มู่ซุ่นหัวเราะเหอะๆ แล้วเหงยหน้ามองหยุนเจิง“ไม่ต้องมากพิธี!”หยุนเจิงยกมือขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่ามู่ซุ่นช่างเป็นผู้รู้ความจริงๆ“ขอบพระทัยเพคะ”ทั้งกลุ่มคนจึงยืดตัวยืนตรง“ฮูหยินเสิ่น ยินดีด้วย ยินดีด้วยจริงๆ!”เมื่อมู่ซุ่นเห็นฮูหยินเสิ่นเขาจึงรีบกล่าวยินดีฮูหยินเสิ่นยินดียิ่ง รีบถามขึ้นว่า “หัวหน้ามู่เจ้าคะ มีเรื่องอันใดให้ยินดีหรือ”มู่ซุ่นลีลาเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นอีกว่า “คุณหนูเสิ่นลั่วเยี่ยนอยู่ไหนหรือ”เสิ่นลั่วเยี่ยนพอได้ยิน ก็รีบก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว “ข้าน้อยคาราวะท่านหัวหน้ามู่เจ้าค่ะ”หยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนอย่างละเอียดดวงตาสดใสฟันขาวสะอาด รูปร่างสูงเพรียวมีร่องรอยของความกล้าหาญระหว่างคิ้วนับว่าเป็นสาวงามที่ห้าวหาญ!มู่ซุ่นมองที่เสิ่นลั่วเยี่ยนแวบหนึ่ง แล้วส่งเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน “เสิ่นลั่วเยี่ยนรับราชโอการ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนตกใจค้าง รีบคุกเข่าลงรับราชโองการ“ฝ่าบาทมีราชโองการ: ตระกูลเสิ่น จงรักภักดีมิเสื่อมคลาย มีศีลธรรมอันดี สมเป็นมาตรฐานของราชวงศ์เรา! วันนี้เป็นฤกษ์ดี มีราชโองการให้พระราชทานเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นพระชายาเอกขงอองค์ชายหก เลือกวั
เสิ่นเนี่ยนฉือ!เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปที่หลานสาวของตนนี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของพี่ชายคนโตนาง!เสิ่นลั่วเยี่ยนเห็นเสิ่นเนี่ยนฉือร้องไห้โฮเพราะความตกใจ ใจนางจึงอ่อนลงเว่ยซวงรีบวิ่งไปอุ้มลูกสาวของตนมา ขอร้องน้ำตานองหน้า “ลั่วเยี่ยน พวกเราตายไม่เป็นไร แต่เนี่ยนฉือยังมีอายุไม่ถึงเจ็ดปีเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนเห็นหลานสาวมีน้ำตาอาบสองแก้ม มือที่กำหมัดแน่นของนางก็คลายออกตุ้บ!เสิ่นลั่วเยี่ยนคุกเข่าลง น้ำตาแห่งความเสียใจและความโกรธไหลผ่าน“หม่อมฉัน…รับราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”ขณะที่พูดสองประโยคนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนราวกับว่าตนได้ดึงพลังงานทั้งหมดออกจากร่างไปแล้วกระทั่งตอนที่เสิ่นลั่วเยี่ยนรับราชโองการ สีหน้าของมู่ซุ่นจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นดี“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับไปรายงานก่อน สำหรับเรื่องกำหนดวันสมรสนั้น จะแจ้งให้ทราบภายหลัง!”พูดไปมู่ซุ่นก็มองไปที่หยุนเจิง “องค์ชายหก พวกเรากลับวังกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”“หัวหน้ามู่เชิญกลับก่อนเถอะ ข้าอยากจะพูดคุยกับพวกนางสักหน่อย”หยุนเจิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “หัวหน้ามู่ คุณหนูเสิ่นตกใจจนเสียการควบคุม เรื่องในวันนี้ ขอหัวหน้ามู่รายงานเสด็
“…”เสิ่นลั่วเยี่ยนใบหน้ากระตุกอย่างคุมไม่ได้ ตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออดว่า “ใครจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ต่อให้ข้าต้องตาย ก็จะไม่ตายพร้อมกับเจ้า!” ต้องขนาดนี้เลยหรือ?ยัยเด็กโง่นี่!แค่หยอกล้อเล่นนิดหน่อย นางยังคิดถือเป็นจริงจัง?สติปัญญานาง ดูท่าแล้วคงไม่ได้สูงมากนัก?นางฝึกสมองแต่ไปขึ้นที่กล้ามเนื้อแล้วหรือไง?เสียงกบร้องระงม แมลงวันบินดังหวี่ๆ ทั้งวี่ทั้งวันไม่มีใครฟังไก่ขันเพียงยามเช้า แต่กลับปลุกสรรพสิ่งให้ตื่นจากภวังค์ได้คำพูดหากไม่มีใครฟัง ก็อย่าได้พูดพล่ามเลยหยุนเจิงลอบหัวเราะในใจ แล้วพูดหยอกล้อขึ้นอีกว่า “เสด็จพ่อได้พระราชทานงานสมรสแล้ว หากพวกเราล้วนตกตายกันไปหมด คาดว่าเสด็จพ่อคงสั่งให้คนฝังเราไว้ด้วยกัน!”เสิ่นลั่วเยี่ยนฟังคำพูดของหยุนเจิงใบหน้าก็กระตุกขึ้นมาอีกแม้กระทั่งความตายก็มิอาจพรากนางไปจากไอ้สวะนี่ได้งั้นหรือ?“เอาล่ะ”หยุนเจิงค่อยๆ ยืดตัวยืนขึ้น แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เสด็จพ่อได้ตัดสินพระทัยแล้ว ราชวงศ์เราในเวลานี้ก็มีเรื่องมากมาย พวกเจ้าก็อย่าได้ไปหาเรื่องใส่ตัวอีกเลย” กล่าวจบ หยุนเจิงก็ปลีกตัวจากไปอย่างไรเขาก็ได้เตือนพวกนางแล้วหากพวกนางยังไม่ฟั
ในวังหลวงยามวิกาล“ตรวจสอบได้ความหรือยัง”จักรพรรดิเหวินเงยประพักตร์ขึ้นจ้องถามองค์รักษ์เงา“กราบทูลฝ่าบาท ตรวจสอบได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”องค์รักษ์เงาค้อมกาย ค่อยๆ รายงานความจริงตามที่ได้สืบได้จากองครักษ์ที่จับตัวมาจากเรือนปี้ปัว“จับเข้าคุกสวรรค์?”จักรพรรดิเหวินตบไปที่กองฎีกา พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “กำเริบเสิบสานยิ่งนัก ไม่มีคำอนุญาตจากข้า แต่เจ้าสามกลับกล้าจับเจ้าหกเข้าคุกสวรรค์? มิน่าเล่า เจ้าหกจึงได้ตกใจกลัวจนมาขอความตายกับข้า!”จักรพรรดิเหวินกริ้วเป็นอย่างมาก หายใจหอบแรง“ฝ่าบาทได้โปรดคลายโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นที่รับใช้อยู่ข้างกายรีรบกล่าวเตือนอย่างเป็นห่วง “องค์ชายสามอาจจะแค่อยากหยอกล้อองค์ชายหกก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสีย คนสนิทขององครัชทายาทได้ไปหาองค์ชายหกก่อนตาย…”จักรพรรดิเหวินยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันสายตาไปมองมู่ซุ่น “เจ้าคิดว่าเจ้าหกมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขององค์รัชทยาท?”“เรื่องนี้…”มู่ซุ่นตัวกระตุกอย่างแรงแล้วรีบตอบว่า “บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่รู้? เช่นนั้นก็แปลว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะสิ?”จักรพรรดิเหวินส่งเสียงเหอะเบาๆ “หากเจ้าเป็นองค์รัชทายาท เจ้าจะคนไ
ที่พำนักของหยุนเจิงในตอนนี้ ยังเป็นที่พักที่เขาพักตั้งแต่สมัยยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำพอจักรพรรดิเหวินนึกถึงหยุนเจิง ในใจก็ลอบด่าว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ขึ้นอีกตนลืมเรื่องนี้ เขาเองก็ไม่กล้ามาทูลขอเลยหรือไง?ไร้ประโยชน์จริงๆ!หลังจากจักรพรรดิเหวินไตร่ตรองไปครู่หนึ่ง ก็มีรับสั่งไปยังมู่ซุ่น “สั่งคนให้ไปทำความสะอาดจวนของอวี๋หมิ่น ขุนนางที่มีความผิดติดตัว ทำทั้งคืนจัดการให้สะอาด รุ่งเช้าวันพรุ่งให้ไปที่เรือนปี้ปัว พระราชทานแก่หยุนเจิง! บ่าวรับใช้ในจวน ให้จัดใหม่ตามกฎมณเฑียรบาล!”…จวนองค์ชายสามมีเสียงโอดครวญดังมาจากหยุนลี่เป็นครั้งคราวสวีสือฝู่กับซูเฟยมาเยี่ยมหยุนลี่ที่จวนพอเห็นสภาพของหยุนลี่ สองพี่น้องทั้งสงสารทั้งโกรธหยุนลี่ถูกสวะอย่างหยุนเจิงทำร้าย?ที่มันเรื่องตลกระดับฟ้าสวรรค์ยังต้องหัวเราะ!นอกจากจะโกรธเคืองแล้ว สวีสือฝู่ก็อดสั่งสอนหยุนลี่ไม่ได้ว่า “เจ้าเองก็เลอะเลือน เจ้าจะใส่ความอะไรสวะอย่างหยุนเจิงก็ได้ แต่กลับไปใส่ความว่าเขาเป็นพรรคพวกขององค์รัชทายาท! คำพูดนี้พอพูดออกไป อย่าว่าแต่พวกขุนนางบู๊บุ๋นในราชสำนักเลย ตัวเจ้าเองได้ยินแล้วเจ้าเชื่องั้นรึ?”หยุนเจิงติดตา
วันรุ่งขึ้นเช้าตรู มู่ซุ่นก็มามอบราชโองการพอหยุนเจิงได้ยินรชโองการ ในใจทั้งยินดีทั้งเศร้าหมองที่ยินดีก็เพราะเขาไม่ต้องอยู่ในวังแล้ว สามารถทำอะไรในที่ลับได้บ้างแต่เขาก็กังวลว่าหากจู่ๆ จักรพรรดิเหวินรู้สึกผิดต่อตนเองขึ้นมา สมอเกิดทำงานผิดพลาด หลังพิธีสมรสก็ไม่ส่งตัวเขาไปซั่วเป่ยแล้วหากเป็นเช่นนั้น ก็แย่แล้วจริงๆ!ทว่า ต่อให้ตอนนี้เขาจะกังวลใจก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงรับราชโองการอย่างหน้าชื่นบานแม้ว่าหยุนเจิงจะอาศัยอยู่ในเรือนปี้ปัวมาหลายปี แต่ของของเขามีไม่มากแค่เก็บเพียงครู่ หยุนเจิงก็พาองครักษ์ทั้งคู่จากไปพอมาถึงจวนอวี๋ เขาเพิ่งจะพบว่าป้ายจวนอวี๋ถูกแกะลงมาแล้ว เปลี่ยนเป็นป้ายจวนองค์ชายหกพอดูป้ายชื่อแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเร่งทำขึ้นมาทั้งคืน ฝีมือไม่ประณีตเท่าไหร่ แม้แต่สีน้ำมันที่ลงทับยังไม่ทันแห้งดีเสียด้วยซำ!“รับเสด็จองค์ชายหก!”คนในจวนรีบทำการคาราวะให้มันได้อย่างนี้สิ คนไม่น้อยเลยหากรวมชายหญิงทั้งหมดแล้ว น่าจะมีสามสิบกว่าคนในคนพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสาวรับใช้กับคนสวนยังมีองครักษ์อีกหกนายทว่า คนพวกนี้คงเป็นคนที่จักรพรรดิเหวินให้คนจัดหามาให้ ในใจหยุนเจิงเกิ
พอเห็นหยุนเจิงเดินเข้ามา พวกคนในห้องก็รีบลุกขึ้นทำการคาราวะแม้กระทั่งคนที่มีนิสัยแข็งกระด้างอย่างเสิ่นลั่วเยี่ยนยังลุกขึ้นคาราวะเอ๋?หยุนเจิงประหลาดใจพวกนางเปลี่ยนนิสัยไวมาก?เมื่อวานไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท วันนี้ก็เลยยอมรับความจริงแล้ว?“ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก!”หยุนเจิงหัวเราะ สายตาของเขากวาดไปเจอชายหนุ่มที่มีราศีวีรบุรุษ “เจ้าเป็นใคร” ชายหนุ่มมีแววดูถูกพาดผ่านตาไปแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นตอบว่า “ทูลองค์ชาย ข้าหยวนกุยนายกองทหารม้าแห่งหน่วยทหารรักษาเมืองตะวันออก บิดาคือแม่ทัพหยวนฉงแห่งหน่วยทหารรักษาเมืองตะวันออก”หยวนฉง?พวกองค์ชายสาม?หยุนเจิงในใจกระตุกเมื่อวานตอนอยู่ในท้องพระโรง หยวนฉงเป็นคนที่โลดเต้นอย่างยินดีมากที่สุดคนหนึ่ง!ในเมื่อเป็นคนขององค์ชายสาม เช่นนั้นก็อย่าหาว่าตนไม่เกรงใจแล้วกัน!“ที่แท้ก็คือนายกองทหารม้าหยวนนี่เอง”หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ แล้วถามขึ้นว่า “นายกองทหารม้าหยวนวันนี้มาทำอะไรหรือ”หยวนกุยยิ้มจนคิ้วยิ้มตาม พูดขึ้นอย่างไม่เสแสร้างว่า “ขข้าได้ยินว่าคุณหนูเสิ่นอารมณ์ไม่ดี จึงได้ตั้งใจ…”“อะแฮ่มๆ…”เยี่ยจื่อกระแอมไอเบาๆ ตัด
สอนเขาขี่ม้า?หยวนกุยคิดในใจ รีบหัวเราะเหอะๆ พยักหน้ารับ “ในเมื่อองค์ชายตรัสเช่นนี้แล้ว หยวนกุยไม่กล้าไม่ทำตาม!”ดีเลย ให้เขาได้เห็นทักษะการขี่ม้าของตนหน่อย!ให้เขาเห็นว่าตัวเองนั้นใช้ไม่ได้แค่ไหน ไม่ได้เรื่องแค่ไหน!หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิเหวินพระราชทานการสมรสให้ เสิ่นลั่วเยี่ยนต้องเป็นของเขาแน่นอน!แม้ว่าตนจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อะไรไม่ได้ แต่ก็ขอตบหน้าเขาแรงๆ สักที จะได้ระบายโทสะในใจด้วย!“เช่นนั้นพวกเจ้าไปเถอะ ข้าไม่ไปแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่มีความสนใจจะไปด้วยแต่แรก ยิ่งพอหยุนเจิงหน้าด้านหน้าทนขอตามไปด้วยให้ได้ นางยิ่งไม่อยากไปกว่าเดิมนางไม่อยากเห็นหยุนเจิงแม้แต่วินาทีเดียว!เยี่ยจื่อพอได้ยิน ก็ใบ้รับประทานครู่หนึ่งแล้วรีบพูดว่า “ลั่วเยี่ยน พวกเราออกไปเดินเล่นให้สบายอารมณ์กันเถอะ! เจ้ากับองค์ชายหกจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นด้วย”ในใจเยี่ยจื่อก็ขมขื่นมากเช่นกัน ตัวนางไม่อยากให้เสิ่นลั่วเยี่ยนซวยไปด้วย จึงยอมเอาขี้เถ้ามาสุมหัวตนเอง ตอนนี้นางมาบอกว่าไม่ไปด้วย ไม่ได้เป็นการขายตนเองหรอกหรือ?นางไม่อยากเห็นหน้าคนไร้ประโยชน์คนนั้น แล้วคิดว่าตนอยากเห็นหรือไงหากมีเสิ่นลั่วเยี่
พวกเขาต่างรู้ดีว่า การนำโหวซื่อไคมาขายแบบนี้ ย่อมทำให้โหวซื่อไคมีความแค้นต่อพวกเขาแน่นอนว่าโหวซื่อไคคงไม่คิดร่วมมือกับพวกเขาอีกหากต้องการแบ่งผลประโยชน์ในครั้งนี้ ก็มีเพียงให้หยางหุยโจวเป็นผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์เท่านั้น“เรื่องนี้… ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”หยางหุยโจวรู้สึกโลภขึ้นมา แต่กลับทำเป็นวางตัวไว้ก่อนหากสามารถฟันกำไรจากพวกซูเฮ่อเหนียนอีกทาง หลังจากได้จากโหวซื่อไคไปแล้ว นั่นก็หมายความว่า ตนไม่ต้องลงทุนแม้แต่ตำลึงเดียว แต่กลับสามารถกอบโกยเงินมหาศาลได้!เงินขาวๆ กองโตเช่นนี้ จะให้ตนไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?“ใต้เท้ากล่าวอะไรเช่นนั้น!”ซูเฮ่อเหนียนหัวเราะ “หากมิใช่เพราะใต้เท้า พวกเราคงยังไม่รู้เลยว่าโหวซื่อไคมีเส้นทางทำเงินเช่นนี้! นี่เป็นสิ่งที่ใต้เท้าควรได้รับอยู่แล้ว!”“ถูกต้อง!”ซูซ่งฝู่รีบเสริม “ขอใต้เท้าอย่าได้ปฏิเสธเลย!”อืม… พวกเขากล่าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะปฏิเสธก็ใช่ที่!หยางหุยโจวรู้สึกยินดีจนแทบกลั้นไม่อยู่ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “เช่นนั้น… ข้าขอไปหารือกับโหวซื่อไคก่อน แล้วค่อยว่ากัน”สำเร็จแล้ว!ซูเฮ่อเหนียนและซูซ่งฝู่สบตากัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจตราบใดที่
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขามิได้หลอกเจ้า?”หยางหุยโจวยังคงระมัดระวัง จึงย้ำถามอีกครั้ง“แน่ใจ!”โหวซื่อไคพยักหน้าหนักแน่น “เขากล่าวว่าสามารถสอนข้าได้ต่อหน้า! รอจนข้าเรียนรู้วิธีได้แล้ว ค่อยจ่ายเงินให้เขาก็ยังไม่สาย! หากมิเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมไม่เชื่อเขาแน่!”อืม เช่นนี้ก็สมเหตุสมผลหากเป็นการสอนกันต่อหน้า ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่แต่ว่า เขาเองก็แปลกใจยิ่งนักผางลู่ซานมีวิธีการเช่นไร ถึงกล้ารับประกันว่าน้ำตาลแดงห้าจินจะได้เป็นน้ำตาลขาวหนึ่งจิน?หากเป็นเรื่องจริง นี่จะกลายเป็นเส้นทางทำเงินมหาศาลทีเดียว!“หากน้ำตาลขาวผลิตได้ง่ายเพียงนี้ เหตุใดเขาจึงมีเพียงสิบจินเท่านั้น?”หยางหุยโจวถามต่อ“เขาไม่กล้าทำอย่างเปิดเผย”โหวซื่อไคกล่าวเสียงต่ำ “ข้าเคยได้ยินเขาพูดว่า ก่อนหน้านี้เคยมีคนสนิทของหยุนเจิงหักหลัง ขายเส้นทางทำเงินมากมายออกไป! ทำให้หยุนเจิงไม่ไว้ใจผู้ใดอีก เขาจึงไม่กล้าซื้อน้ำตาลแดงมากเกินไป เกรงว่าหยุนเจิงจะสงสัย…”คนที่ทรยศหยุนเจิง?นั่นไม่ใช่จางซูหรอกหรือ?หยางหุยโจวแค่นยิ้มในใจ ไม่ซักไซ้เรื่องนี้ต่ออีก แล้วถามว่า “เจ้าขาดอยู่อีกหนึ่งแสนตำลึงเท่านั้นหรือ?”“ยังขาดอยู่อีกมาก”โหวซ
“ขอรับ!”องครักษ์ทั้งสองรับคำสั่ง แล้วเข้ามาจับกุมโหวซื่อไคทันทีโหวซื่อไคตกใจจนหน้าซีด รีรออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบร้องตะโกนออกมา “ใต้เท้า ข้า… ข้ายอมพูด! ข้าจะพูด!”เมื่อเห็นโหวซื่อไคยอมอ่อนข้อ หยางหุยโจวจึงส่งสัญญาณให้องครักษ์ปล่อยตัวเขา“ว่ามา!”หยางหุยโจวกล่าวเสียงขึงขัง แสดงอำนาจขุนนางเต็มที่“เรื่องนี้…”โหวซื่อไคลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลองกล่าวอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้า ขอเจรจาเป็นการส่วนตัวสักคราเถิด?”หยางหุยโจวพยักหน้า แล้วพาโหวซื่อไคเดินออกไปอีกทางครานี้ โหวซื่อไค “สารภาพ” อย่างว่าง่ายน้ำตาลขาวเหล่านี้ล้วนมาจากซั่วเป่ย เป็นผางลู่ซานที่ขายให้แก่เขาผางลู่ซานเป็นผู้ดูแลโรงงานทั้งหมดในซั่วเป่ย รวมถึงโรงงานผลิตน้ำตาลขาวด้วยดังนั้น ผางลู่ซานจึงแอบกักตุนและยักยอกน้ำตาลขาวไว้ไม่น้อยแต่เพราะเขาไม่กล้าออกหน้าขายเองโดยตรง จึงเลือกขายผ่านโหวซื่อไคเหตุที่เขาไม่กล้าบอกที่มาของน้ำตาลขาว ก็เพราะกลัวหยุนเจิงล่วงรู้เรื่องนี้ หากหยุนเจิงรู้เข้า ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่ผางลู่ซานก็ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง!หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดจบ โหวซื่อไคยังหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมายัดใส่มือหย
ตอนเที่ยวันรุ่งขึ้นง โหวซื่อไคถูกเชิญไปที่จวนซูซ่งฝู่อีกครั้งเพื่อดื่มสุราวันนี้ ไม่เพียงแต่มีซูซ่งฝู่และซูเฮ่อเหนียน ยังมีหยางหุยโจวร่วมอยู่ด้วยหลายคนมิได้ร่วมรับประทานอาหารกันในเรือนหลักของจวนซูซ่งฝู่ แต่เลือกไปยังศาลาเย็นในสวนหลังบ้าน ดูจากท่าทีแล้วชัดเจนว่ามีเรื่องจะพูดคุยกัน“หลานรัก ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่คือใต้เท้าหยาง หยางหุยโจว ผู้ช่วยที่ปรึกษาจวนรัชทายาท!”ซูซ่งฝู่กล่าวพลางหัวเราะ พลางแนะนำโหวซื่อไค“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าหยาง”โหวซื่อไครีบคารวะหยางหุยโจวทันที“โหวซื่อไค เจ้ายอมรับความผิดหรือไม่?”หยางหุยโจวมองโหวซื่อไคด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าฉายแววไม่พอใจเจ้ายอมรับความผิดหรือไม่?ประโยคแรกที่หยางหุยโจวเอ่ยออกมา ทำให้โหวซื่อไคถึงกับตกตะลึงโหวซื่อไคมองอย่างงุนงง “ข้าน้อยโง่เขลาเกินไป มิทราบว่าใต้เท้าหยางกล่าวถึงเรื่องใด?”“ในเมื่อเจ้าคิดจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ ข้าก็จะเตือนเจ้าให้สักหน่อย”หยางหุยโจวจ้องโหวซื่อไคด้วยสายตาเย็นเยียบ “น้ำตาลขาว!”น้ำตาลขาว?แววตาของโหวซื่อไคพลันส่องประกายความเข้าใจขึ้นมาวูบหนึ่งเข้าใจแล้วพวกเขามุ่งเป้ามาที่น้ำตาลขาวนี่เอง!นี่ช่
หลังจากออกจากตระกูลซู โหวซื่อไคก็รีบเดินทางไปยังหัวเมืองสี่ทิศเพื่อทำการซื้อขายน้ำตาลแดงหัวเมืองสี่ทิศแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาเขตของตระกูลซูโดยสมบูรณ์ การกระทำของโหวซื่อไค ย่อมไม่อาจเล็ดลอดสายตาของคนในตระกูลซูไปได้จากพฤติกรรมของโหวซื่อไค พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่า น้ำตาลขาวนั้นผลิตขึ้นจากน้ำตาลแดงที่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์เมื่อคิดถึงกำไรอันมหาศาลของน้ำตาลขาว ซูซ่งฝู่ก็รีบเรียกประชุมผู้อาวุโสทั้งหกของตระกูลซูในทันที เพื่อหารือกันว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจน้ำตาลขาวนี้ได้อย่างไรโอกาสอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว!หากมีเงินให้หา ยังนิ่งเฉยอยู่ ก็คงเป็นพวกโง่งมเต็มที!แต่ว่า โหวซื่อไคกลับปากแข็งเกินไปและที่สำคัญ ดูเหมือนว่าโหวซื่อไคจะไม่ต้องการให้ตระกูลซูเข้ามาแบ่งส่วนแบ่งในธุรกิจนี้เลย!หากต้องการเข้ามาในธุรกิจน้ำตาลขาว ก็ต้องหาทางให้โหวซื่อไคเปิดปากให้ได้ขณะที่ทุกคนกำลังหารือกันว่าจะบีบให้โหวซื่อไคพูดออกมาได้อย่างไร จู่ๆ ก็มีคนจากจวนของซูเฮ่อเหนียนรีบรุดเข้ามา เขาก้มกระซิบข้างหูซูเฮ่อเหนียนอย่างลับๆ“ว่าอย่างไรนะ!?”ซูเฮ่อเหนียนถึงกับลุกพรวดขึ้นทันที ก่อนจะลากพ่อบ้
เมื่อเห็นว่าโหวซื่อไคไม่ยอมบอกที่มาของน้ำตาลขาว ซูซ่งฝู่ก็รู้สึกไม่พอใจอีกครั้งทว่า ครั้งนี้ เขาไม่ได้แสดงออกมา“หลานชาย น้ำตาลขาวเหล่านี้ เจ้าซื้อมาด้วยเงินเท่าใด?”ซูซ่งฝู่มองน้ำตาลขาวที่โหวซื่อไคเพิ่งห่อกลับไปด้วยสายตาเป็นประกาย“อืม… ห้าร้อยตำลึง!”โหวซื่อไคกล่าวพลางยิ้มกว้างห้าร้อยตำลึง?เป็นไปได้หรือ?หากน้ำตาลขาวเพียงแค่นี้มีราคาห้าร้อยตำลึง โหวซื่อไคจะกล้าเสนออัตราดอกเบี้ยสูงถึงเพียงนี้หรือ?เขาคงตั้งใจแจ้งราคาซื้อให้สูงเกินจริงแน่!ไม่แน่ว่า ต้นทุนที่แท้จริง อาจไม่ถึงสามร้อยตำลึงด้วยซ้ำ!แต่หากขายออกไปแล้ว ของเพียงเท่านี้ อาจมีราคาถึงเจ็ดถึงแปดตำลึงทองเลยก็ได้!กำไรมหาศาล!นี่คือกำไรที่แท้จริง!ไม่น่าแปลกใจเลยที่โหวซื่อไคกล้าเสนออัตราดอกเบี้ยสูงถึงสองส่วน!ทันใดนั้น จิตใจของซูซ่งฝู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวในเมื่อสามารถทำกำไรได้มากถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดต้องให้โหวซื่อไคเป็นฝ่ายทำกำไรไปทั้งหมด? เหตุใดต้องให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยเงินกู้ แล้วรับเพียงดอกเบี้ยสองส่วน?แม้ว่าดอกเบี้ยสองส่วนจะสูงมากก็จริง แต่เมื่อเทียบกับกำไรของโหวซื่อไคแล้ว ยังห่างชั้นกันมาก!ใครกันจะไม่อยากห
แต่สิ่งสำคัญคือ ทำธุรกิจอะไรถึงได้กำไรงามขนาดนั้น?ธุรกิจแบบไหนกัน ที่ทำให้โหวซื่อไคมั่นใจถึงเพียงนี้ ว่าจะสามารถหาเงินคืนทั้งต้นทั้งดอกได้ภายในหนึ่งเดือน!?“หลานชาย บอกลุงได้หรือไม่ว่า เจ้าไปทำธุรกิจอะไรกันแน่?”ซูซ่งฝู่เริ่มสนใจขึ้นมา “หากธุรกิจนี้ทำกำไรได้ดี ท่านลุงเองก็อยากมีส่วนร่วมกับเจ้าสักหน่อย”“เอ่อ…”โหวซื่อไคแสดงสีหน้าลำบากใจ ลังเลอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงใจ “ไม่ปิดบังท่านลุง เรื่องนี้ทำกำไรได้มากจริงๆ! มิใช่ว่าหลานไม่อยากบอกท่านลุง เพียงแต่ว่าหลานให้สัญญากับผู้อื่นไว้ ว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หากเปิดเผยออกไป หลานอาจถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ”“ถึงแก่ชีวิต?”ธุรกิจอะไร ถึงกับต้องเสี่ยงหัวขาด!?ซูซ่งฝู่ยิ่งรู้สึกสงสัยและอยากรู้มากขึ้นกว่าเดิมซูซ่งฝู่หัวเราะเบาๆ มองโหวซื่อไคด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “วางใจเถิด ท่านลุงเองก็ผ่านโลกมามากพอ ย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี! หากเจ้าบอกข้า ข้านอกจากจะช่วยเก็บเป็นความลับให้ ยังสามารถช่วยตรวจสอบให้ว่าเจ้าจะไม่ถูกหลอกอีกด้วย”“เอ่อ…”โหวซื่อไคยังคงลังเลชัดเจน ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ“อะไรกัน! เจ้ายังไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ?”ซู
สามวันให้หลัง โหวซื่อไคเดินทางถึงจวีผิงสิ่งแรกที่โหวซื่อไคทำเมื่อมาถึง ก็คือไปเยี่ยมเยียนตระกูลซูตระกูลโหวและตระกูลซูมีความสัมพันธ์ด้านการค้าขายต่อกันไม่น้อย ดังนั้นตระกูลซูจึงให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นซูซ่งฝู่ หนึ่งในผู้อาวุโสเจ็ดคนของตระกูลซู เป็นผู้มาต้อนรับโหวซื่อไค“คารวะท่านลุงซู”เมื่อโหวซื่อไคพบหน้าซูซ่งฝู่ เขารีบโค้งคำนับให้ซูซ่งฝู่หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องมากพิธี รีบเข้ามานั่งเถิด”“ขอบพระคุณท่านลุงซู”โหวซื่อไคกล่าวขอบคุณ ก่อนจะยื่นกล่องของขวัญที่สวยงามออกไป พร้อมกล่าวอย่างสุภาพว่า “ของกำนัลเล็กน้อย มิอาจแสดงความเคารพได้มาก หวังว่าท่านลุงจะรับไว้”“หลานชาย เจ้านี่ช่างเกรงใจนัก”ซูซ่งฝู่รับกล่องมา ก่อนจะสั่งให้คนชงชาให้โหวซื่อไค จากนั้นก็ยิ้มพลางถามว่า “บิดาของเจ้าสบายดีหรือไม่?”ขณะกล่าว เขาก็เปิดกล่องออกดู ภายในเป็นหยกเนื้อดีชิ้นหนึ่ง ประเมินคร่าวๆ น่าจะมีมูลค่าราวหลายร้อยตำลึงสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซูกับตระกูลโหว ของกำนัลนี้แม้มิใช่สิ่งล้ำค่ามากนัก แต่ก็ถือว่าเหมาะสมไม่น้อย!“ขอบพระคุณท่านลุงซูที่เป็นห่วง บิดาของข้าสุขสบายดี” โหวซื่อไ
หลังจากฟังคำพูดของหยุนเจิงจบ โหวซื่อไคพลันตระหนักได้ในทันทีหยุนเจิงต้องการให้เขาร่วมมือกันหลอกตระกูลซูแห่งจวีผิง!เขาไม่รู้ว่าตระกูลซูแห่งจวีผิงไปล่วงเกินหยุนเจิงอย่างไร แต่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ หากหยุนเจิงลงมือเอง ตระกูลซูแห่งจวีผิงย่อมไม่มีทางลงเอยด้วยดีดีไม่ดี ตระกูลซูแห่งจวีผิงอาจถึงขั้นล่มสลายก็เป็นได้!หากให้เขาเลือกระหว่างหยุนเจิงกับตระกูลซูแห่งจวีผิง แน่นอนว่าเขาจะเลือกช่วยหยุนเจิงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยอย่างไรก็ตาม โหวซื่อไคตอนนี้เรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นแล้วหากทำสำเร็จก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากไม่สำเร็จเล่า? เขาไม่รู้ว่าหยุนเจิงจะถือโทษโกรธเขาหรือไม่โหวซื่อไคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองหยั่งเชิงถามว่า “ท่านอ๋อง หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จเล่า…”“วางใจเถิด!” หยุนเจิงรู้ดีว่าโหวซื่อไคกังวลเรื่องใด จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตราบใดที่เจ้าทำเต็มที่แล้ว ต่อให้ไม่สำเร็จ ข้าก็จะมอบรางวัลให้เจ้าหนึ่งหมื่นตำลึง! แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด!”เช่นนั้นหรือ?หากไม่สำเร็จก็ไม่ต้องรับโทษ แถมยังได้รับหนึ่งหมื่นตำลึง?แม้ว่าหนึ่งหมื่นตำลึงจะไม่ใช่จ