เมี่ยวอินยิ้ม “ดีไม่ดีพวกเขาไม่หยุดที่สองหมื่นคนล่ะ?”หยุนเจิงส่ายหน้าเอ่ย “ข้าประมาณการ ให้ตายก็คงสองหมื่นคน! หากความทะเยอทะยานของเป่ยหวนน้อยหน่อย แต่หากอยากจะจับข้า คาดว่าคงส่งคนหนึ่งหมื่นคน...”“เพราะเหตุใดเล่า?”เมี่ยวอินไม่เข้าใจหยุนเจิงกล่าวอธิบาย “หุบผาชันช่องลมไม่เอื้อประโยชน์ต่อการวางกำลังทหารม้า คนมากเกินไป แค่เดินทางผ่านหุบผาชันช่องลมก็จำเป็นต้องใช้เวลานานมากแล้ว! อีกทั้ง คนมากเกินไป เสบียงอาการที่จัดสรรก็ไม่อาจตามทัน...”ข้อนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้สรุปมาก่อนแล้วหากต้องส่งทหารสี่ห้าหมื่นคนมา การจัดสรรเสบียงก็เป็นปัญหาที่ยากและใหญ่มากหากจำเป็นต้องลำบากเช่นนี้ บุกโจมตีป้อมเมืองสุ่ยหนิงหรือป้อมเมืองจิ้งอันโดยตรงไม่ดีกว่าหรือ?……ป้อมรักษาการปานปู้และพวกองค์ชายใหญ่อู้เลี่ยกำลังกินเนื้อคำโตและปรึกษาหารือเรื่องแผนการต่อไปจากนี้เวลานี้ ทหารสื่อสารเข้ามารายงาน “รายงานองค์ชายใหญ่ กองกำลังซูหลู่ถูออกเดินทางลับๆ จากชิงเปียนแล้ว กำลังเคลื่อนทัพไปที่ปีกขวาของต้าเฉียน!”“ดีมาก!”อู้เลี่ยหยิบเหล้านมม้าขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็สั่ง “บอกซูหลู่ถู จับตาดูการเคลื่อนไหวของศัตร
จู่โจมหม่าอี้ มีเพียงเพื่อเผาเสบียงเท่านั้นหม่าอี้และติ้งเป่ย ล้วนเป็นประตูชีวิตของกองทหารมณฑณทางเหนือจู่โจมติ้งเป่ย ใช้หัวแม่เท้าก็คิดได้ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน!“ถูกต้อง!”ปานปู้พยักหน้าเบาๆ นัยน์ตาไหววูบแววโหดเหี้ยม “หยุนเจิงหากไม่ติดกับดัก พวกเราก็ทุ่มทั้งหมดไปจู่โจมหม่าอี้ ไม่ต้องสนใจว่าต้องจ่ายด้วยสิ่งใด ต้องเผาเสบียงของหม่าอี้ทิ้ง จากนั้นก็บุกไปทางเมืองเทียนหู! ถึงตอนนั้น องค์ชายใหญ่ค่อยสั่งกองกำลังซูหลู่ถูโจมตีเทียนหูโต้กลับพวกเขา...”ขอแค่เผาเสบียงที่ต้าเฉียนสะสมไว้ที่หม่าอี้ได้ กองทัพมณฑลทางเหนือก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนเสบียงถึงเวลานั้น เมืองชายแดนต้าเฉียน ย่อมพ่ายแพ้โดยไม่ต้องโจมตี!แต่ว่า กองทหารมณฑณทางเหนือเองก็ไม่ใช่คนตาย ไม่อาจมองดูพวกเขาจู่โจมหม่าอี้ได้หน้าตาเฉยเมื่อถึงเวลานั้น กองทหารมณฑลทางเหนือจำเป็นต้องส่งคนมาขัดขวางพวกเขาและต่อให้พวกเขาเผาเสบียงของหม่าอี้ได้สำเร็จ ทหารสองหมื่นที่สามารถบุกไปต่อได้เกรงว่าจะมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นผลที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่เพียงไม่สามารถเผาเสบียงของหม่าอี้ได้ ทหารสองหมื่นนั้นยังถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นต่อให้เป็นเช่นนี้
อู้เลี่ยไม่เห็นด้วย ยิ้มอย่างเห็นอกเห็นใจกล่าว “ถึงเช่นไรก็เตรียมใจที่จะสูญเสียทั้งกองทัพแล้ว แค่เวลาไม่กี่วัน จะบริโภคเสบียงได้มากเพียงใด?”“นี่...”ร่างกายปานปู้รู้สึกความเหน็บหนาวประหลาดผุดขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้า “องค์ชายใหญ่ หากต้องจู่โจมหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกศึก! การสมัครรับชายหนุ่มชั่วคราวมาออกศึก ไม่ต่างอะไรกับส่งพวกเขาไปตาย...”หม่าอี้คือหนึ่งในประตูชีวิตของกองทหารมณฆลทางเหนือ!ต่อให้กองทหารมณฆลทางเหนือทหารไม่พอ แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยไม่ป้องกันเมืองหม่าอี้คิดจะเผาเสบียงหม่าอี้ จำเป็นต้องส่งทหารชั้นยอดออกจู่โจม!“นี่...”อู้เลี่ยคิดสักพัก จากนั้นก็ยิ้มส่ายหน้า “พวกเรายังไม่รู้หยุนเจิงจะติดกับดักหรือไม่ อยู่ปรึกษากันที่นี่กันทำไม?”“ใช่แล้ว!”ปานปู้พยักหน้ายิ้ม “หากหยุนเจิงติดกับดัก ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายแล้ว!”“เช่นนั้นก็ดูไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ!”อู้เลี้ยไม่คิดมากต่อไปแล้วออกจากกระโจมใหญ่ของอู้เลี่ย ปานปู้รีบกลับกระโจมตัวเองอย่างรวดเร็วครุ่นคิดเงียบๆ ชั่วครู่ ปานปู้รีบหยิบหนังแกะแผ่นหนึ่งออกมาเขียนเขียนเสร็จ ปานปู้นำหนังแกะห่อไว้อย่างรวดเร็ว เรียกคนสนิ
เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินก็มองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าประหลาดใจนี่ไม่เหมือนกับนิสัยของตู้กุยหยวน!“เจ้าแน่ใจว่าเจ้าไม่ได้พูดผิด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนจ้องตู้กุยหยวนแล้วจ้องอีกนางสงสัย ตู้กุยหยวนเป็นคนอื่นปลอมตัวมาหรือไม่ตู้กุยหยวนหัวเราะ ตอบ “ข้ามาเพื่อพนันกับองค์ชายจริงๆ”“เจ้าจะพนันสิ่งใดกับข้า?”หยุนเจิงสงสัยเช่นกันตู้กุยหยวนหัวเราะ ถาม “องค์ชายรู้หรือไม่เป่ยหวนจะบุกมาเมื่อใด?”“ข้าจะรู้ได้เช่นไร!”หยุนเจิงยักหัวไหล่ “คนของเรายังไม่ส่งข่าวกลับมาไม่ใช่หรือ?”ตู้กุ้ยหยวนหัวเราะ กล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้ารู้!”“เจ้ารู้?”หยุนเจิงแปลกใจ “เจ้ารู้ได้เช่นไร?”เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินเองก็มองตู้กุยหยวนด้วยสีหน้าผิดปกติพวกเขาล้วนรู้ว่าเป่ยหวนต้องบุกมาแน่นอนแล้วก็คาดการณ์ทิศทางที่เป่ยหวนจะบุกมาแต่เป่ยหวนจะบุกมาเมื่อใด พวกเขาไม่อาจคาดการณ์ได้เรื่องนี้ เดิมก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะสามารถประมาณการได้พวกเขาทำได้เพิ่งรับมือกับข่าวที่มาถึงก่อนล่วงหน้าตู้กุยหยวนยิ้มกล่าว “สายหน่อยข้าค่อยบอกองค์ชาย”“ดังนั้น เขาคิดจะเอาเวลาที่เป่ยหวนบุกมาพนันกับข้า?”หยุนเจิงเข้าใจความคิดข
“พูดภาษาคน!”หยุนเจิงหน้ามุ่ยขัดจังหวะตู้กุยหยวนเฝ้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน?เขาไม่เชื่อว่าตู้กุยหยวนจะเฝ้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน!เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง ตู้กุยหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าเคยเรียนการเฝ้ามองท้องฟ้าจากคนที่ถูกเนรเทศมาซั่วเป่ยมานิดหน่อย แต่ที่สำคัญคือแขนข้างนี้ของข้าก่อปัญหา...”ด้วยการอธิบายสถาการณ์ของตู้กุยหยวน พวกเขาจึงเข้าใจสถานการณ์แขนที่หักตู้กุยหยวนจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งเมื่อถึงฤดูหนาว แต่ก็ไม่ใช่ความเจ็บขนาดที่ทนไม่ไหวแต่ว่า แขนที่หักของตู้กุยหยวนวันนี้เจ็บเป็นพิเศษแม้เขาจะมีความอดทนต่อความเจ็บปวดก็ตาม ก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วด้วยประสบการณ์ของเขา นี่เป็นจุดเริ่มต้นของลมหนาวเสียดกระดูกใกล้มาถึงแล้วทางด้านซั่วเป่ย เมื่อลมหนาวเสียดกระดูกมาถึง ก็จะมีหมอกหนาตามมาด้วยแต่ว่า หมอกหนานี้ไม่เช่นหมอกที่พบเห็นได้ทั่วไปแต่เป็นหมอกน้ำแข็ง!มันก็คือความหนาวจนควันออกปากที่พวกอวี้ซื่อจงพูดถึงจากประสบการณ์ของพวกเขา หลังผ่านวันหมอกน้ำแข็งหนา ก็น่าจะมีหิมะตกเป็นวงกว้างแล้วดังนั้น ตู้กุยหยวนจึงคาดว่า เป่ยหวนจะฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีไม่ว่าจะเป็นหมอกน้ำแข็งหรือว่
ต้องบอกว่า ตู้กุยหยวนเป็นเครื่องวัดสภาพอากาศของมนุษย์ที่ค่อนข้างแม่นยำวันที่สองตอนเช้า ซั่วเป่ยเริ่มมีลมหนาวเสียดกระดูกลมหนาวพัดมาจากพื้นผ่านไป หมอกน้ำแข็งจำนวนมากจะม้วนตัวขึ้นมาเงยหน้ามองไป บริเวณสิบห้าเมตรมองเห็นสิ่งใดไม่ชัดแล้วลมนี้เมื่อพัดโดนใบหน้า รู้สึกเหมือนถูกคมมีดบาดทำเอาหยุนเจิงอยากจะเอาหมวกคลุมหน้าและเล่นบทผู้ก่อการร้ายยังดีที่คนจำนวนมากในกองทัพล้วนอยู่ที่ซั่วเป่ยเป็นเวลานาน คุ้นเคยกับลมหนาวเสียดกระดูกนี้แล้วแต่ว่า หยุนเจิงก็ยังคงสั่งให้คนแจกจ่ายผ้าออกไปจำนวนมากไม่ใช่ทำพวกเสื้อผ้าให้พวกเขา เพียงแต่นำผ้าตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็ก เอาไว้ห่อหุ้มใบหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บจากแผลหนาวเป็นวงกว้างเวลาไม่นาน โหยวอีเย่วกลับมารายงานทัพทหารม้าเป่ยหวนจำนวนมากรวมตัวกันที่หุบผาชันช่องลมดูจากท่าทาง เป่ยหวนอย่างเร็วที่สุดพรุ่งนี้ อย่างช้าที่สุดวันมะรืน ก็จะเริ่มบุกเมื่อได้รับข่าวที่ยืนยันแล้ว หยุนเจิงสั่งกองทัพออกเคลื่อนไหวตอนนี้หากเร่งเดินทางไปที่หุบผาชันช่องลมเพื่อสร้างแนวป้องกัน ยังสามารถขุดโพรงหิมะเพื่อป้องกันหนาวได้ทันกาล มิฉะนั้น หลังผ่านพ้นกลางคืน คงมีจำนวนไม่น
ทุกคนไม่รู้หยุนเจิงคิดจะทำสิ่งใด แล้วก็ไม่กล้าถามมาก ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ“เอาล่ะ ยามปกติพวกเขาทำเช่นไร ตอนนี้ก็ทำเช่นนั้น! ทำเหมือนพวกเราไม่ได้อยู่ที่นี่ก็พอแล้ว!”หยุนเจิงกำชับ จากนั้นก็สั่งอวี๋ซื่อจง “ส่งคนมาเฝ้าพวกเขาไว้ ขอแค่พวกเขาไม่ตุกติก ก็อย่าทำให้พวกเขาลำบาก!”“ขอรับ!”อวี๋ซื่อจงรับคำสั่ง จากนั้นก็กล่าวกับหยุนเจิง “ด้านนอกหนาว องค์ชายและพวกพระชายาคืนนี้ก็พักที่นี่เถอะ!”หยุนเจิงโบกมือ “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว ข้ามีแผนของข้า!”กล่าวจบ หยุนเจิงก็ออกไปจากป้อมเฝ้ายามหยุนเจิงไม่ได้พักอยู่ภายในป้องเฝ้ายามกลางคืน เขากับเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินนอนกันอยู่ภายในโพรงหิมะโพรงหิมะเล็กเพียงนิดเดียว สามคนนอนอยู่ด้วยกัน แม้จะอบอุ่น แต่จะพลิกตัวสักครั้งยังลำบาก“เจ้าจงใจ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหยิกหยุนเจิงด้วยความโมโห “นอนภายในป้อมเฝ้ายามได้แท้ๆ เจ้ากลับต้องมาอยู่โพรงน้ำแข็งนี่ให้ได้!”“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล!”หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าก็เคยได้ยิน เจ้านายไร้เสื้อผ้า ร่วมใส่เสื้อผ้าของลูกน้อง...”“ข้าว่าเจ้าคิดจะร่วมเตียงกับลูกน้องมากกว่า?”เมี่ยวอินยิ
หลังเที่ยงคืน ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะตกหนักข้างนอกหนาวมาก แต่ภายในโพรงหิมะนับว่าพอไปได้อยู่แม้จะไม่ถึงกับอบอุ่น แต่อย่างนั้นก็ยังสามารถหลับได้หยุนเจิงเองก็ต้องรู้สึกทอดถอนใจ การตัดสินใจให้ทหารนาของเขากินเนื้อเป็นความคิดที่ฉลาดมากพวกเขากินเนื้อแกะมากมาย และถลกหนังแกะจำนวนมากตอนนี้ หนังแกะเหล่านี้มีประโยชน์มากหากไม่มีหนังแกะห่อหุ้มร่างกาย คืนนี้คงไม่มีผู้ใดสามารถข่มตาหลับได้ตอนเช้า หยุนเจิงเดินออกจากโพรงหิมะด้านบนท้องฟ้า หิมะยังคงตกลงมาไม่หยุดเงยหน้าขึ้นไปมอง ระยะสิบห้าเมตรล้วนเห็นไม่ชัดแล้วหยุนเจิงสาปแช่งสภาพอากาศเลวร้ายของซั่วเป่ยในใจ อีกด้านนำคนไปยังด่านหน้าคนภายในด่านหน้ากำลังเผาน้ำแข็ง หยุนเจิงกำลังจะขอน้ำร้านเพื่อมาเทใส่อาหารแห้งจากพวกเขาสักชาม ในหูพลันได้ยินเสียง “กุบกับ กุบกับ” ดังขึ้นแม้ว่าลมหนาวจะคร่ำครวญ ทว่าเสียงนั้นยังคงชัดเจนนั่นคือเสียงกีบม้าที่กระทบกับน้ำแข็ง!ทัพทหารม้าเป่ยหวนเคลื่อนไหวแล้ว!หยุนเจิงพลันตัวสั่น ทิ้งอาหารแห้งในมือทันที กดเสียงต่ำเรียกเกาเหอ “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป กองทัพทั้งหมดเตรียมพร้อม! เสียงกลองไม่ดัง ห้ามใครเคลื่อนไหวทั้งนั้น!”เกา
ข้าไม่กล้ามอบต้าเฉียนให้กับเจ้า และไม่อาจให้เจ้าด้วย! ด้านนอกห้องหยุนลี่แสดงความกังวลอย่างหนัก ถามไถ่หมอหลวงถึงอาการของจักรพรรดิเหวิน หมอหลวงสีหน้าลำบาก ตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง "ฝ่าบาทชีพจรผิดปกติ มีไฟในหัวใจล้นหลาม กระหม่อมวินิจฉัยโรคของฝ่าบาทไม่ได้ และไม่กล้าจ่ายยาโดยสะเปะสะปะ..." หยุนลี่โกรธจัด แววตาเย็นชาเปล่งประกาย "เจ้าเป็นหมอหลวงประเภทไหนกัน? ถึงไม่รู้ว่าเสด็จพ่อป่วยเป็นโรคอะไร?" "กระหม่อมไร้ความสามารถ..." เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหมอหลวง หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้ยินคำพูดของหมอหลวง หยุนลี่ยิ่งโมโหจนแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เมื่อครั้งที่เขาเพิ่งเป็นองค์รัชทายาท เขาหวังเพียงให้จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์อย่างรวดเร็วเพื่อเขาจะได้ครองราชย์โดยราบรื่น แต่ตอนนี้ เขาต้องการให้จักรพรรดิเหวินยังมีชีวิตอยู่! เพราะตราบใดที่จักรพรรดิเหวินยังอยู่ หยุนเจิงก็จะไม่กล้าก่อความวุ่นวาย! "ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีใด แต่ต้องรักษาเสด็จพ่อให้หาย!" หยุนลี่พยายามควบคุมสติ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมมองไปที่หมอหลวง "หากรักษาเสด็จพ่อไม่ได้ เจ้าก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่!"
เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนลี่ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ น้ำตาในดวงตาของเขาเอ่อล้นจนกลั้นไม่อยู่ ครั้งนี้ หยุนลี่ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจักรพรรดิเหวินจะช่วยรับเรื่องนี้แทนเขา เขารู้ว่าจักรพรรดิเหวินพูดความจริง ถ้าขุนนางอาวุโสในราชสำนักพร้อมใจกันต่อต้าน เขาก็แทบไม่มีทางรับมือได้ อย่างเช่นฉินลิ่วก่าน ขุนนางแก่ผู้นี้ต้องกล้าด่าเขาต่อหน้าที่ประชุมแน่ๆ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ขุนนางแก่นี่อาจกล้าลงไม้ลงมือกับเขาด้วยซ้ำ ยังมีเซวียเช่อ เซียวว่านโฉว ถังซู่ ซ่งปี้เซียน และคนอื่นๆ... ขุนนางอาวุโสเหล่านี้ ไม่มีใครที่รับมือได้ง่ายๆ "ลูกอกตัญญู ทำให้เสด็จพ่อต้องลำบากพระทัยเพราะลูก..." หยุนลี่คุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลพรากเต็มหน้า จักรพรรดิเหวินตบมือบนมือของหยุนลี่อย่างอ่อนแรง "นี่ก็โทษข้าด้วย ถ้าข้าห้ามเจ้าตั้งแต่แรก เรื่องคงไม่บานปลายแบบนี้" "เสด็จพ่อ..." หยุนลี่รู้สึกจุกแน่นในลำคอ น้ำตาไหลไม่หยุด "เก็บน้ำตาของเจ้าไว้! จำไว้ว่าเจ้าเป็นองค์รัชทายาท!" จักรพรรดิเหวินเพิ่มเสียงเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจเบาๆ "จริงๆ ข้าคิดดูแล้ว การให้ฟู่โจวกับเจ้าต
"อืม ข้ารู้แล้ว" หยุนลี่โบกมือเบาๆ ให้ขันทีออกไป ดูเหมือนว่าเจ้าหกตัวแสบได้พูดคุยเรื่องต้องการฟู่โจวกับเสด็จพ่อที่ริมทะเลสาบชิงซานแล้ว เจ้าสุนัขตัวแสบนี้! ยื่นกรงเล็บมาที่ฟู่โจวจนได้! งานนี้ยุ่งยากจริงๆ แล้ว หยุนลี่รู้สึกทั้งโกรธและกังวลในใจ ทันใดนั้น เขาก็เริ่มอิจฉาพี่รองและพี่สี่ขึ้นมา ตั้งแต่เขามีสถานะมั่นคงขึ้น พี่รอง พี่สี่ และพี่ห้าก็มีบทบาทในราชสำนักลดน้อยลง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งสามคนใช้ชีวิตได้สบายกว่าเขามาก ทั้งสามคนใช้ชีวิตเสเพลได้เต็มที่ แต่เขาทำไม่ได้ กลับไปที่ราชสำนัก ยังต้องชี้แจงเรื่องแต่งตั้งเจ้าหกเป็นผู้ตรวจการมณฑลฟู่โจวให้ขุนนางทั้งหลายเข้าใจ หากขุนนางในราชสำนักรู้ว่าเรื่องนี้เกิดจากเขาส่งทหารไปจัดการเจ้าหก เหล่าขุนนางอาวุโสคงรวมตัวกันกราบทูลเสด็จพ่อให้ลงโทษเขาอย่างหนัก หรือแม้กระทั่ง...ปลดองค์รัชทายาท! เขาไม่ได้กังวลว่าจะถูกปลด แต่กลับไปที่ราชสำนักคงเจอปัญหาอีกมากมาย หยุนลี่กลับมาที่จวนของตัวเอง พยายามระงับอารมณ์และคิดหาทางออก ไม่นาน มู่ซุ่นก็ส่งคนมาแจ้ง "กราบทูลองค์รัชทายาท ฝ่าบาทประชวรหนัก ขอให้องค์รัชทายาทเสด็จด่วน..." ขันท
หลังจากทิ้งปัญหาไว้ให้หยุนลี่จัดการ จักรพรรดิเหวินก็พาผู้คนออกไปทันที ดูเหมือนจะไม่อยากเห็นหน้าเจ้าหกผู้เอาแต่รุกไล่บีบคั้นนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว แม้หยุนลี่จะจำใจ แต่ก็ยังพยายามต่อรองกับหยุนเจิง ทว่า หยุนเจิงจับจุดอ่อนของหยุนลี่ไว้ได้ จึงไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ในที่สุด หยุนลี่ก็ต้องจำใจยอม หลังจากนี้ ยังต้องทำสัญญาอย่างเป็นทางการ "เจ้าสาม ครั้งนี้ข้าให้เกียรติเสด็จพ่อ ยกชีวิตเจ้าไว้ก่อน!" หลังจากตกลงกันได้ หยุนเจิงมองหยุนลี่ด้วยสายตาเย็นชา พลางเตือน "เจ้าควรภาวนาให้เสด็จพ่ออายุยืนยาว!" ยังคงต้องกดดันเจ้าสามอีกหน่อย กันไว้เพื่อไม่ให้เจ้าสามดิ้นสู้จนสุดตัว เมื่อเผชิญคำขู่ของหยุนเจิง หยุนลี่ก็รู้สึกเกลียดชังอย่างถึงที่สุด ในสถานการณ์ที่เขาเสียเปรียบตอนนี้ มีเพียงอดทนเท่านั้น พอกลับถึงเมืองหลวงเมื่อไร เขาจะหาทางจัดการกับเจ้าสุนัขตัวนี้ให้ได้! ความอัปยศในวันนี้ วันหน้าจะคืนให้เป็นสองเท่า! หยุนลี่คิดในใจอย่างเหี้ยมโหด หลังจากพยายามสูดหายใจลึกๆ หยุนลี่กัดฟันพูด "เจ้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ควรปล่อยพวกเฉียวเหยียนเซียนได้หรือยัง?" หยุนเจิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ "พวกเขาถู
จักรพรรดิเหวินจ้องเขม็งด้วยสายตาเย็นเยียบ "อะไร? เจ้ากลัวว่าข้าจะผิดคำพูด แล้วพาพี่สามของเจ้าหนีไปหรือ?" "เสด็จพ่อ ทรงล้อเล่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ" หยุนเจิงส่ายหน้า "ลูกกลัวว่าจ้าวจี๋จะสมคบกับทหารรักษาเมืองก่อความวุ่นวาย! อย่างไรเสีย จ้าวจี๋เคยนำทัพใหญ่นับแสนมาอยู่ที่นี่..." "หุบปาก!" จักรพรรดิเหวินหยิบป้ายทองคำคำออกมาแล้วขว้างให้หยุนเจิง "เจ้าช่างเป็นลูกที่ดีของข้าเสียจริง!" "ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!" หยุนเจิงเก็บป้ายทองคำคำขึ้นมา ทำเป็นเมินสายตาของจักรพรรดิเหวิน "ยังไม่ไปอีกหรือ?!" จักรพรรดิเหวินตวาดด้วยความโกรธ ราวกับไม่อยากมองหยุนเจิงอีก "เสด็จพ่อ ลูกยังมีเรื่องอีกอย่างหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!" หยุนเจิงยิ้ม "ลูกเพิ่งตกลงการซื้อขายกับพี่สาม เขายังต้องการถามความเห็นเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" "ซื้อขาย?" สายตาของจักรพรรดิเหวินหันไปจ้องหยุนลี่อีกครั้ง พร้อมแฝงคำถาม หยุนลี่ที่เสียศูนย์ไปแล้ว ทำได้เพียงกัดฟันบอกเรื่องการตกลงระหว่างเขาและหยุนเจิง "พี่สาม แล้วม้าศึกของทหารรักษาการของเจ้าล่ะ!" พอหยุนลี่พูดจบ หยุนเจิงก็เสริมทันที หยุนลี่เต็มไปด้วยความแค้นใจ แต่จำต้องพยักหน้า
ได้ยินคำพูดของหยุนเจิง หยุนลี่รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบเหมือนตกลงไปในห้องน้ำแข็ง เขาไม่สงสัยเลยว่า หยุนเจิงสามารถทำเรื่องนี้ได้จริงๆ หยุนลี่เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือไปยังจักรพรรดิเหวิน "เจ้า..." จักรพรรดิเหวินโกรธคำพูดของหยุนเจิงจนตัวสั่น หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง น้ำเสียงจึงอ่อนลง "เจ้าหก เห็นแก่หน้าของข้า เรื่องนี้ให้จบแค่นี้เถอะ!" "เสด็จพ่อ พี่สามก็อยากเอาชีวิตลูกไปแล้ว!" หยุนเจิงกำหมัดแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและคำรามต่ำ "วันนี้ ถ้าเสด็จพ่อไม่ให้คำตอบกับลูก ลูกก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น! ลูกเคารพเสด็จพ่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ดี แต่ลูกไม่กลัวที่จะถูกประณามว่าฆ่าพี่ชาย!" เมื่อเผชิญกับท่าทีแข็งกร้าวของหยุนเจิง หยุนลี่ก็ยิ่งหวาดกลัว ส่งสายตาอ้อนวอนอย่างสุดชีวิตไปยังจักรพรรดิเหวิน จักรพรรดิเหวินโกรธจนตัวสั่น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ลูกทรพีคนนี้! แค่เพราะฟู่โจว จำเป็นต้องทำให้เรื่องยุ่งยากขนาดนี้หรือ? ตอนนี้ทำให้เรื่องวุ่นวายขนาดนี้ แล้วตนจะไปซั่วเป่ยได้อย่างไร? ต้องถามเจ้าลูกคนนี้เสียหน่อยว่า คิดเหตุผลสำหรับเรื่องที่ตนจะไปซั่วเป่ยแล้วห
แน่นอนว่าเขารู้ดี จักรพรรดิเหวินต้องการให้เขารับผิดชอบเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากรับผิดชอบ! ถ้ารับผิดชอบเรื่องนี้ เจ้าหกตัวแสบยิ่งได้โอกาสใช้เรื่องนี้เล่นงานเขา! แต่ถ้าไม่รับผิดชอบ กองทหารม้าชั้นยอดหนึ่งหมื่นของจ้าวจี๋ก็ต้องหมดไป แถมเขายังซวยไปด้วย ไม่ว่าจะรับผิดชอบหรือไม่ เขาก็ต้องซวยอยู่ดี! ลังเลอยู่นาน หยุนลี่จึงพูดตะกุกตะกักออกมา "ข้า...ข้าเป็นคนสั่งให้จ้าวจี๋นำทัพมาเอง..." ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับผิด! ดีที่เสด็จพ่อรู้อยู่แล้ว แถมยังเห็นด้วย ตอนนี้เพียงแค่ให้คำอธิบายหยุนเจิงก็พอ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเสด็จพ่อลงโทษภายหลัง "เจ้ากล้าดีมาก!" จักรพรรดิเหวินโกรธจนทนไม่ไหว "พูดมา เจ้าไปสั่งการกองทัพของจ้าวจี๋ได้อย่างไร? เจ้าไปสมคบกับจ้าวจี๋ตั้งแต่เมื่อไหร่?" "ไม่...ไม่ใช่..." หยุนลี่รีบโบกมือพร้อมก้มหน้าตอบ "ลูกไม่ได้สมคบกับจ้าวจี๋ ลูก...ลูกแค่บังเอิญเก็บตราทองของเสด็จพ่อได้เมื่อหลายวันก่อน..." "เก็บได้?" สายตาของหยุนเจิงเย็นเยียบ "พี่สาม เจ้าคิดว่าน้องเป็นคนโง่หรือไง? ตราทองของเสด็จพ่อ เจ้าก็เก็บได้?" พูดจบ หยุนเจิงก็หันไปมองจักรพรรดิเหวินด้วยความโกรธ "
"ฝ่าบาท ด้านหน้ามีสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากัน ดูเหมือนคนขององค์ชายหกจะล้อมเวรยามขององค์รัชทายาทไว้!" จักรพรรดิเหวินกำลังอ่านหนังสืออยู่ในขบวนรถม้า เมื่อโจวไต้เข้ามารายงานใกล้ๆ "อะไรนะ?" จักรพรรดิเหวินเปิดผ้าม่านรถม้าออกทันทีเพื่อมองออกไป เพียงแค่มองแวบเดียว จักรพรรดิเหวินก็เดือดดาล ไอ้ลูกทรพีทั้งสองนี่!พวกเขาคิดจะทำอะไรกัน?ตนยังไม่ตายเลยนะ!พวกเขาถึงกับเอาอาวุธมาเผชิญหน้ากันแล้ว?เจ้าหก ลูกทรพีคนนี้ มันลืมคำตักเตือนของตนแล้วหรือ? จักรพรรดิเหวินโกรธจัด รีบสั่งโจวไต้ "ไป จงแยกพวกเขาออกจากกัน หากใครขัดขืน สังหารทันที!" ครั้งนี้จักรพรรดิเหวินโกรธจริงๆ เจ้าลูกทรพีทั้งสองนี้ ไม่มีใครคิดจะรักษาหน้าตาของราชวงศ์บ้างเลยหรือ?ในความเดือดดาล จักรพรรดิเหวินตะโกนสั่งมู่ซุ่น "บอกให้ลูกทรพีทั้งสองคนของข้ามาพบข้าทันที!" พูดจบ จักรพรรดิเหวินก้าวลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ไม่นาน หยุนเจิงและหยุนลี่ก็มายืนต่อหน้าจักรพรรดิเหวิน "ลูกขอคารวะเสด็จพ่อ" ทั้งสองคนคำนับพร้อมกัน "เสด็จพ่อ?" จักรพรรดิเหวินดั่งสิงโตที่เดือดดาล ตะโกนว่า "ในสายตาของพวกเจ้ามีข้าเป็นเสด็จพ่ออยู่บ้างไหม?" "เส
"ต่อให้ข้ายอมตกลง เสด็จพ่อจะยอมด้วยหรือ?" "ตราบใดที่เสด็จพ่อไม่อนุญาต ใครจะกล้าส่งข้าวห้าล้านตันให้เจ้า?" "ถ้าเจ้าต้องการข้าวนัก ก็ไปพบเสด็จพ่อพร้อมกับข้า!" "ตราบใดที่เสด็จพ่ออนุญาต ข้าก็ไม่มีอะไรจะค้าน!" ตอนนี้ มีแต่ต้องไปหาเสด็จพ่อเท่านั้น ไอ้สุนัขตัวนี้ ต่อให้หน้าด้านแค่ไหนก็คงต้องไว้หน้าเสด็จพ่อบ้างกระมัง? "เจ้าสาม เจ้าช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักปรับตัวเอาเสียเลย" หยุนเจิงยิ้ม "แบบนี้แล้วกัน เจ้าส่งม้าศึกของทหารรักษาพระองค์พวกนี้ให้ข้า ข้าจะบอกเจ้าวิธีที่ทำให้เสด็จพ่อกับขุนนางในราชสำนักยอมให้ข้าวห้าล้านตันแก่เจ้าแน่นอน!" ม้าศึก? ได้ยินคำพูดของหยุนเจิง หยุนลี่แทบจะกระโดดขึ้นมาชี้หน้าด่าเขา เคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยเจอใครไร้ยางอายเท่าเจ้านี่! เอาข้าวห้าล้านตันยังไม่พอ ยังคิดจะเอาม้าศึกของทหารรักษาพระองค์อีก? ทั่วหล้าหามีใครไร้ยางอายเท่าเจ้านี่อีกแล้ว! ทำไมเจ้าสุนัขตัวนี้ถึงไม่ตายคาสนามรบเสียล่ะ? หยุนลี่สาปแช่งในใจอย่างบ้าคลั่ง ก่อนมองหยุนเจิงด้วยสายตาเกรี้ยวกราด "ว่ามาเถอะ! ข้าอยากเห็นนักว่า ปากหมาอย่างเจ้าจะพูดอะไรที่ดีออกมาได้!" "ว่าอย่างนี้ เจ้าก็ตกลงจะ