของเขาก็เย็นชามากขึ้นฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปที่ฮองเฮา เห็นเพียงมุมปากของนางที่ยกยิ้มขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความสะใจฉู่เนี่ยนซีกำหมัดทั้งสองข้างแน่น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญสมกับที่เป็นนางจริง ๆ ไม่แยแสต่ออะไรทั้งนั้น“ดูเหมือนว่า อาการบาดเจ็บอย่างกระทันหันของนักพรตจะมีสาเหตุมาจากองครักษ์คนนี้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้เราควรทำเช่นไรดี ท่านนักพรตยังไม่ทันได้อธิบายให้ชัดเจนเลย” ฮองเฮายกมือปิดปาก ก่อนจะมองไปยังไทเฮาตอนนี้ไทเฮาก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฮองเฮาพูดก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือว่าองครักษ์คนนี้จะเป็นคนของฉู่เนี่ยนซี หรือนี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้นักพรตโดนบทลงโทษของสวรรค์?เหตุใดนางถึงได้คิดฆ่าคนเพื่อปิดปากเล่า หรือกลัวว่านักพรตจะเจรจากับสวรรค์อีกครั้ง แล้วนางจะถูกจับไปเผางั้นหรือ?ไทเฮายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าองครักษ์คนนี้ก็อาจจะเ
ในเวลานี้ ทุกคนต่างเข้าใจได้อย่างชัดเจน และรู้ว่าเรื่องนี้เป็นกลอุบายใส่ร้ายฉู่เนี่ยนซีเท่านั้น ในตอนนั้นเองความวุ่นวายโกลาหลก็ได้เกิดขึ้น“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ คนผู้นี้ช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก ถึงขั้นคิดจะจับคนเผาทั้งเป็น โชคดีที่พระชายาหลีเป็นคนฉลาด และรู้ทันกลโกงนี้เข้าเสียก่อน”“ข้าน้อยเห็นว่าเรื่องนี้ตั้งใจเพ่งเล็งไปที่พระชายาหลี ไม่เช่นนั้นทำไมต้องพูดวันเกิดของนางออกมา ไหนจะเพ่งเล็งรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางอีก ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครกันที่มีความแค้นกับนาง และคิดแผนการที่เลวร้ายเช่นนี้ขึ้นมา”……ทุกคนต่างพากันซุบซิบ บางคนก็ด่าคนที่คิดแผนขึ้นมา บางคนชื่นชมฉู่เนี่ยนซีที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ สรุปแล้วทุกคนต่างพากันพูดถึงเหตุการณ์นี้ด้วยกันทั้งนั้นใบหน้าเหี่ยวย่นของไทเฮาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง นางคิดไม่ถึงว่าจะมีคนจงใจกล้าทำแบบนี้ และนางก็เป็นเพียงหมากที่ถูกหลอกใช้แค่นั้นฉู่เนี่ยนซีเพียงมองนางนิ่ง ๆ อย่างไม่แยแส นางไม่ใช่แม่พระ นางไม่สามารถอภัยให้กับคนที่เกือบจะเผานางทั้งเป็นได้ แต่นางก็จะไม่ผูกใจเจ็บ อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่คนที่ได้ผลกระทบจากในสังคมนี้เพียงแ
จากนั้นเขาก็มองตรงไปและโค้งคำนับทำความเคารพ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”“ส่วนฉู่เนี่ยนซีที่กล้าพูดและเสนอคำแนะนำ เจ้าจะได้ป้ายทองคำเป็นรางวัลพิเศษ ป้ายทองก็เหมือนตัวแทนของจักรพรรดิ เจ้ามีสิทธิ์เข้าออกวังได้ตลอดเมื่อมีป้ายนั้น ไม่ต้องเกรงกลัวศาลอาญา ไม่ต้องคุกเข่าเคารพต่อศาล”ฉู่เนี่ยนซีตกใจและรีบมองไปยังจักรพรรดิ จึงเห็นว่าจักรพรรดิกำลังยิ้มอยู่ และหยิบป้ายทองออกมายื่นให้นาง “รีบรับไปสิ!”ฉู่เนี่ยนซีจึงเริ่มตอบสนอง สองมือยื่นไปรับป้ายทองนั้นไว้ คิดถึงเรื่องที่หลังจากนี้ไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพใครอีก รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฎได้ยากก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากนาง “ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิเพคะ”“ทุกคนจงลุกขึ้น งานเลี้ยงพระราชวังเสร็จสิ้นลงแล้ว!”“ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี”จากนั้นจักรพรรดิก็เสด็จขึ้นรถม้า โดยมีกลุ่มคนคอยตามอยู่ด้านหลังเนื่องจากครั้งนี้ไทเฮาไม่ได้อยู่ที่นี่ตัวเด่นของงานเลี้ยงจึงเปลี่ยนจากไทเฮาเป็นตระกูลฉู่แทนรอบกายของฉู่เนี่ยนซีมีคนทยอยกันมาดื่มอวยพรให้ แม้ว่าเย่เฟยหลีจะกันออกไปไม่น้อยแล้ว แต่ความหิวและกระหายของฉู่เนี่ยนซีนับว่าไม่อาจควบคุมได้เลย นางดื่มสุราไปแก้วแล้วแก้
ฉู่เนี่ยนซีดูเหมือนจะหลับไม่สบาย ส่งเสียงงึมงำ เอาหัวมาถูกับไหล่ของเขา อีกทั้งขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนของหายและสุดท้ายก็เลื่อนจากหัวไหล่ลงไปนอนบนตักเขา จากนั้นก็ยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ คิ้วที่ขมวดมุ่นจึงคลายลงมือของเย่เฟยหลีค้างอยู่กลางอากาศตลอดเวลา เฝ้าดูนางทุกการเคลื่อนไหว เมื่อเย่เฟยหลีเห็นนางนอนอยู่บนตักของเขา ประสาทสัมผัสทั้งหมดในร่างกายของเย่เฟยหลีก็เริ่มเกร็งขึ้นมา เนื่องจากเสื้อผ้าฤดูร้อนที่เบาบาง ประกอบกับลมหายใจอุ่น ๆ ของนางที่เกือบจะทะลุผ่านผ้าและซึมเข้าสู่ผิวหนังบริเวณช่องท้องน้อย ทำให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านไปเกือบทั่วร่างกายของเขา จู่ ๆ จังหวะหายใจของเย่เฟยหลีก็เริ่มผิดปกติ เขาสูดหายใจเข้าแรง ๆ ความปรารถนาค่อย ๆ บังเกิดขึ้นในดวงตาของเขา “ให้ตายเถอะ!” เย่เฟยหลีสบถเล็กน้อยและพยายามขยับศีรษะของนางออกไป ขณะนั้นก็มีเสียงดัง ‘ฟิ้ว’ ของลูกดอกผ่านหน้าของเขาไปและปักอยู่บนผนังของรถม้าอย่างแรง ทันใดนั้น เย่เฟยหลีก็ตื่นตัว เขากลั้นหายใจ และแตะใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีเบา ๆ พยายามปลุกนางให้ตื่น ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกถึงสัมผัสบนใบหน้าของนาง ก็ปัดมือเขาออกแล้วทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ “อืม
“หึ ไม่คิดว่าท่านอ๋องหลีจะมีรสนิยมแบบนี้ สตรีหน้าตาเช่นนี้ก็ยังจะลิ้มรสลง หลังจากจัดการท่านแล้ว ข้าก็จะส่งสตรีในอ้อมแขนของท่านตามกันไปด้วย เหล่าพี่น้องเอ๋ย จัดการมันเสีย!” พูดจบ ชายสวมหน้ากากก็ขยับมือเป็นสัญญาณให้โจมตีอีกครา เย่เฟยหลีต่อสู้กับพวกเขาอีกครั้ง ก่อนใช้แรงอันทรงพลังเตะคนคนหนึ่งให้ล้มลงกับพื้นภายในหนเดียว จากนั้นจึงหยิบมีดขึ้นมาจากพื้นและแทงเข้าไปตรงกลางอกของเขาอย่างแรง ดวงตาที่พร่ามัวของฉู่เนี่ยนซีเบิกกว้างขึ้น นางมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา และสร่างเมาไปกว่าครึ่งของที่เคย “คะ...คนพวกนี้...” เย่เฟยหลีรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของคนในอ้อมแขน แต่ก็ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขากระซิบว่า “เราถูกลอบสังหาร เจ้าสร่างเมาแล้วหรือ? อีกเดี๋ยวข้าจะปล่อยเจ้าลง หลังจากนั้นเจ้าก็วิ่งไปทางใต้ซะ ข้าจะถ่วงเวลาคนพวกนี้ไว้ให้” แม้ว่าฉู่เนี่ยนซียังคงเวียนหัวเล็กน้อย แต่สติสัมปชัญญะของนางก็คืนกลับมาได้บ้างแล้ว “ปล่อยข้าลง เราจะจัดการกับพวกมันด้วยกัน” ขณะที่นางพูด จิตใจของนางก็รู้สึกวูบวาบ จึงหยิบยาแก้เมาค้างออกมาจากความว่างเปล่าแล้วโยนใส่ปาก จากนั้นก็โยนยาอีกเม็ดใส่ปากของเ
เหมือนฉู่เนี่ยนซีรู้ว่าเขาจะพูดอะไร จึงตอบทันทีว่า “ข้าจะไม่ไปไหน ไม่ต้องคิดเรื่องนี้แล้ว” “พิษในร่างกายอาจทำให้ท่านใช้แรงไม่ได้อีกต่อไป ข้ายังมีเข็มยาสลบนับสิบเล่ม หลังจากปล่อยเข็มโจมตีแล้วเราจะวิ่งเข้าไปในป่าลึกด้วยกันและหาที่ซ่อน” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวพลางจับมือของเย่เฟยหลีเอาไว้ เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่มือของตัวเอง แววตาก็อบอุ่นอบอุ่นก็เด่นชัดขึ้นมา เขาก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ “วิ่ง!” ฉู่เนี่ยนซีตะโกนเสียงดังทันทีที่เข็มเงินหลุดออกไปจากมือของนาง เย่เฟยหลีจับนางไว้แน่นแล้ววิ่งไปยังป่าลึกด้วยกัน ชายสวมหน้ากากหลีกเลี่ยงการถูกเข็มเงินโจมตี จากนั้นจึงตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด ทั้งสองคนวิ่งไปข้างหน้าพลางสังเกตพื้นที่รอบข้างไปด้วย ด้วยความที่ฉู่เนี่ยนซีเมา นางจึงรู้สึกว่าเท้าของตัวเองอ่อนแรงลงเล็กน้อยหลังจากวิ่งมาระยะหนึ่งและเกือบจะล้มลงหลายครั้ง โชคดีที่เย่เฟยหลีคอยสังเกตสีหน้าของนางและจับนางไว้ได้ทัน ก่อนที่นางจะล้ม แต่พิษในร่างกายของเย่เฟยหลีก็แพร่กระจายไปทีละนิด หากไม่ใช่เพราะความอดทนอันน่าทึ่งและความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของตัวเอง เขาคงล้มไปนานแล้ว เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยิ