เสิ่นเนี่ยนฉือ!เสิ่นลั่วเยี่ยนมองไปที่หลานสาวของตนนี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของพี่ชายคนโตนาง!เสิ่นลั่วเยี่ยนเห็นเสิ่นเนี่ยนฉือร้องไห้โฮเพราะความตกใจ ใจนางจึงอ่อนลงเว่ยซวงรีบวิ่งไปอุ้มลูกสาวของตนมา ขอร้องน้ำตานองหน้า “ลั่วเยี่ยน พวกเราตายไม่เป็นไร แต่เนี่ยนฉือยังมีอายุไม่ถึงเจ็ดปีเลย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนเห็นหลานสาวมีน้ำตาอาบสองแก้ม มือที่กำหมัดแน่นของนางก็คลายออกตุ้บ!เสิ่นลั่วเยี่ยนคุกเข่าลง น้ำตาแห่งความเสียใจและความโกรธไหลผ่าน“หม่อมฉัน…รับราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาท!”ขณะที่พูดสองประโยคนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนราวกับว่าตนได้ดึงพลังงานทั้งหมดออกจากร่างไปแล้วกระทั่งตอนที่เสิ่นลั่วเยี่ยนรับราชโองการ สีหน้าของมู่ซุ่นจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นดี“เช่นนั้นข้าก็ขอตัวกลับไปรายงานก่อน สำหรับเรื่องกำหนดวันสมรสนั้น จะแจ้งให้ทราบภายหลัง!”พูดไปมู่ซุ่นก็มองไปที่หยุนเจิง “องค์ชายหก พวกเรากลับวังกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”“หัวหน้ามู่เชิญกลับก่อนเถอะ ข้าอยากจะพูดคุยกับพวกนางสักหน่อย”หยุนเจิงยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “หัวหน้ามู่ คุณหนูเสิ่นตกใจจนเสียการควบคุม เรื่องในวันนี้ ขอหัวหน้ามู่รายงานเสด็
“…”เสิ่นลั่วเยี่ยนใบหน้ากระตุกอย่างคุมไม่ได้ ตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออดว่า “ใครจะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ต่อให้ข้าต้องตาย ก็จะไม่ตายพร้อมกับเจ้า!” ต้องขนาดนี้เลยหรือ?ยัยเด็กโง่นี่!แค่หยอกล้อเล่นนิดหน่อย นางยังคิดถือเป็นจริงจัง?สติปัญญานาง ดูท่าแล้วคงไม่ได้สูงมากนัก?นางฝึกสมองแต่ไปขึ้นที่กล้ามเนื้อแล้วหรือไง?เสียงกบร้องระงม แมลงวันบินดังหวี่ๆ ทั้งวี่ทั้งวันไม่มีใครฟังไก่ขันเพียงยามเช้า แต่กลับปลุกสรรพสิ่งให้ตื่นจากภวังค์ได้คำพูดหากไม่มีใครฟัง ก็อย่าได้พูดพล่ามเลยหยุนเจิงลอบหัวเราะในใจ แล้วพูดหยอกล้อขึ้นอีกว่า “เสด็จพ่อได้พระราชทานงานสมรสแล้ว หากพวกเราล้วนตกตายกันไปหมด คาดว่าเสด็จพ่อคงสั่งให้คนฝังเราไว้ด้วยกัน!”เสิ่นลั่วเยี่ยนฟังคำพูดของหยุนเจิงใบหน้าก็กระตุกขึ้นมาอีกแม้กระทั่งความตายก็มิอาจพรากนางไปจากไอ้สวะนี่ได้งั้นหรือ?“เอาล่ะ”หยุนเจิงค่อยๆ ยืดตัวยืนขึ้น แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เสด็จพ่อได้ตัดสินพระทัยแล้ว ราชวงศ์เราในเวลานี้ก็มีเรื่องมากมาย พวกเจ้าก็อย่าได้ไปหาเรื่องใส่ตัวอีกเลย” กล่าวจบ หยุนเจิงก็ปลีกตัวจากไปอย่างไรเขาก็ได้เตือนพวกนางแล้วหากพวกนางยังไม่ฟั
ในวังหลวงยามวิกาล“ตรวจสอบได้ความหรือยัง”จักรพรรดิเหวินเงยประพักตร์ขึ้นจ้องถามองค์รักษ์เงา“กราบทูลฝ่าบาท ตรวจสอบได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”องค์รักษ์เงาค้อมกาย ค่อยๆ รายงานความจริงตามที่ได้สืบได้จากองครักษ์ที่จับตัวมาจากเรือนปี้ปัว“จับเข้าคุกสวรรค์?”จักรพรรดิเหวินตบไปที่กองฎีกา พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “กำเริบเสิบสานยิ่งนัก ไม่มีคำอนุญาตจากข้า แต่เจ้าสามกลับกล้าจับเจ้าหกเข้าคุกสวรรค์? มิน่าเล่า เจ้าหกจึงได้ตกใจกลัวจนมาขอความตายกับข้า!”จักรพรรดิเหวินกริ้วเป็นอย่างมาก หายใจหอบแรง“ฝ่าบาทได้โปรดคลายโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”มู่ซุ่นที่รับใช้อยู่ข้างกายรีรบกล่าวเตือนอย่างเป็นห่วง “องค์ชายสามอาจจะแค่อยากหยอกล้อองค์ชายหกก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสีย คนสนิทขององครัชทายาทได้ไปหาองค์ชายหกก่อนตาย…”จักรพรรดิเหวินยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันสายตาไปมองมู่ซุ่น “เจ้าคิดว่าเจ้าหกมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขององค์รัชทยาท?”“เรื่องนี้…”มู่ซุ่นตัวกระตุกอย่างแรงแล้วรีบตอบว่า “บ่าวไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่รู้? เช่นนั้นก็แปลว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะสิ?”จักรพรรดิเหวินส่งเสียงเหอะเบาๆ “หากเจ้าเป็นองค์รัชทายาท เจ้าจะคนไ
ที่พำนักของหยุนเจิงในตอนนี้ ยังเป็นที่พักที่เขาพักตั้งแต่สมัยยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำพอจักรพรรดิเหวินนึกถึงหยุนเจิง ในใจก็ลอบด่าว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ขึ้นอีกตนลืมเรื่องนี้ เขาเองก็ไม่กล้ามาทูลขอเลยหรือไง?ไร้ประโยชน์จริงๆ!หลังจากจักรพรรดิเหวินไตร่ตรองไปครู่หนึ่ง ก็มีรับสั่งไปยังมู่ซุ่น “สั่งคนให้ไปทำความสะอาดจวนของอวี๋หมิ่น ขุนนางที่มีความผิดติดตัว ทำทั้งคืนจัดการให้สะอาด รุ่งเช้าวันพรุ่งให้ไปที่เรือนปี้ปัว พระราชทานแก่หยุนเจิง! บ่าวรับใช้ในจวน ให้จัดใหม่ตามกฎมณเฑียรบาล!”…จวนองค์ชายสามมีเสียงโอดครวญดังมาจากหยุนลี่เป็นครั้งคราวสวีสือฝู่กับซูเฟยมาเยี่ยมหยุนลี่ที่จวนพอเห็นสภาพของหยุนลี่ สองพี่น้องทั้งสงสารทั้งโกรธหยุนลี่ถูกสวะอย่างหยุนเจิงทำร้าย?ที่มันเรื่องตลกระดับฟ้าสวรรค์ยังต้องหัวเราะ!นอกจากจะโกรธเคืองแล้ว สวีสือฝู่ก็อดสั่งสอนหยุนลี่ไม่ได้ว่า “เจ้าเองก็เลอะเลือน เจ้าจะใส่ความอะไรสวะอย่างหยุนเจิงก็ได้ แต่กลับไปใส่ความว่าเขาเป็นพรรคพวกขององค์รัชทายาท! คำพูดนี้พอพูดออกไป อย่าว่าแต่พวกขุนนางบู๊บุ๋นในราชสำนักเลย ตัวเจ้าเองได้ยินแล้วเจ้าเชื่องั้นรึ?”หยุนเจิงติดตา
วันรุ่งขึ้นเช้าตรู มู่ซุ่นก็มามอบราชโองการพอหยุนเจิงได้ยินรชโองการ ในใจทั้งยินดีทั้งเศร้าหมองที่ยินดีก็เพราะเขาไม่ต้องอยู่ในวังแล้ว สามารถทำอะไรในที่ลับได้บ้างแต่เขาก็กังวลว่าหากจู่ๆ จักรพรรดิเหวินรู้สึกผิดต่อตนเองขึ้นมา สมอเกิดทำงานผิดพลาด หลังพิธีสมรสก็ไม่ส่งตัวเขาไปซั่วเป่ยแล้วหากเป็นเช่นนั้น ก็แย่แล้วจริงๆ!ทว่า ต่อให้ตอนนี้เขาจะกังวลใจก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงรับราชโองการอย่างหน้าชื่นบานแม้ว่าหยุนเจิงจะอาศัยอยู่ในเรือนปี้ปัวมาหลายปี แต่ของของเขามีไม่มากแค่เก็บเพียงครู่ หยุนเจิงก็พาองครักษ์ทั้งคู่จากไปพอมาถึงจวนอวี๋ เขาเพิ่งจะพบว่าป้ายจวนอวี๋ถูกแกะลงมาแล้ว เปลี่ยนเป็นป้ายจวนองค์ชายหกพอดูป้ายชื่อแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเร่งทำขึ้นมาทั้งคืน ฝีมือไม่ประณีตเท่าไหร่ แม้แต่สีน้ำมันที่ลงทับยังไม่ทันแห้งดีเสียด้วยซำ!“รับเสด็จองค์ชายหก!”คนในจวนรีบทำการคาราวะให้มันได้อย่างนี้สิ คนไม่น้อยเลยหากรวมชายหญิงทั้งหมดแล้ว น่าจะมีสามสิบกว่าคนในคนพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นสาวรับใช้กับคนสวนยังมีองครักษ์อีกหกนายทว่า คนพวกนี้คงเป็นคนที่จักรพรรดิเหวินให้คนจัดหามาให้ ในใจหยุนเจิงเกิ
พอเห็นหยุนเจิงเดินเข้ามา พวกคนในห้องก็รีบลุกขึ้นทำการคาราวะแม้กระทั่งคนที่มีนิสัยแข็งกระด้างอย่างเสิ่นลั่วเยี่ยนยังลุกขึ้นคาราวะเอ๋?หยุนเจิงประหลาดใจพวกนางเปลี่ยนนิสัยไวมาก?เมื่อวานไม่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท วันนี้ก็เลยยอมรับความจริงแล้ว?“ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก!”หยุนเจิงหัวเราะ สายตาของเขากวาดไปเจอชายหนุ่มที่มีราศีวีรบุรุษ “เจ้าเป็นใคร” ชายหนุ่มมีแววดูถูกพาดผ่านตาไปแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นตอบว่า “ทูลองค์ชาย ข้าหยวนกุยนายกองทหารม้าแห่งหน่วยทหารรักษาเมืองตะวันออก บิดาคือแม่ทัพหยวนฉงแห่งหน่วยทหารรักษาเมืองตะวันออก”หยวนฉง?พวกองค์ชายสาม?หยุนเจิงในใจกระตุกเมื่อวานตอนอยู่ในท้องพระโรง หยวนฉงเป็นคนที่โลดเต้นอย่างยินดีมากที่สุดคนหนึ่ง!ในเมื่อเป็นคนขององค์ชายสาม เช่นนั้นก็อย่าหาว่าตนไม่เกรงใจแล้วกัน!“ที่แท้ก็คือนายกองทหารม้าหยวนนี่เอง”หยุนเจิงหัวเราะเหอะๆ แล้วถามขึ้นว่า “นายกองทหารม้าหยวนวันนี้มาทำอะไรหรือ”หยวนกุยยิ้มจนคิ้วยิ้มตาม พูดขึ้นอย่างไม่เสแสร้างว่า “ขข้าได้ยินว่าคุณหนูเสิ่นอารมณ์ไม่ดี จึงได้ตั้งใจ…”“อะแฮ่มๆ…”เยี่ยจื่อกระแอมไอเบาๆ ตัด
สอนเขาขี่ม้า?หยวนกุยคิดในใจ รีบหัวเราะเหอะๆ พยักหน้ารับ “ในเมื่อองค์ชายตรัสเช่นนี้แล้ว หยวนกุยไม่กล้าไม่ทำตาม!”ดีเลย ให้เขาได้เห็นทักษะการขี่ม้าของตนหน่อย!ให้เขาเห็นว่าตัวเองนั้นใช้ไม่ได้แค่ไหน ไม่ได้เรื่องแค่ไหน!หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิเหวินพระราชทานการสมรสให้ เสิ่นลั่วเยี่ยนต้องเป็นของเขาแน่นอน!แม้ว่าตนจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์อะไรไม่ได้ แต่ก็ขอตบหน้าเขาแรงๆ สักที จะได้ระบายโทสะในใจด้วย!“เช่นนั้นพวกเจ้าไปเถอะ ข้าไม่ไปแล้ว!”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่มีความสนใจจะไปด้วยแต่แรก ยิ่งพอหยุนเจิงหน้าด้านหน้าทนขอตามไปด้วยให้ได้ นางยิ่งไม่อยากไปกว่าเดิมนางไม่อยากเห็นหยุนเจิงแม้แต่วินาทีเดียว!เยี่ยจื่อพอได้ยิน ก็ใบ้รับประทานครู่หนึ่งแล้วรีบพูดว่า “ลั่วเยี่ยน พวกเราออกไปเดินเล่นให้สบายอารมณ์กันเถอะ! เจ้ากับองค์ชายหกจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นด้วย”ในใจเยี่ยจื่อก็ขมขื่นมากเช่นกัน ตัวนางไม่อยากให้เสิ่นลั่วเยี่ยนซวยไปด้วย จึงยอมเอาขี้เถ้ามาสุมหัวตนเอง ตอนนี้นางมาบอกว่าไม่ไปด้วย ไม่ได้เป็นการขายตนเองหรอกหรือ?นางไม่อยากเห็นหน้าคนไร้ประโยชน์คนนั้น แล้วคิดว่าตนอยากเห็นหรือไงหากมีเสิ่นลั่วเยี่
นางเก็บคะแนนที่เคยให้หยวนกุยไปก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่คนที่มีกำลังแต่ไร้สมอง แต่โง่เง่าจริงๆ!เยี่ยจื่อมองหยวนกุยอย่างดูแคลน แล้วดึงตัวเสิ่นลั่วเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ เบาๆ เตือนให้นางเก็บอาการหน่อย“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”หยุนเจิงลุกขึ้น รีบดึงตัวโจวมี่ขึ้นมา“ขอพระทัยองค์ชายที่ทรงเป็นห่วง ข้าน้อยไม่เป็นไร”โจวมี่ปัดเศษฝุ่นบนตัว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”หยุนเจิงถอนหายใจโล่ง แล้วมองไปทางหยวนกุย “นายกองทหารม้าหยวน ครั้งหน้าที่เจ้าดันตัวข้า อย่าออกแรงเยอะเช่นนี้อีก”ออกแรง?หยวนกุยชะงักงันตนไม่ได้ออกแรงสักนิด!ก็แค่แรงปกติธรรมดเนี่ย!“บังอาจ หยวนกุยเจ้ากล้าผลักองค์ชายหกตกม้างั้นรึ?”มีเสียงดังขึ้นข้างหูหยวนกุยหยวนกุยพอได้ยิน ก็เกิดไหวพริบขึ้นมา รีบอธิบายว่า “ข้า ข้าไม่ได้ออกแรงสักนิด เป็นองค์ชายหกเองที่ตกลงไปโดยไม่ระวังตน!”“เลอะเลือน!”ใบหน้าเกาเหอเย็นดั่งน้ำค้าง “เจ้าหมายความว่าองค์ชายใส่ร้ายเจ้า?”“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!”หยุนเจิงรีบออกมาช่วยพูด หัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “ข้าว่านายกองทหารม้าหยวนก็ไม่ได้ตั้งใจ คงกะแรงไม่ถูก เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก”หยวนกุยฟังคำพูดของหยุนเจิงแล้วก็แทบจะด่
ตอนเที่ยงของวันถัดมา ผางลู่ซานสะพายห่อผ้ามาตามเวลานัด และปรากฏตัวในลานบ้านร้าง“ของทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?”ทันทีที่เข้ามา ผางลู่ซานก็เอ่ยถาม“เตรียมพร้อมหมดแล้ว!”โหวซื่อไคชี้ไปที่หม้อเหล็กใบเล็กและอุปกรณ์อื่นๆ ที่เตรียมไว้ผางลู่ซานเดินไปตรวจสอบครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งโหวซื่อไคทันทีว่า “เจ้าทิ้งคนไว้ช่วยข้าคนหนึ่ง ที่เหลือออกไปเฝ้ารอบนอก หากมีใครเข้ามา ให้รีบเตือนพวกเราโดยทันที!”“เอ่อ…”โหวซื่อไคลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพูดกับซูฮ๋วยหมินว่า “เจ้าอยู่ข้างใน ส่วนคนอื่นออกไปเฝ้าด้านนอก!”คนในตระกูลซูที่เหลือต่างไม่พอใจนักพวกเขาเองก็อยากดูให้แน่ชัดว่าผางลู่ซานใช้วิธีใดในการเปลี่ยนจากน้ำตาลอ้อยเป็นน้ำตาลขาวแต่เมื่อเห็นโหวซื่อไคส่งสายตาให้พวกเขาเป็นพัลวัน ก็จำต้องยอมรับและออกไปด้านนอกช่างเถอะ!อย่างไรเสีย ตระกูลซูก็ยังมีคนอยู่ข้างในหนึ่งคนอยู่แล้ว ไม่มีทางที่โหวซื่อไคจะเก็บความลับนี้ไว้คนเดียว!คิดเช่นนั้น พวกเขาก็เดินออกไปอย่างไม่เต็มใจนักเมื่อคนออกไปหมดแล้ว ผางลู่ซานก็เริ่มสั่งการทันทีคนหนึ่งตั้งเตาไฟ อีกคนล้างหม้อหลังจากทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ผางลู่ซานก็หยิบน้
ไม่กี่วันต่อมา โหวซื่อไคพร้อมกับคนในตระกูลซูอีกสองสามคน ได้เดินทางไปยังซั่วเป่ยพร้อมกับตั๋วเงินจำนวนมากครั้งนี้ ตระกูลซูได้ลงเงินรวมหนึ่งล้านสี่แสนตำลึงโดยหนึ่งล้านสองแสนตำลึงเป็นเงินสำหรับการร่วมลงทุนกับโหวซื่อไคเพื่อซื้อวิธีการทำน้ำตาลขาว ส่วนอีกสองแสนตำลึงนั้นถือเป็นเงินที่ตระกูลซูให้โหวซื่อไคยืมสำหรับเงินที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองแสนตำลึง คนในตระกูลซูมีความเห็นคัดค้านมากแต่โหวซื่อไคก็ยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อตามคำพูดของโหวซื่อไค เขาทุ่มเงินไม่น้อยเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผางลู่ซานแค่ความสัมพันธ์ของเขากับผางลู่ซานก็มีค่าเทียบเท่ากับเงินสองแสนตำลึงแล้วในที่สุด ภายใต้การไกล่เกลี่ยของหยางหุยโจว ตระกูลซูก็ยอมเพิ่มเงินให้อีกสองแสนตำลึงแม้ว่าตระกูลซูจะมั่งคั่งเป็นอันดับต้นๆ แต่เงินสดก็ไม่ได้มีอยู่มากนักเพื่อรวบรวมเงินให้ครบหนึ่งล้านสี่แสนตำลึง ตระกูลซูถึงกับต้องไปกู้เงินจากที่อื่นมาอีกสามแสนตำลึงคณะเดินทางข้ามด่านเป่ยลู่ไปโดยมุ่งตรงสู่เมืองหม่าอี้ แต่ไม่ได้เข้าเมือง พวกเขาตั้งหลักอยู่ในเรือนเล็กซอมซ่อแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหม่าอี้ประมาณสิบลี้พวกเขารออยู่ที่เรือนเล็กหน
อวี๋ฝูเดิมทีคิดจะรับจดหมายนั้นไว้เอง แต่ผู้ส่งจดหมายกลับยืนยันหนักแน่นว่า ผู้ที่สั่งให้เขานำจดหมายมา ได้กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า จดหมายฉบับนี้จะต้องส่งถึงมือหยุนเจิงโดยตรง!“พาเข้ามา!”หยุนเจิงสั่งไม่รู้ว่าจะเป็นจดหมายจากโหวซื่อไคหรือไม่?ไม่นาน เด็กหนุ่มผู้ส่งสารก็ถูกพาตัวเข้ามา “ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง!”“ลุกขึ้นเถิด!”หยุนเจิงยกมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ “โหวซื่อไคเป็นคนให้เจ้ามาส่งหรือ?”“ใช่ขอรับ!”เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า พร้อมกับยื่นจดหมายออกมาให้หยุนเจิงหยุนเจิงรับจดหมายมา เปิดออกอ่านอย่างรวดเร็วหลังจากกวาดตาอ่านคร่าวๆ เขาก็โล่งใจลงไม่น้อย ก่อนจะหันไปสั่งอวี๋ฝู “หาที่พักให้เขา และให้รางวัลห้าตำลึงเงิน!”“รับทราบ!”อวี๋ฝูรับคำสั่ง ก่อนจะพาเด็กหนุ่มออกไปทันทีเมื่อพวกเขาจากไป เยี่ยจื่อจึงขยับเข้ามาดูจดหมายด้วย“สำเร็จแล้วรึ?”เยี่ยจื่อยิ้มอย่างสดใส“ไม่เพียงแต่สำเร็จ ยังมีเรื่องเหนือความคาดหมายอีกด้วย!”หยุนเจิงเผยรอยยิ้มเย็นชา “เจ้าสามนี่ช่างไม่รู้จักสิ้นสุดจริงๆ!”แม้ว่าโหวซื่อไคจะไม่ได้กล่าวถึงจุดประสงค์ของหยางหุยโจวที่ไปเยือนตระกูลซู แต่เพียงใช้ปลายเท้าคิด เขา
“ได้ยินแล้วหรือยัง? นายท่านอู๋ถูกยึดทรัพย์แล้ว”“นายท่านอู๋อะไรกัน! ต้องเรียกอู๋โหย่วเต๋อ! ไม่สิ ต้องเรียกว่า อู๋ขาดคุณธรรม!”“อู๋โหย่วเต๋อ… ชื่อก็แปลว่าไม่มีคุณธรรมอยู่แล้วมิใช่รึ? ไม่ต่างกันเลยสักนิด!”“อู๋โหย่วเต๋อสมควรได้รับโทษแล้ว แต่พวกที่ซื้อที่ดินของตระกูลอู๋ไป นับว่าโชคดีมาก! ตอนนี้ตระกูลอู๋ถูกยึดทรัพย์แล้ว พวกเขาไม่ต้องส่งค่าธัญญาหารให้พวกมันอีก!”“จริงด้วย! เจ้าว่าทำไมข้าถึงไม่มีโชคแบบนั้นบ้างนะ?”“ข้าได้ยินมาว่า ท่านอ๋องจงใจหาเรื่องจับผิด เพื่อล้มตระกูลอู๋ทั้งบ้าน! นี่แหละที่เรียกว่า เชือดไก่ให้ลิงดู ตั้งใจทำให้เหล่าผู้มั่งคั่งที่ไม่ยอมรับนโยบายภาษีใหม่เห็นเป็นตัวอย่าง!”“…”ข่าวการถูกยึดทรัพย์ของตระกูลอู๋แพร่กระจายไปทั่วหัวเมืองสี่ทิศในเวลาอันสั้นบางคนดีใจถึงกับปรบมือยินดี ขณะที่บางคนมองว่าเรื่องนี้เป็นแผนการที่แฝงไว้ด้วยเจตนาแอบแฝงบรรดาขุนนางและเจ้าที่ดินใหญ่ทั้งหลายต่างหวาดกลัวกันถ้วนหน้าแท้จริงแล้ว ตามกฎหมายราชสำนัก ความผิดของตระกูลอู๋ไม่ถึงขั้นต้องถูกยึดทรัพย์แต่จุดอ่อนของพวกมันคือ วัวที่เหล่าหลิวโถวได้รับ เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทาน นี่ทำให้หยุนเจิงมีเห
เขารู้เพียงว่า ท่านอ๋องผู้นี้ ซึ่งผ่านศึกมานับไม่ถ้วน มิใช่คนที่จะเมตตาปรานีใครได้ง่ายๆอู๋โหย่วเต๋อสั่นสะท้านไปทั้งตัว ในที่สุดก็พยายามรวบรวมเรี่ยวแรง ขยับร่างที่อ่อนแรงของตนขึ้นคุกเข่าให้เรียบร้อย“ขอ… ขอท่านอ๋องเมตตาด้วย…”“ได้! ข้าจะให้เจ้า!”หยุนเจิงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปมองหลิวอู่และหลี่เจี่ย “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกตระกูลอู๋ ทั้งบิดา บุตร และพ่อบ้านผู้นี้ จะเป็น วัวไถนา ของพวกเจ้า! ให้พวกมันลากคันไถให้พวกเจ้า! ส่วนเรื่องอาหารไม่ต้องห่วง ข้าจะเป็นคนดูแลเอง ข้าจะทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะไม่อดตาย!”อะไรนะ?เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ไม่เพียงแต่อู๋โหย่วเต๋อเท่านั้นที่ตะลึงงัน แม้แต่หลิวอู่และหลี่เจี่ยเองก็ตกตะลึงเช่นกันภายในแคว้นต้าเฉียน ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนถูกใช้ให้ลากคันไถแทนวัวแต่เรื่องเช่นนี้มักเกิดขึ้นกับชาวบ้านยากไร้ที่ไม่มีเงินเช่าวัวเท่านั้นทว่า เรื่องให้ตระกูลอู๋กลายเป็นวัวไถนาให้พวกเขา แม้แต่ในฝัน พวกเขาก็ไม่เคยกล้าคิด!พวกเขานิ่งอึ้งไปอยู่นาน ก่อนจะได้สติ รีบคุกเข่ากระแทกพื้นและกล่าวเสียงดัง “ข้าน้อยขอคารวะท่านอ๋อง! ขอขอบพระคุณในพระเมตตาอันล้ำลึก!”ใ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ซับซ้อนอะไรเพียงแค่อู๋โหย่วเต๋อโลภอยากได้วัวไถนาของเหล่าหลิวโถวเดิมทีเขาตั้งใจจะใช้เงินซื้อวัวจากเหล่าหลิวโถวในราคาถูก แต่เหล่าหลิวโถวกลับไม่ยอมขายให้ไม่ว่าจะอย่างไรเมื่ออู๋โหย่วเต๋อหมดความอดทน จึงใส่ร้ายว่าเหล่าหลิวโถวขโมยวัวของตระกูลอู๋ไป และกล่าวว่า หากไม่ได้ขโมยจริง ก็ต้องมีทะเบียนวัวมายืนยันแต่ปัญหาก็คือ วัวตัวนี้เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทานให้เหล่าหลิวโถว! แล้วเหล่าหลิวโถวจะมีทะเบียนวัวจากที่ใดกัน?เหล่าหลิวโถวพูดจนปากจะฉีกก็ยังแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ เขายืนกรานว่าวัวตัวนี้เป็นของที่หยุนเจิงพระราชทานให้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อู๋โหย่วเต๋อก็ไม่ยอมฟัง ซ้ำยังข่มขู่ว่าจะพาตัวเหล่าหลิวโถวไปแจ้งความที่ศาลเหล่าหลิวโถวเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอดชีวิต พอได้ยินว่าต้องไปแจ้งความก็ถึงกับตกใจกลัวสุดท้าย วัวตัวนั้นก็ถูกอู๋โหย่วเต๋อแย่งไปจนได้หลังจากวัวถูกพาออกไป เหล่าหลิวโถวก็ร้องไห้ไม่หยุด ราวกับจิตวิญญาณหลุดออกจากร่างเมื่อหลิวอู่และหลี่เจี่ยได้ยินข่าวอีกครั้ง เหล่าหลิวโถวก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว… เขาแขวนคอตายใต้ต้นไม้ข้างกระท่อมของตัวเอง“ที่พวกเขาก
อู๋โหย่วเต๋อเห็นท่าไม่ดีจึงไม่กล้าเอนกายต่อ รีบลุกจากเก้าอี้ไม้ไผ่ แล้วเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มประจบ“นายทหาร ข้ามิทราบว่ามีใครในจวนข้าทำเรื่องผิดไป…”“พาตัวไป!”เสิ่นควานไม่แม้แต่จะให้เขาพูดจบ โบกมือสั่งการทันที ทหารองครักษ์สองนายตรงเข้าไปจับกุมอู๋โหย่วเต๋อ“ปล่อยข้านะ!”อู๋โหย่วเต๋อโกรธจัด “พวกเจ้าคิดว่าเป็นใคร ถึงกล้าบุกเข้ามาอาละวาดในตระกูลอู๋ของข้า? อย่าคิดว่าใส่ชุดเกราะแล้วจะขู่ข้าได้ ข้า…”ผัวะ!ยังไม่ทันที่อู๋โหย่วเต๋อจะพูดจบ ทหารองครักษ์นายหนึ่งก็ซัดหมัดเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรงอู๋โหย่วเต๋อร้องลั่น ร่างกายโค้งงอราวกับกุ้งต้ม“เจ้าด้วย! จับไป!”เสิ่นควานปรายตามองพ่อบ้าน ก่อนจะสั่งต่อไปยังเหล่าทหาร “ปิดล้อมตระกูลอู๋! หากไม่มีคำสั่งจากท่านอ๋อง ห้ามผู้ใดเข้าออกเด็ดขาด!”“รับทราบ!”กองทหารองครักษ์รับคำสั่งทันทีท่านอ๋อง!เมื่อได้ยินคำนี้ พ่อบ้านถึงกับรู้สึกว่าโลกหมุนคว้าง ก่อนจะล้มลงนั่งก้นกระแทกพื้น ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดท่านอ๋อง! เป็นท่านอ๋องจริงๆ!สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว!อู๋โหย่วเต๋อที่กำลังเจ็บจนหน้าบิดเบี้ยวก็ถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ ราวกับว่าเขา
ตระกูลอู๋นายท่านอู๋โหย่วเต๋อกำลังเอนกายบนเก้าอี้ไม้ไผ่ รับไออุ่นจากแสงแดดอย่างสบายใจ บนร่างยังมีผ้าขนสัตว์นุ่มคลุมอยู่สาวรับใช้สองนางคุกเข่าอยู่ข้างซ้ายขวาของเขา พลางนวดเฟ้นให้เป็นจังหวะเป็นตอน บางครั้งยังถูกอู๋โหย่วเต๋อใช้มือบีบเค้นร่างกายพวกนางไปด้วยสาวรับใช้ทั้งสองไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง ได้แต่ปล่อยให้อู๋โหย่วเต๋อกระทำตามใจขณะที่อู๋โหย่วเต๋อกำลังหลับตาเพลิดเพลิน พ่อบ้านก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา“นายท่าน!”พ่อบ้านดูร้อนรน รีบเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆ ข้างหูอู๋โหย่วเต๋อลืมตาขึ้นทันที โบกมือไล่สาวรับใช้ทั้งสองออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น “เหล่าหลิวโถวตายแล้ว? ตายได้อย่างไร?”พ่อบ้านตอบกลับ “เจ้าเฒ่านั่นบอกว่าจะออกไปเข้าห้องส้วมเมื่อคืน แต่กลับไปหยิบเชือกป่านแล้วแขวนคอตายใต้ต้นไม้ ตอนที่มีคนพบเข้าก็แข็งทื่อไปแล้ว…”“แขวนคอตายรึ?”อู๋โหย่วเต๋อถอนหายใจโล่งอกก่อนจะบ่นอย่างไม่พอใจ “มันแขวนคอตายเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เจ้าจะร้อนรนไปทำไม?”“ข้าน้อยแค่กลัวว่าเรื่องที่เจ้าเฒ่านั่นพูดไว้จะเป็นความจริง…” พ่อบ้านสีหน้าไม่สู้ดีนัก “นายท่าน วัวตัวนั้นจะเป็นของที่ท่านอ๋องมอบให้เหล่าหลิวโถวจริ
พวกเขาต่างรู้ดีว่า การนำโหวซื่อไคมาขายแบบนี้ ย่อมทำให้โหวซื่อไคมีความแค้นต่อพวกเขาแน่นอนว่าโหวซื่อไคคงไม่คิดร่วมมือกับพวกเขาอีกหากต้องการแบ่งผลประโยชน์ในครั้งนี้ ก็มีเพียงให้หยางหุยโจวเป็นผู้เชื่อมโยงความสัมพันธ์เท่านั้น“เรื่องนี้… ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”หยางหุยโจวรู้สึกโลภขึ้นมา แต่กลับทำเป็นวางตัวไว้ก่อนหากสามารถฟันกำไรจากพวกซูเฮ่อเหนียนอีกทาง หลังจากได้จากโหวซื่อไคไปแล้ว นั่นก็หมายความว่า ตนไม่ต้องลงทุนแม้แต่ตำลึงเดียว แต่กลับสามารถกอบโกยเงินมหาศาลได้!เงินขาวๆ กองโตเช่นนี้ จะให้ตนไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?“ใต้เท้ากล่าวอะไรเช่นนั้น!”ซูเฮ่อเหนียนหัวเราะ “หากมิใช่เพราะใต้เท้า พวกเราคงยังไม่รู้เลยว่าโหวซื่อไคมีเส้นทางทำเงินเช่นนี้! นี่เป็นสิ่งที่ใต้เท้าควรได้รับอยู่แล้ว!”“ถูกต้อง!”ซูซ่งฝู่รีบเสริม “ขอใต้เท้าอย่าได้ปฏิเสธเลย!”อืม… พวกเขากล่าวมาถึงเพียงนี้แล้ว จะปฏิเสธก็ใช่ที่!หยางหุยโจวรู้สึกยินดีจนแทบกลั้นไม่อยู่ แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง “เช่นนั้น… ข้าขอไปหารือกับโหวซื่อไคก่อน แล้วค่อยว่ากัน”สำเร็จแล้ว!ซูเฮ่อเหนียนและซูซ่งฝู่สบตากัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจตราบใดที่