“จับเขาไว้!”เสียงของจักรพรรดิดังขึ้น เย่เฟยหลีจึงรีบไปด้านหน้าเพื่อหยุดคนที่ลอบสังหาร แต่มุมปากของเขากำลังขยับ เลือดสดได้ไหลออกมาจากมุมปากของเขา และเขาก็ล้มลงไปกับพื้น“เขาโดนพิษ” สีหน้าของเย่เฟยหลีหม่นลง และเสียงของเขาก็เย็นชามากขึ้นฉู่เนี่ยนซีขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปที่ฮองเฮา เห็นเพียงมุมปากของนางที่ยกยิ้มขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความสะใจฉู่เนี่ยนซีกำหมัดทั้งสองข้างแน่น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญสมกับที่เป็นนางจริง ๆ ไม่แยแสต่ออะไรทั้งนั้น“ดูเหมือนว่า อาการบาดเจ็บอย่างกระทันหันของนักพรตจะมีสาเหตุมาจากองครักษ์คนนี้ด้วยเช่นกัน ตอนนี้เราควรทำเช่นไรดี ท่านนักพรตยังไม่ทันได้อธิบายให้ชัดเจนเลย” ฮองเฮายกมือปิดปาก ก่อนจะมองไปยังไทเฮาตอนนี้ไทเฮาก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฮองเฮาพูดก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือว่าองครักษ์คนนี้จะเป็นคนของฉู่เนี่ยนซี หรือนี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้นักพรตโดนบทลงโทษของสวรรค์?เหตุใดนางถึงได้คิดฆ่าคนเพื่อปิดปากเล่า หรือกลัวว่านักพรตจะเจรจากับสวรรค์อีกครั้ง แล้วนางจะถูกจับไปเผางั้นหรือ?ไทเฮายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าองครักษ์คนนี้ก็อาจจะเ
ในเวลานี้ ทุกคนต่างเข้าใจได้อย่างชัดเจน และรู้ว่าเรื่องนี้เป็นกลอุบายใส่ร้ายฉู่เนี่ยนซีเท่านั้น ในตอนนั้นเองความวุ่นวายโกลาหลก็ได้เกิดขึ้น“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ คนผู้นี้ช่างมีจิตใจที่โหดเหี้ยมยิ่งนัก ถึงขั้นคิดจะจับคนเผาทั้งเป็น โชคดีที่พระชายาหลีเป็นคนฉลาด และรู้ทันกลโกงนี้เข้าเสียก่อน”“ข้าน้อยเห็นว่าเรื่องนี้ตั้งใจเพ่งเล็งไปที่พระชายาหลี ไม่เช่นนั้นทำไมต้องพูดวันเกิดของนางออกมา ไหนจะเพ่งเล็งรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางอีก ไม่รู้จริง ๆ ว่าใครกันที่มีความแค้นกับนาง และคิดแผนการที่เลวร้ายเช่นนี้ขึ้นมา”……ทุกคนต่างพากันซุบซิบ บางคนก็ด่าคนที่คิดแผนขึ้นมา บางคนชื่นชมฉู่เนี่ยนซีที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดมีไหวพริบ สรุปแล้วทุกคนต่างพากันพูดถึงเหตุการณ์นี้ด้วยกันทั้งนั้นใบหน้าเหี่ยวย่นของไทเฮาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง นางคิดไม่ถึงว่าจะมีคนจงใจกล้าทำแบบนี้ และนางก็เป็นเพียงหมากที่ถูกหลอกใช้แค่นั้นฉู่เนี่ยนซีเพียงมองนางนิ่ง ๆ อย่างไม่แยแส นางไม่ใช่แม่พระ นางไม่สามารถอภัยให้กับคนที่เกือบจะเผานางทั้งเป็นได้ แต่นางก็จะไม่ผูกใจเจ็บ อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่คนที่ได้ผลกระทบจากในสังคมนี้เพียงแ
จากนั้นเขาก็มองตรงไปและโค้งคำนับทำความเคารพ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”“ส่วนฉู่เนี่ยนซีที่กล้าพูดและเสนอคำแนะนำ เจ้าจะได้ป้ายทองคำเป็นรางวัลพิเศษ ป้ายทองก็เหมือนตัวแทนของจักรพรรดิ เจ้ามีสิทธิ์เข้าออกวังได้ตลอดเมื่อมีป้ายนั้น ไม่ต้องเกรงกลัวศาลอาญา ไม่ต้องคุกเข่าเคารพต่อศาล”ฉู่เนี่ยนซีตกใจและรีบมองไปยังจักรพรรดิ จึงเห็นว่าจักรพรรดิกำลังยิ้มอยู่ และหยิบป้ายทองออกมายื่นให้นาง “รีบรับไปสิ!”ฉู่เนี่ยนซีจึงเริ่มตอบสนอง สองมือยื่นไปรับป้ายทองนั้นไว้ คิดถึงเรื่องที่หลังจากนี้ไม่ต้องคุกเข่าทำความเคารพใครอีก รอยยิ้มจริงใจที่ปรากฎได้ยากก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากนาง “ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิเพคะ”“ทุกคนจงลุกขึ้น งานเลี้ยงพระราชวังเสร็จสิ้นลงแล้ว!”“ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี”จากนั้นจักรพรรดิก็เสด็จขึ้นรถม้า โดยมีกลุ่มคนคอยตามอยู่ด้านหลังเนื่องจากครั้งนี้ไทเฮาไม่ได้อยู่ที่นี่ตัวเด่นของงานเลี้ยงจึงเปลี่ยนจากไทเฮาเป็นตระกูลฉู่แทนรอบกายของฉู่เนี่ยนซีมีคนทยอยกันมาดื่มอวยพรให้ แม้ว่าเย่เฟยหลีจะกันออกไปไม่น้อยแล้ว แต่ความหิวและกระหายของฉู่เนี่ยนซีนับว่าไม่อาจควบคุมได้เลย นางดื่มสุราไปแก้วแล้วแก้
ฉู่เนี่ยนซีดูเหมือนจะหลับไม่สบาย ส่งเสียงงึมงำ เอาหัวมาถูกับไหล่ของเขา อีกทั้งขมวดคิ้วทำหน้าเหมือนของหายและสุดท้ายก็เลื่อนจากหัวไหล่ลงไปนอนบนตักเขา จากนั้นก็ยิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ คิ้วที่ขมวดมุ่นจึงคลายลงมือของเย่เฟยหลีค้างอยู่กลางอากาศตลอดเวลา เฝ้าดูนางทุกการเคลื่อนไหว เมื่อเย่เฟยหลีเห็นนางนอนอยู่บนตักของเขา ประสาทสัมผัสทั้งหมดในร่างกายของเย่เฟยหลีก็เริ่มเกร็งขึ้นมา เนื่องจากเสื้อผ้าฤดูร้อนที่เบาบาง ประกอบกับลมหายใจอุ่น ๆ ของนางที่เกือบจะทะลุผ่านผ้าและซึมเข้าสู่ผิวหนังบริเวณช่องท้องน้อย ทำให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านไปเกือบทั่วร่างกายของเขา จู่ ๆ จังหวะหายใจของเย่เฟยหลีก็เริ่มผิดปกติ เขาสูดหายใจเข้าแรง ๆ ความปรารถนาค่อย ๆ บังเกิดขึ้นในดวงตาของเขา “ให้ตายเถอะ!” เย่เฟยหลีสบถเล็กน้อยและพยายามขยับศีรษะของนางออกไป ขณะนั้นก็มีเสียงดัง ‘ฟิ้ว’ ของลูกดอกผ่านหน้าของเขาไปและปักอยู่บนผนังของรถม้าอย่างแรง ทันใดนั้น เย่เฟยหลีก็ตื่นตัว เขากลั้นหายใจ และแตะใบหน้าของฉู่เนี่ยนซีเบา ๆ พยายามปลุกนางให้ตื่น ฉู่เนี่ยนซีรู้สึกถึงสัมผัสบนใบหน้าของนาง ก็ปัดมือเขาออกแล้วทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ “อืม
“หึ ไม่คิดว่าท่านอ๋องหลีจะมีรสนิยมแบบนี้ สตรีหน้าตาเช่นนี้ก็ยังจะลิ้มรสลง หลังจากจัดการท่านแล้ว ข้าก็จะส่งสตรีในอ้อมแขนของท่านตามกันไปด้วย เหล่าพี่น้องเอ๋ย จัดการมันเสีย!” พูดจบ ชายสวมหน้ากากก็ขยับมือเป็นสัญญาณให้โจมตีอีกครา เย่เฟยหลีต่อสู้กับพวกเขาอีกครั้ง ก่อนใช้แรงอันทรงพลังเตะคนคนหนึ่งให้ล้มลงกับพื้นภายในหนเดียว จากนั้นจึงหยิบมีดขึ้นมาจากพื้นและแทงเข้าไปตรงกลางอกของเขาอย่างแรง ดวงตาที่พร่ามัวของฉู่เนี่ยนซีเบิกกว้างขึ้น นางมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา และสร่างเมาไปกว่าครึ่งของที่เคย “คะ...คนพวกนี้...” เย่เฟยหลีรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของคนในอ้อมแขน แต่ก็ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขากระซิบว่า “เราถูกลอบสังหาร เจ้าสร่างเมาแล้วหรือ? อีกเดี๋ยวข้าจะปล่อยเจ้าลง หลังจากนั้นเจ้าก็วิ่งไปทางใต้ซะ ข้าจะถ่วงเวลาคนพวกนี้ไว้ให้” แม้ว่าฉู่เนี่ยนซียังคงเวียนหัวเล็กน้อย แต่สติสัมปชัญญะของนางก็คืนกลับมาได้บ้างแล้ว “ปล่อยข้าลง เราจะจัดการกับพวกมันด้วยกัน” ขณะที่นางพูด จิตใจของนางก็รู้สึกวูบวาบ จึงหยิบยาแก้เมาค้างออกมาจากความว่างเปล่าแล้วโยนใส่ปาก จากนั้นก็โยนยาอีกเม็ดใส่ปากของเ
เหมือนฉู่เนี่ยนซีรู้ว่าเขาจะพูดอะไร จึงตอบทันทีว่า “ข้าจะไม่ไปไหน ไม่ต้องคิดเรื่องนี้แล้ว” “พิษในร่างกายอาจทำให้ท่านใช้แรงไม่ได้อีกต่อไป ข้ายังมีเข็มยาสลบนับสิบเล่ม หลังจากปล่อยเข็มโจมตีแล้วเราจะวิ่งเข้าไปในป่าลึกด้วยกันและหาที่ซ่อน” ฉู่เนี่ยนซีกล่าวพลางจับมือของเย่เฟยหลีเอาไว้ เย่เฟยหลีรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่มือของตัวเอง แววตาก็อบอุ่นอบอุ่นก็เด่นชัดขึ้นมา เขาก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ “วิ่ง!” ฉู่เนี่ยนซีตะโกนเสียงดังทันทีที่เข็มเงินหลุดออกไปจากมือของนาง เย่เฟยหลีจับนางไว้แน่นแล้ววิ่งไปยังป่าลึกด้วยกัน ชายสวมหน้ากากหลีกเลี่ยงการถูกเข็มเงินโจมตี จากนั้นจึงตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด ทั้งสองคนวิ่งไปข้างหน้าพลางสังเกตพื้นที่รอบข้างไปด้วย ด้วยความที่ฉู่เนี่ยนซีเมา นางจึงรู้สึกว่าเท้าของตัวเองอ่อนแรงลงเล็กน้อยหลังจากวิ่งมาระยะหนึ่งและเกือบจะล้มลงหลายครั้ง โชคดีที่เย่เฟยหลีคอยสังเกตสีหน้าของนางและจับนางไว้ได้ทัน ก่อนที่นางจะล้ม แต่พิษในร่างกายของเย่เฟยหลีก็แพร่กระจายไปทีละนิด หากไม่ใช่เพราะความอดทนอันน่าทึ่งและความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของตัวเอง เขาคงล้มไปนานแล้ว เมื่อฉู่เนี่ยนซีได้ยิ
พูดจบ เท้านางก็ลื่นในทันที “อ๊า” นางกลิ้งไปตามทางลาดชัน เย่เฟยหลีสะดุ้ง เขารีบใช้กำลังภายในทะยานไปคว้าฉู่เนี่ยนซีมาไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างแน่นหนา ทั้งสองกลิ้งไปตามทางลาดชันด้วยกัน เย่เฟยหลีกอดฉู่เนี่ยนซีไว้แน่น ทันใดนั้นเมื่อมองไปที่พื้น และรูม่านตาของเขาก็หดตัวลงอย่างฉับพลัน ด้วยมืออันแข็งแกร่ง เขาพลิกตัวมาอยู่ใต้ร่างของฉู่เนี่ยนซี ทันทีที่ลงสู่พื้น เย่เฟยหลีก็ตัวสั่นและมีเลือดพุ่งออกมาเต็มปาก ฉู่เนี่ยนซีเงยหน้าขึ้นและเห็นเขานอนอยู่ข้างใต้นาง ดวงตาของเขาปิดสนิทและใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ทันใดนั้นรูม่านตาของนางก็ขยายออก ความกลัว ความกังวล และความรู้สึกยากอธิบาย ล้วนผสมปนเปกันภายในใจของนาง “เย่เฟยหลี…” นางเรียกชื่อเขาอย่างค่อย ๆ และใช้มือตบหน้าเขาเบา ๆ “เย่เฟยหลี ท่านตื่นสิ...” เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองใดใด นางก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น พลางวางมือที่สั่นเทาบนชีพจรของเขา ชีพจรที่อ่อนแรงทำให้นางหายใจด้วยความโล่งอกปนกังวลในเวลาเดียวกัน นางระงับอารมณ์เหล่านั้น และพยายามดึงสติกลับมา นางประคองศีรษะของเขาและค่อย ๆ พยุงเย่เฟยหลีขึ้น โดยวางแผนที่จะพาเขาไปยังสถานที่ปลอดภัย ทัน
หลังจากล้างแผลแล้ว นางใช้เข็มเงินห้ามเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้พิษแพร่กระจาย จากนั้นก็ใช้เข็มเงินเพื่อจิ้มลงตรงจุดฝังเข็มอีกครั้ง หลังจากจิ้มเข็มเงินเข้าไปในจุดฝังเข็ม ความเจ็บปวดของเย่เฟยหลีก็บรรเทาลงและสีหน้าของเขาก็เริ่มดีขึ้น ฉู่เนี่ยนซีหยิบยาแก้อักเสบและน้ำจากลำธารที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้าจากห้วงว่างเปล่าและป้อนให้เขา ผ่านไปประมาณสิบห้านาที ฉู่เนี่ยนซีก็ดึงเข็มเงินออกและทายาตามบาดแผล จากนั้นก็ค่อย ๆ ประคองให้เขาเอนนอนลงบนฟาง แม้ว่าจะควบคุมพิษไว้ได้แล้ว แต่ผลข้างเคียงจากพิษยังไม่ถูกกำจัดออกไป ประกอบกับยังมีอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเย่เฟยหลีเองแล้ว ฉู่เนี่ยนซีเหนื่อยมาทั้งวัน แต่เพราะกลัวว่าเย่เฟยหลีจะอาการกำเริบอีกครั้ง นางจึงระงับความง่วงงุนและนั่งพิงกำแพงถ้ำมองดูเขาอย่างใกล้ชิด “ท่านแม่...” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เย่เฟยหลีขมวดคิ้วขณะหลับและเริ่มพึมพำกับตัวเอง เย่เฟยหลีที่แสนฉลาดหลักแหลมผู้ที่ทำให้นางต้องรุดไปอยู่ข้าง ๆ คอยสังเกตอาการบาดเจ็บของเขา “ท่านแม่...” “เจ้าพูดอะไร?” “อย่าทิ้งลูกไป!” เย่เฟยหลีขมวดคิ้วแน่นมากกว่าเดิมและปัดป่า